วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

นั่งสมาธิแล้วรู้สึกหัวหนัก ทึบ จุกอก

ผู้ถาม :  อยากจะถามพี่ตุลย์ว่า ช่วงนี้รู้สึกเพ่งหรืออะไรก็ไม่ทราบ จะหนักๆ เป็นภาวะที่จุกอก หัว โดนครอบ เหมือนกับ..จะว่าเพ่งก็ไม่ใช่ พูดไม่ถูก..

รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/aAOwC4I-3_g
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๓
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
 

ดังตฤณ:  
ไม่หรอก คือที่ผ่านมามันหนักกว่านี้ ครอบกว่านี้ แต่เรามองไม่เห็น เพราะว่ามันกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน กระแสจิต’  กับ ความปรุงแต่งทางจิต’ เนี่ยมันเสมอกัน มันเลยมองไม่เห็น แต่ตอนนี้ใจเราเบา ใจเราเนี่ยคือเหมือนกับเริ่มเปิด เริ่มเป็นอิสระ แต่ว่าลักษณะการปรุงแต่งทางความคิด หรือว่าถ้าอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ คือรูปแบบคลื่นสมองมันยังเป็นแบบเก่าอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็ถึงค่อยรู้สึกขึ้นมาว่า อันนี้ของหนัก อันนี้ของครอบ 

เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปต้องตกใจนะ เราแค่รู้สึกถึงมัน แล้วก็เห็นมันไปเรื่อยๆก่อน  โดยไม่คาดหวังว่าเดี๋ยวมันจะหายไป เดี๋ยวมันจะต้องอย่างนั้น เดี๋ยวมันจะต้องอย่างนี้ เนี่ย เห็นไหม พอมันหมดความคาดหวัง มันเหมือนปลดอะไรทิ้งไป พอเรายังคาดหวังอยู่ จะในทางที่ผลักไสมันออกก็แล้วแต่ หรือจะในทางที่ดีงดูดเข้าหาตัวก็แล้วแต่ มันจะเหมือนกับส่งอาหารหล่อเลี้ยงให้เกิดความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมา เนี่ย..พอนึกถึงขึ้นมาแวบเดียวเนี่ย มันก็กลับมาอีก

ผู้ถาม :  ถ้าเกิดว่าปล่อยให้มันไม่ต้องรู้สึกอะไรเลย เหมือนกับว่าไหล..

ดังตฤณ:  
ไม่ใช่ๆ คือไม่ใช่ปล่อย คือรับรู้ด้วยอาการยอมรับ ว่านี่มันมีความรู้สึกอย่างนี้อยู่เป๊ะเลยนะ ความรู้สึกแบบเนี้ย ไม่ได้ไปทำอะไรกับมันนะ มันก็จะเหมือนกับสติปรากฏขึ้นในวินาทีนั้น คือเมื่อไหร่ที่มีอาการยอมรับจริงๆ ยอมรับสภาวะที่กำลังปรากฏอยู่ ตอนนั้นจะมีสติผุดขึ้นมาทันที ลักษณะของจิตจะถูกปรุงแต่งเป็นสติ มีความสว่างแบบมีสติ ไม่ใช่มีความสว่างแบบตั้งใจเอาดี

และอย่าคาดหมายว่ามันจะหายไปเร็วๆนี้ แต่คาดหมายว่าเราจะเอามันมาเป็นอุปกรณ์การฝึกไปอีกเป็นปีๆ พอคิดอย่างนี้ มันจะเกิดความรู้สึกที่ดีกับมันทันที มีทัศนคติที่ดีกับมันทันที แล้วก็จะเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่า จะภาวะแย่ หรือภาวะที่น่าชื่นใจอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายมันมีค่าเท่ากัน คือมาเพื่อให้ดูว่ามันไม่เที่ยง มาเพื่อให้ดูว่าใจเรายอมรับอยู่ไหม

ปกติเราจะมีอยู่สองอย่าง คือ อยากยึดไว้เพราะมันดี กับอยากให้มันหายไป อยากทำลายทิ้ง เพราะมันไม่ดี มีอยู่แค่สองภาวะนี้มาตลอด ทีนี้กว่าที่จะมาฝึกให้เกิดภาวะว่า โอเค เรายอมรับได้ทุกอย่าง ขอแค่ดูว่ามันไม่เที่ยง กว่าจะถึงตรงนี้ได้เนี่ย มันต้องทำกันนาน มันไม่ใช่ยากตรงรูปแบบ แต่มันฝืนกับกระแสเก่าที่คนเราถูกบีบมาให้ยึดแต่อะไรดีๆ และก็ไม่อยากที่จะเจออะไรชั่วๆ

