วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

หยุดปฏิบัติไป พอกลับมาทำได้ไม่เหมือนเดิม

ถาม : หนูเคยปฏิบัติแล้วรู้สึกว่าทำได้แบบสบายๆ แล้วพอหลังจากนั้นก็คือเอาไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยปฏิบัติ แล้วก็หายไปเลยค่ะ หลังจากนั้นก็ปฏิบัติไม่ได้ รู้สึกว่าเวลาอยากจะปฏิบัติทีไร มันจะแบบ..ฮึบขึ้นมา แล้วเพ่งไปในลมหายใจตลอดเลยค่ะ แล้วก็เป็นแบบนี้มาตลอดเกือบครึ่งปีแล้วค่ะ แล้วคือหนูก็พยายามแบบว่า ทำสบายๆแต่ว่าก็ทำไม่ได้ซักทีน่ะค่ะ คืออยากจะถามว่าหนูควรจะดูในรูปแบบไหนให้พัฒนาดีค่ะ 

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/STPY5OPnC1A
ดังตฤณวิสัชนา Live #๖ ทางเฟสบุ๊ก
๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙

ดังตฤณ: 
เรื่องของการปฏิบัติบ้างแล้วก็หยุด ปฏิบัติแล้วก็หยุดนะ เป็นเรื่องธรรมดาของฆราวาสของชาวบ้านเรา อย่างที่เกริ่นมาต้นรายการ  สำหรับการปฏิบัติธรรมในเมือง การเจริญสติในขณะที่เป็นฆราวาสอยู่เนี่ย ต้องเข้าใจอย่างนี้นะว่า ฆราวาสเราไม่ได้มีหน้าที่ทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง ไม่ได้มีเวลาที่จะจดจ่อหรือว่าโฟกัสอยู่กับการปฏิบัติธรรมได้เต็มร้อยเต็มเวลา เป็นได้แค่นักเจริญสติพาร์ทไทม์ (part time) ไม่ใช่นักเจริญสติฟูลไทม์ (Full time)  เพราะฉะนั้นเนี่ยโอกาสที่พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆเป็นเส้นตรง หรือว่าจะมีความคืบหน้าแบบก้าวกระโดด เหมือนกับคนที่อุทิศเวลาเต็มเวลาให้กับงานเจริญสติเนี่ย มันก็เป็นไปไม่ได้ 

พอเราต้องทำงาน มันมีเรื่องกดดัน มันมีเรื่องน่าเครียดเข้ามา มีเรื่องเร่งด่วนเข้ามา เท่านี้ชีวิตมันก็ออกจากความสามารถที่จะเข้ามาในกายใจแล้วนะ  ตอนที่เราอยากได้อะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง ลองสังเกต ถ้าอยากได้จริงๆนะ ถ้ามีความหมกมุ่นกับเรื่องที่อยากได้จริงๆเนี่ย มันไม่มีกะจิตกะใจเข้ามาในร่างกายแล้วก็จิตใจนี้หรอก เพราะมันจะมีแรงฟุ้ง แรงผลักดัน ที่จะทะยานอยาก ที่ภาษาพระท่านเรียก มีความทะยานอยาก มีอาการของใจเนี่ย จริงๆนะ มันมีอาการเหมือนกับจะพุ่งพรวดออกไป กระโจนหรือว่าจะไปอยู่จับอะไรซักอย่างที่มันอยู่นอกตัว อาการมันเป็นแบบนั้นจริงๆถ้าลองสังเกตดู แล้วพอมันผลักออกไปมากๆ มันกระโจนออกไปมากๆเนี่ย มันกลับเข้ามายาก 

