วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

รู้ได้อย่างไรว่าชีวิตก้าวมาถูกทางแล้ว

ถาม : คือ อยากจะถามอาจารย์ว่า เราจะค้นหายังไงให้เจอเร็วๆ แล้วก็อย่างการปฏิบัติยังไม่ ...

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/DqFVHy9PZyU
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑๒
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
 

ดังตฤณ: 
คือเราเจอทิศทางแล้ว วันนั้นพี่ก็พูดไปแล้วนะ เราเจอทิศทางแล้ว แต่ว่ามันยังปฏิบัติมาไม่ได้เต็มที่ เนี่ย อย่างสองสามวันที่ผ่านมา เราไปสังเกตไง เรื่องนั่งทื่อเนี่ยใช่ไหม มันเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว นี่ก็เรียกว่ามีการขยับไปในทิศทางที่มันใช่มากขึ้น

โอเค ต้นทางนี่เรามาถูกแล้ว บอกว่าพุทธศาสนา เจริญสติเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อความดับจากกิเลสทั้งสิ้นทั้งปวง ดับจากความโศกทั้งปวง ตรงนี้มันเหมือนกับใครๆก็รู้ ใครๆก็ท่องกันคล่องปาก แต่ว่าที่จะทำได้จริงๆมีกี่คน ทีนี้ประเด็นก็คือว่า เมื่อเราเริ่มมีพัฒนาการ เนี่ยอย่างสองสามวันที่ผ่านมา รู้สึกว่ามันคล่องตัวขึ้นไหม

ผู้ถาม : วันนี้ลองปฏิบัติดู แบบลองสังเกตลมหายใจเข้าหรือออก ก็สบายขึ้นค่ะ

ดังตฤณ: 
ใช่ แล้วเห็นไหม มันไม่ทื่อเหมือนเดิม

ผู้ถาม : อันนี้ถือว่าโอเคหรือเปล่าคะ หรือว่ายัง...

ดังตฤณ: 
คือมันเป็นการเปลี่ยนแปลงแล้ว โอเคไม่โอเคเนี่ย อย่างเพิ่งไปให้คะแนนมัน เพราะว่าถ้ารีบให้คะแนนตอนนี้เนี่ย เดี๋ยวมันจะอาศัยเป็นเครื่องวัดว่า ถ้าดีต้องอย่างนี้ แต่สังเกตต่อไปจะดีกว่า ว่าแต่ละวันมันไม่เหมือนเดิม บางวันมันก็ขึ้น บางวันมันก็ลง หมายความว่า บางวันมันก็ปฏิบัติได้ดี บางวันมันก็รู้สึกเหมือนกับฟอร์มตก กลับไปทื่อๆเหมือนเดิมอีก แล้วก็ค่อยๆไล่นับหนึ่งใหม่ ทีละครั้งทีละหน

เสร็จแล้วอย่างทางโลกเนี่ย เราจะทำไปแบบไหน เราจะทำงานยังไงนะ ถึงจุดหนึ่งเราจะรู้สึกว่า ตรงนั้นเป็นเปลือก อย่างไงเราก็ต้องมีชีวิตแบบฆราวาสตรงนี้ไปก่อน เลี้ยงตัวให้ได้ก่อน เสร็จแล้วมันจะได้แค่ไหน มันจะหยิบยื่นอะไรมาเป็นข้อเสนอให้เรา เราก็รับ แต่ไม่ได้ขวนขวายมากเท่ากับตรงที่เราจะเอาจากพัฒนาการทางจิตวิญญาณ พัฒนาการความเป็นพุทธ ที่มันจะค่อยๆตื่นขึ้นมาเรื่อยๆ สังเกตอาการที่มันตื่นขึ้นมากกว่าเดิม คือหมายถึงว่ามีอาการที่กระตือรือร้นมากขึ้น มีความคล่องตัวมากขึ้น มีความพร้อมที่จะรับรู้อะไรด้วยความ มีแก่ใจ

แต่เดิมเนี่ย เราต้องเหมือนกับบังคับตัวเองให้มีแก่ใจ ถึงจะรับรู้อะไรอย่างหนึ่งได้อย่างสดชื่น พูดง่ายๆว่าแกล้งๆให้เขาเห็นว่าเราก็สดชื่น ว่าเราก็อยากจะรับรู้อะไรแบบนี้ แต่ว่าใจข้างในของเรามันทื่อๆอยู่ นี่สองสามวันที่ผ่านมา มันเกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง มันเกิดความรู้สึกว่าเต็มใจมากขึ้น