ผู้ถาม :  ก็คือฝึกดู บางทีเดี๋ยวนี้ถ้ามันมาปุ๊บ ก็เหมือนจะรักมันไปเลย ก็ดูไป แล้วเดี๋ยวมันก็บางไป หายไป เดี๋ยวมันก็มาอีก

ดังตฤณ:  
จำไว้ว่า นี่เป็นภาวะดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งปรากฏขึ้นมา ไอ้หนักๆ (ภาวะแน่น ภาวะจุก) อะไรนี่ แต่เราไม่เคยเห็น เพราะจิตเดิมมันหนักอยู่ มันเสมอกันกับภาวะปรุงแต่ง มันอยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว แต่เราเพิ่งเห็น เพราะจิตของเราเพิ่งเปลี่ยนจริงๆ เปลี่ยนเป็นภาวะที่พร้อมจะเป็นอิสระ พร้อมที่จะเบิกบาน แต่พอเรากลับไปเห็นของเดิมที่มันอยู่ตรงนั้นมาตั้งนาน ..เหมือนคนอยู่ในห้องมืดมาตลอด มันไม่เห็นวัตถุดำๆ เพราะมันกลมกลืนกับความมืด ต่อเมื่อห้องเริ่มสว่างขึ้นมา มันถึง..เฮ้ย..อะไรเนี่ย ที่แท้มันอยู่ตรงนั้นมาตั้งนานแล้ว ไม่เคยไปไหนเลย

ผู้ถาม :  ถ้าจะปฏิบัติต่อ ก็คือว่าให้กลับมาดูที่กาย แล้วเห็นความฟุ้งหรือความคิดอะไรที่ปลิ้นๆออกมาใช่ไหมคะ

ดังตฤณ:  
ตอนดูกาย เน้นดูตอนขยับ
ของน้องอย่าเน้นดูตอนนิ่ง เพราะตอนนิ่งจะจ้องมากไป

ผู้ถาม :  มันจะเป็นก้อนๆ

ดังตฤณ:  
ที่รู้สึกเห็นเป็นก้อนๆ เพราะอาการของเรามันอยากจะจับให้มั่นคั้นให้ตาย แต่ตอนที่เคลื่อนไหว จะเห็นอะไรที่ตรงไปตามจริงมากกว่า

ผู้ถาม :  คำถามสุดท้ายค่ะ ที่พี่ตุลย์บอกว่ามีความรู้สึกเหมือนเป็นแม่ชี หลังๆมันรู้สึกว่าพอเห็นความแก่ ความชรา ความเสื่อม มันเป็นความสังเวช ความรู้สึก หรือความคิดไม่ทราบ มันรู้สึกกลัวความจริง

ดังตฤณ:  
ดูความกลัวไป  ดูความรู้สึกว่า ..คือเห็นเป็นภาพของจิตนะ ว่าความกลัวมันเป็นอะไรมืดๆ มันเป็นอะไรที่รู้สึกว่าตัวตนมันจะเสียหาย ตัวตนมันจะถูกทำร้าย ตัวตนมันจะแตกพังไป คือเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเริ่มยอมรับว่า สภาวะความกลัว สภาวะมืดๆ อะไรแบบนั้น มันเป็นแค่ภาวะชั่วคราวที่ปรากฏ 

ตอนนี้มันไม่ยอมรับว่าเป็นสภาวะชั่วคราวไง ความกลัวมันจะผูกจิตเอาไว้ให้ยึดแน่นกับความรู้สึกว่าเดี๋ยวมันจะพัง เดี๋ยวมันจะเสียหาย ต่อเมื่อจิตเริ่มรู้สึกว่า อ้าวนี่มันแค่ภาวะหนึ่ง มืดๆเหมือนเมฆหมอก เข้ามาร้อยรัด เข้ามาห่อหุ้มอยู่แป๊บหนึ่ง มันก็จะเกิดความรู้สึกแบบใหม่ขึ้นมาว่า ตกลงมันไม่มีอะไรเลย แค่ปรุงแต่งไปชั่วคราว คือจะกลัวก็ต้องตาย จะไม่กลัวก็ต้องตายนะ แต่ชั่วขณะที่ปรุงแต่งขึ้นมา มันยังไม่ตาย แต่มันก็กลัว นี่ตรงนี้ที่เราจะเริ่มเห็นว่าแม้กระทั่งความตายที่น่ากลัวเนี่ย ก็ไม่น่ากลัวเท่ากับความไม่รู้ ความไม่สามารถเห็นความจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น