ฉะนั้นพอเราเข้าใจจุดยืนของการเจริญสติแบบฆราวาสจริงๆ  เราจะไม่หวังความคืบหน้าไปเรื่อยๆ  เราจะคาดหมายได้ว่าเราจะหลงโลกเป็นพักๆ  เราจะออกไปข้างนอกแล้วไม่กลับเข้ามาข้างในเลย  บางทีอาจจะหลายวัน  บางทีอาจจะเป็นเดือนๆ  บางทีเราก็คิดแล้วว่า เอ้ย..พอมันรู้สึกหมดหวังน่ะ ไม่รู้สึกว่าจะสามารถเอาดีอะไรกับเค้าในการเจริญสติ ก็ทอดหุ่ยไปเลยเป็นปี  กว่าที่จะไปเจอความทุกข์  แล้วก็เกิดความสำนึกว่า เออ..เรายังไปไม่ถึงไหน นี่เราก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกทีอะไรแบบนี้  เกิดความอยากจะกลับมาปฏิบัติธรรมอีก อันนี้เป็นเรื่องปกติของฆราวาสนะ ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง  เราทำความเข้าใจ ว่าสติมันขาดๆหายๆแน่นอน  ก็เรียกว่าเห็นจุดยืน ฐานที่เรายืนน่ะ ชัยภูมิน่ะ มันไม่เหมาะกับการเจริญสติแบบพระป่าที่ท่านอยู่ในป่าในเขา ที่ท่านปฏิบัติธรรมแลกชีวิตกันนะครับ  เราก็จะได้ไม่ไปคาดหวังว่าเราจะต้องปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ  มันต้องมีขึ้นแล้วก็มีลงเป็นธรรมดา  

พอทำใจไว้อย่างนี้ มีความเข้าใจไว้อย่างนี้  สำคัญมากนะในระยะยาวเนี่ย  มันจะไม่เกิดความรู้สึกท้อแท้  เพราะความท้อแท้เนี่ยแทบจะเป็นศัตรูหลักของการเจริญสติทีเดียว  หลายคนน่ะล้มเลิกไปเลยทั้งชีวิต  บอกว่าชาตินี้ไม่เอาละ ไม่มีหวังละ ขอทำบุญแล้วก็ไปบรรลุธรรมเอาง่ายๆในสมัยของพระศรีอาริย์  พุทธศาสนาครั้งหน้าอะไรแบบนั้น  ถ้าเราไม่มีความท้อ  เรามีแต่ว่าเป็นฆราวาสเนี่ย ไม่ปฏิบัติเลย มันก็ไม่ได้อะไรเลย  แต่ถ้าปฏิบัติบ้าง มันก็ได้อะไรบ้าง  คิดแบบนี้ ชาตินี้ไม่เสียเปล่า ชาตินี้เนี่ยจะเป็นชาติที่เราไม่งอมืองอเท้า  มีโอกาสแล้วคว้าไว้  โอกาสยังอยู่นะ ไม่ใช่หายไปแล้วนะ  

โอกาสคืออะไร โอกาสคือการทำความเข้าใจ ทำความรู้จักกับสภาวะร่างกายแบบมนุษย์  จิตแบบมนุษย์  อารมณ์แบบมนุษย์  เวลาพระท่านปฏิบัติเนี่ย ไม่ว่าสมัยพุทธกาลหรือสมัยนี้  ท่านก็ปฏิบัติกันที่ตรงนี้แหละ  โอกาสนี้แหละ  ใช้โอกาสที่มีร่างมนุษย์แบบนี้  มีสภาพจิตสภาพอารมณ์แบบนี้  มาให้ดู  ดูอะไร  ดูว่ามันไม่เที่ยง  แม้กระทั่งความคืบหน้า  แม้กระทั่งคุณภาพของจิตที่มันเคยดี  ที่มันเคยเป็นสมาธิ  มันก็หายไปได้  มันก็เสื่อมได้  ถ้าหากเรามองว่าแม้กระทั่งความก้าวหน้าในการเจริญสติ ในการปฏิบัติธรรม  มันมีขึ้นได้ มันมีลงได้ และเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา  มันไม่มีเหตุปัจจัยให้เป็นหนุนนี่  เราเป็นฆราวาส  ยังไงก็ต้องกลับมาทำงาน  เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง  แล้วก็ไปเจอกับเรื่องเอ็นเตอร์เทนทั้งหลายเนี่ยนะ  ที่จะมาดึงให้เราไขว้เขวเป็นธรรมดา  