อย่างบอกดูลมหายใจอย่างงี้ แต่ก่อนมันไม่ได้เต็มใจดู มันต้องฝืน แต่ครั้งนี้พอดูเป็น มันไม่ได้ฝืน มันเกิดความรู้สึกว่า เออ วิธีที่จะรู้วิธีที่จะดูเนี่ย ก็คือเห็นให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่เห็นให้มันเป็นอย่างที่ใจเราอยากจะให้มันเป็น แต่เดิมเนี่ย มันด้วยอาการจับ ด้วยอาการยึดไว้ทื่อๆ ด้วยอาการอยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ พอไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ ก็เกิดความรู้สึกว่า เออ ไม่ได้คืบหน้า หรือถ้าจับพลัดจับผลู มันเกิดความรู้สึกนิ่งๆฟลุคๆขึ้นมา เราก็จะเอาตัวนั้นเป็นตัวตั้งว่า นี่แหละ คะแนนอยู่ที่ตรงนี้ ถ้าจะก้าวหน้า ต้องมาให้ถึงตรงนี้ หรือเลยไปจากตรงนี้ เสร็จแล้วมันไม่ได้อะไร มากไปกว่าพยายามซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้เข้าถึงจุดเดิม

แต่ทีนี้ถ้าเรามาฝึกด้วยอีกมุมมองหนึ่ง มันจะเป็นอย่างไร เรายอมรับตรงนั้นเลย ไม่มีคะแนน มีแต่เห็นว่านี่ ไม่ดี แล้วมันต่างไปเป็นดีในลมหายใจไหน แล้วในอีกลมหายใจต่อมา มันกลับดร็อปลงไป เราก็ไม่ให้คะแนนมันว่านี่ติดลบ มีแต่บอกว่า โอเค นี่ภาวะไม่ดี แตกต่างจากเมื่อครู่ที่มันดีๆอยู่ ความเป็นจิตเนี่ย มันจะเข้าโหมดมีสติจริงๆ

คำว่ามีสติเนี่ย ความหมายดั้งเดิมโดยนิยามก็คือว่า มีความสามารถระลึกรู้ว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นในปัจจุบัน ภาวะที่มันกำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาเนี่ย มันเป็นอย่างไรอยู่

แต่ตามอัตโนมัติของคนที่ยังมีกิเลสอยู่ด้วยความไม่รู้ คำว่าสติมันกลายเป็นว่า บังคับได้อย่างใจ คำว่าสติหมายความว่า มีอาการนิ่งๆ แล้วก็มีอาการที่พูดง่ายๆว่าเป็นสมาธิ ไม่มีอาการไหวติง ไม่มีความฟุ้งซ่าน ซึ่งเราเป็นอย่างนั้นมา คือจะฟังจะทำความเข้าใจถูกต้องมาอย่างไรก็ตาม โดยการปฏิบัติจริงเนี่ย อย่างไรมันก็เป็นอยู่อย่างเดิม มันจะมีความรู้สึกว่า ต้องล๊อค ต้องนิ่ง ต้องมีแต่อะไรดีกับดีเท่านั้น ถึงจะเรียกว่าใช้ได้ ถึงจะเรียกว่าเอฟเฟ็กทีฟ (effective) ทีนี้ คำว่าเอฟเฟ็กทีฟเนี่ย เรามานิยามกันใหม่หมดเลย เอฟเฟ็กทีฟในความหมายที่ว่า สามารถเห็นว่ามันแตกต่างไปอย่างไร ระหว่างดีกับไม่ดี เพื่อให้รู้จริงๆว่ามันไม่เที่ยง

เอาล่ะ คราวนี้กลับมาตอบคำถามแรก ถ้าเราเห็นได้เรื่อยๆ แล้วเรารู้สึกเหมือนกับว่าจิตสว่างขึ้นๆ มีความปลอดโปร่งมากขึ้น มีความก้าวหน้ามากขึ้น ตรงนี้มันจะกลายเป็นคำตอบใหม่ คือไม่ใช่คำตอบจากพี่เอง ว่านี่ตรงนี้แหละ ที่เราจะพบทางชีวิตของตัวเองชัดเจน แต่มันจะเต็มออกมาจากใจเลย ใจที่มันรู้ ใจที่มันรู้สึกว่านี่มาถูกทางแล้ว ที่เราต้องการจริงๆในชีวิต

ผู้ถาม : คือทางโลกนี่ หนูก็ทำงานไปเรื่อยๆ นี่น่าจะถูกทางแล้วนะคะ

ดังตฤณ: 
คือให้มันเป็นเปลือกในชีวิตไป เพราะใจของเราจริงๆอย่างที่พี่บอกวันก่อน ทางโลกเนี่ย มันก็อยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น เหมือนคนอื่นเขานั่นแหละ แต่มันไม่สุด มันมีความรู้สึกเหมือนอยากแบบครึ่งๆกลางๆ เอาง่ายๆ ถ้าบอกว่าจะให้เราสิบล้านเนี่ย แต่ขอให้ไปอยู่ไซบีเรียอย่างงี้  ไปอยู่ในที่ที่มันกันดาร เรียกว่าต้องออกแรง พูดง่ายๆไปสุดหล้าฟ้าเขียว แล้วก็ออกแรงแบบหามรุ่งหามค่ำเนี่ย เราก็ไม่เอา คือบางทีเนี่ย มันจะอยากได้ คือบอกว่าให้เงินสิบล้านมาเนี่ย จะเอาหรือเปล่า..เอา แต่พอบอกเงื่อนไขว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะชะงัก เนี่ย ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมาเราก็เป็นอย่างนี้ คือเหมือนกับถ้าเราต้องออกแรงจริงๆ บางทีเราจะมองไม่เห็นว่า ที่ออกแรงไป แล้วได้สิ่งที่เราต้องการมา มันคุ้มหรือเปล่า มันแลกกันได้หรือเปล่า ทีนี้ถ้าแลกกันไม่ได้ แล้วอะไรล่ะที่มันจะเพียงพอให้แลกกันได้ ตรงนี้ก็เป็นคำตอบทางใจ