อยู่ท่ามกลางเหตุปัจจัยแบบนี้  อยู่ใจกลางเหตุปัจจัยแบบนี้  ในยุคนี้เนี่ย  โอกาสที่จะไหลลงสู่ความเสื่อมน่ะง่าย  แต่โอกาสที่จะทวนกระแสขึ้นสูงน่ะยาก  จากนั้นเราก็มาดูว่าความเสื่อมเนี่ย ไม่ใช่ว่าเราเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้นะ  อาการเสื่อมของจิต  อาการเสื่อมของกาย  เวลาป่วยไข้  เวลารู้สึกท้อแท้หดหู่  หรือเมื่อกี๊เนี่ยที่เค้าถามว่าเวลาเบื่อๆเหงาๆขึ้นมาทำยังไง  เราสามารถเอามาเป็นเครื่องมือเจริญสติได้  

ถ้าหากเราเข้าใจว่าจะดูอย่างไร  ก่อนอื่นใดเลย ไม่ใช่เข้าไปดูมันตรงๆนะ  ความเสื่อมความเบื่อหรือว่าความเหงาทั้งหลายเนี่ย  ไม่ใช่เข้าไปดูตรงๆ  เพราะดูไปเราจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากว่ายิ่งเบื่อเข้าไปใหญ่ ยิ่งเหงาเข้าไปใหญ่ หรือว่ายิ่งเสื่อมเข้าไปใหญ่  ให้มองว่าจิตที่มีความฟุ้งซ่าน  จิตที่มีความซัดส่าย  จิตที่มีอาการเหมอลอย  จิตที่มันมีสภาพเสียหายทั้งหลายแหล่เนี่ย  มันมีหน้าตาของมันอยู่  มันมีระดับความเข้มข้นของมันอยู่  ซึ่งเมื่อเราดูได้ ดูออกว่าหน้าตามันเป็นยังไง  ก็คือเอาความรู้สึกเนี่ยแหละ  

คำว่าดู คำว่าเห็นก็คือ รู้สึกเอา อย่างเช่นว่าตอนนี้  ลมหายใจนี้  ผมเกิดความรู้สึกเบื่อๆ  ผมเกิดความรู้สึกว่าใจมันไม่เอาไหนเลย  มันไม่ยอมที่จะดูลมหายใจ  มันไม่สามารถตั้งมั่นเป็นสมาธิได้  มันเสื่อมไปแล้ว  มันเกิดความเสียใจ โอ้..แย่..  รู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรดี  ความรู้สึกแบบนี้แหละ  ถ้าหากว่าเราสามารถเห็นได้ว่า  ตอนนี้กำลังมีความรู้สึกนี้อยู่จริงๆ  

ให้หายใจเข้า ๑ ที
หายใจเอาความแตกต่าง
นี่คือคีย์เวิร์ด (keyword) นะ
หายใจเอาความแตกต่าง
ไม่ใช่หายใจเอาความสงบนะ  

จำไว้ดีๆนะ  ผมพูดซ้ำอีกครั้งนึง
ไม่ว่าคุณจะรู้สึกแย่ขนาดไหน 
หายใจยาวๆทีนึง 
เพื่อเอาความแตกต่าง
ไม่ต้องไปหวังความสงบ
ไม่ต้องไปหวังความคืบหน้า
ไม่ต้องไปหวังคุณภาพของจิตอะไรทั้งสิ้น
หวังแค่ได้เห็นความแตกต่าง  

เพราะตอนที่เรากำลังซึมเซาเจ่าจุก  เรากำลังรู้สึกแย่กับตัวเอง  เรากำลังรู้สึกว่า โอ้..จิตมันขาดไป  มันไม่สามารถต่อติด  มันไม่สามารถที่จะเอามาเจริญสติได้  ณ ขณะนั้นเนี่ย  ถ้าหากว่ามีลมหายใจยาวๆเข้าไป  มันเกิดความแตกต่างขึ้นมาทันที  แตกต่างขึ้นมานิดนึง  ความเบื่อ ความเหงา ความฟุ้งซ่าน ความสิ้นหวัง  มันเหมือนกับจะถูกแทนที่ด้วยลมหายใจยาวๆครั้งเดียว  

เมื่อเราหายใจยาวๆได้  ทำไงต่อ  เนี่ยตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดนะ  เพราะว่าหายใจเอาความสดชื่น  ใครๆก็ทำได้  แต่มีชาวพุทธเท่านั้น ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความสดชื่นอันเกิดจากลมหายใจยาวๆครั้งนึง  ชาวพุทธที่ถูกปรับทัศนคติให้ตรงกับพระพุทธเจ้า  จะสามารถสังเกตได้ว่าสภาพจิตใจมันไม่เหมือนเดิม  ความไม่เหมือนเดิมเนี่ยเป็นสิ่งดีที่สุดที่น่าเห็น  ตอนเบื่อๆตอนซึมเซาอยู่  ตอนห่อเหี่ยวอยู่  มันไม่มีอะไรดีเลย  แต่พอหายใจแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นมา เออ..รู้สึกดีขึ้น  ความรู้สึกดีขึ้นเนี่ย  ถ้าเราตั้งใจรักษาไว้ดื้อๆเลยนะ  มันล้มเหลว  แต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจแค่สังเกตดู  ว่าสดชื่นขึ้นไปนิดนึงแล้ว  แตกต่างไปนิดนึงแล้วเนี่ย  มันยกขึ้นมาใช่ไหม  เมื่อไรมันจะตกลงมาอีก  

สำหรับคนที่กำลังเหงากำลังเบื่อ  กำลังรู้สึกว่าชีวิตแย่  กำลังรู้สึกว่าจิตแย่นะ  พอมันขึ้นไปเนี่ย  มันก็จะตกกลับลงมาทันที  เพราะอะไร  เพราะว่าเราสั่งสมแรงดึงดูดให้จิตมันลงต่ำไว้มามาก  พอกอะไรที่มันดำๆ  ที่เป็นหลุมดำไว้จนมันมีกำลังแก่กล้า  ความสดชื่นเดี๋ยวเดียวที่เกิดจากการหายใจยาวๆเนี่ย  มันสู้ไม่ไหว  พอถูกยกขึ้นไปปุ๊บ  มันตกกลับลงมากระแทกดินทันที  เกือบจะทันที  ถ้าหากว่าเรายังใจเย็นอยู่  แล้วก็มีความเชื่อมั่นว่าเราไม่มีอะไรต้องเสียไปมากกว่านี้  แต่ถ้าเราสังเกตต่อ  สังเกตเห็นความไม่เที่ยงทางภาวะภายในไปเรื่อยๆ  ทุกอย่างจะดีขึ้น  อย่างน้อยที่สุดนะครับ  จากไม่มีสติ  ไม่มีความก้าวหน้าใดๆทั้งสิ้น  มันยังกลับมีสติเห็นอะไรขึ้นมาบ้าง  มันยังมีอาการเดินต่อไปข้างหน้านิดนึง  จะก้าวเล็กๆหรือว่าก้าวสั้นๆก็ตาม  

เราดูต่อ  เนี่ยจิตมันตกกลับมา รู้สึกแย่อีก รู้สึก โอ้ย..ทำไปไม่มีประโยชน์  เจริญสติไปเดี๋ยวก็กลับมารู้สึกแย่ๆอีก  เนี่ยมันจะคิดฟุ้งซ่าน  มันจะคิดดึงเราลงต่ำยังไงก็ตาม  ยอมรับตามจริงว่ามันกำลังคิดอย่างนั้น  จิตมันกำลังแย่อยู่อย่างนั้น  แล้วเราก็ไม่สามารถที่จะหายใจยาวๆได้ทุกครั้งด้วยเพราะมันจะอึดอัด  ก็สังเกตไปว่า เออ..หายใจยาวๆ สดชื่นขึ้นมานิดนึง  แล้วกลับแฟบลงไปอีก  ฟูขึ้นมานิดนึงแล้วกลับแฟบลงไปอีก  ลมหายใจต่อมามันสั้นลง  แล้วทำความเข้าใจ ทำความรับรู้ไปว่า เออ..มันต้องสั้นลงเป็นธรรมดา  มันยังไม่ดีขึ้นสุดๆเป็นธรรมดา  มันตกกลับลงมาเป็นธรรมดา  