ซึ่งพี่ถึงบอกว่า ทางโลกเนี่ย ทำไปเรื่อยๆเถอะ ให้มันเลี้ยงตัวให้รอด แล้วเราจะเห็นว่า ชีวิตแบบโลกๆเนี่ย มันเป็นแค่เปลือกที่เลี้ยงตัวเราไว้ให้เจริญสติต่อไป แล้วก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ คือไม่ใช่หวัง ว่าจะได้มรรคผลเมื่อนั่นเมื่อนี่ ไม่ได้หวัง ว่าจะได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้หรือเปล่า แต่เราหวังที่จะได้เจริญสติ แล้วก็เห็นพัฒนาการของเราไปวันต่อวัน เหมือนอย่างที่ผ่านมาเนี่ย คือมันสะสมมาเยอะแล้ว กำลังของสมาธิ กำลังของความตั้งใจที่จะพากเพียร แต่มันยังครึ่งๆกลาง เพราะว่ามุมมองมันยังเซ็ตยังไม่ได้ถูกต้องตามทิศตามทาง

ผู้ถาม : คือเราจะหาได้เอง ถ้าสมมุติว่าปฏิบัติ ...

ดังตฤณ: 
ไม่ใช่จะหาได้เอง คือที่ผ่านมา มันก็โอเคแล้ว สองสามวันที่ผ่านมา แต่มันต้องรอการสะสมพัฒนาการ เพราะเราจะไปเร่งเอาไม่ได้ ว่าเนี่ย จิตมันจะสว่างเต็มขึ้นมาวันที่เท่านั้นวันที่เท่านี้ มันไม่เหมือนทางโลก กำหนดได้ ต้องให้เสร็จเมื่อนั่นเมื่อนี่ แต่กำลังของจิตเนี่ย มันเป็นเรื่องอจินไตย มันคาดคะเนเอาไม่ได้ คือ มันอาจจะบอกได้ด้วยกำลังจิตของคนที่สูงกว่าเรานะ ว่าเนี่ยเหลืออีกกี่ปีๆ ถ้าทำไปตามเส้นทางนั้น เส้นทางนี้ แล้วเนี่ย มันจะก้าวหน้าไปถึงขั้นนั้นขั้นนี้ อันนี้มันอาจจะบอกได้ แต่ตัวของเราเอง คือเราเห็นแค่ว่า แต่ละวัน มันก้าวหน้าขึ้นหรือเปล่า

คำว่าก้าวหน้าก็คือว่า สามารถเห็นอะไรตามจริง สามารถยอมรับอะไรตามจริงได้ไหม เวลาที่เผชิญกับกิเลสทางโลกเนี่ย เราเกิดความรู้สึกร้อนรนทุรนทุรายเหมือนเดิมหรือเปล่า หรือมีการเซื่องซึมทื่อๆเหมือนเดิมหรือเปล่า อย่างของเราบางทีมันเป็นพวกครึ่งๆกลางๆ มันกึ่งทื่อกึ่งร้อนรน เข้าใจคำนี้ไหม

กึ่งทื่อ ก็คือเรามีความรู้สึกเหมือนถูกครอบอยู่ด้วยอะไรบางอย่าง ที่เราบอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ แต่ความร้อนรนเนี่ยก็คือว่า มันเหมือนมีอาการวิ่ง แสวงหา ตัวนี้ ถ้าหากว่าเราเห็นว่ามันทะลุออกไป มันเปิดกว้างออกไป อย่างตอนนี้ เราจะรู้สึกได้ว่ามันเหมือนเป็นอิสระมากขึ้น อาการที่ถูกครอบๆกดๆ ที่มันเหมือนถูกขังไว้ในห้องแคบๆเนี่ย มันเหมือนหลุดไป อาการร้อนๆรนๆ มันอาจจะยังหลงเหลืออยู่ แต่ว่าไม่ใช่ในอาการพลุ่งพล่าน แต่มันเป็นอาการกระตือรือร้น ในอีกแบบหนึ่ง ตัวนี้แหละ ที่มันเป็นคำตอบในชีวิต มันเป็นคำตอบออกมาจากสภาพทางใจ มันเป็นคำตอบออกมาจากความรู้สึกว่าใช่ ไม่ใช่คำตอบจากพี่นะ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น