จากนั้นก็หายใจต่อ  ลองสังเกต  แค่ไม่เกิน ๑๐ลมหายใจ  ผมรับประกัน  มันมีความแตกต่างขึ้นมาทันที  จากจิตที่มันเหมือนกับพลิกคว่ำอยู่  มันจะกลายเป็นพลิกหงายขี้นมา  ลักษณะของจิตที่พลิกหงายขึ้นมา  ไม่ใช่อะไรที่มหัศจรรย์เลิศเลอ  หรือว่าพิสดารพิเศษน่าตื่นตะลึงอะไรนะครับ  มันเป็นแค่ความรู้สึกธรรมดาๆของคนที่หายซึมเซา  มันมีภาวะขึ้นมาภาวะนึงที่แตกต่างไปจากเดิม  นั่นคือมีสติ  

คำว่ามีสติเนี่ย  คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่าหมายถึงการที่เราสามารถจะคิดเลขได้ จะอ่านหนังสือออก  จะพูดกับคนเข้าใจ  แต่จริงๆแล้ว  ตัวมีสติจริงๆเป็นภาวะพิเศษที่ทำให้จิตของเราเลิกง่วงเหงาซึมเซา  เลิกเบื่อหน่าย เลิกเหงา แล้วก็เลิกคิดท้อแท้  ว่าไม่ก้าวหน้าซะที  การมีสติจริงๆเนี่ยก็คือการที่เราตื่นเป็นปกติ และพร้อมที่จะเห็นเข้ามาว่า  ภาวะภายในมันจะส่งอะไรมาล่อลวงให้ลงต่ำอีก  ภาวะมีสติที่แท้จริงทางพุทธนั้นก็คือว่า  ไม่หลงกับสิ่งล่อลวงที่จะผุดขึ้นมา  ในรูปของความคิดก็ตาม  หรือว่าในรูปของหลุมดำทางอารมณ์ที่จะดึงดูดให้จิตให้ใจของเราเนี่ยมันตกต่ำ  การมีสติก็คือการไม่หลงที่จะยอมตามอีกภาคนึงของเราลงไปตกต่ำ ลงไปสู่อบายขณะยังมีลมหายใจ  

สรุปง่ายๆ  ถ้ากำลังเบื่อๆ กำลังเหงาๆ  หรือเกิดความรู้สึกว่าเจริญสติไม่ก้าวหน้า ชีวิตไปไม่ถึงไหน  ทำๆหยุดๆ  ผลอะไรที่เคยสั่งสมมามันหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่ทราบ  ไม่ต้องไปสนใจ  สนใจแค่ชีวิตที่ยังมีอยู่และชีวิตที่เหลือที่เราจะทำอะไรได้  สนใจว่าเรายังมีโอกาสแบบที่พระอรหันต์ท่านมี  นั่นก็คือมีกายมนุษย์ไว้ดูความไม่เที่ยง  มีสภาพจิตใจมีสภาพทางอารมณ์ที่มันแสดงความไม่เหมือนเดิมในแต่ละลมหายใจอยู่ตลอดเวลา  นี่คือสิ่งที่เรามีเราได้โอกาสเท่าๆกับพระอรหันต์  แต่พระอรหันต์ท่านทำต่อเนื่องมากกว่า  ไม่เหมือนพวกเราที่ยังต้องทำมาหากินกัน  เราก็ยอมรับจุดยืนหรือว่าชัยภูมิในสภาพนี้แหละ  ดีที่สุดก็คือทำบ้าง  แย่ที่สุดคือไม่ทำเลย  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น