วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิธีสังเกตอาการจิตกระโจนเข้าไปยึดคว้า

ถาม : พอเห็นว่าจะไปคิด มันหยุด ก็เลยไม่ได้ไปคิดเรื่องนั้นต่อ สักพักก็ปล่อยไป อย่างนี้ได้ไหมคะ

รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/dF68Mp57ONE
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๖
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๗ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
 

ดังตฤณ:
น้องอย่าไปล็อค หรือเจาะจงว่าเราต้องทำอย่างไร เราเกิดผลอย่างไรแล้วผิดหรือถูก ให้ดูที่ใจ เนี่ย ตอนนี้ใจมันนิ่งขึ้นเห็นไหม นิ่งขึ้นเหมือนกับว่ามันต่าง เอ๊ะ ทำไมมันต่างเป็นคนละคนได้แค่ไม่กี่วันนะ เหตุผลก็เป็นเพราะว่า เดิมเนี่ยเราเป็นคนกลัวจะไม่ได้ กลัวจะไม่ได้นั่น กลัวจะไม่ได้นี่ ทั้งทางโลกและทางธรรม  พอทางโลก เนี่ยเราก็ คว้าเอาๆ อยากได้นั่นอยากได้นี่ มันมีอาการวิ่งเต้นมาตลอด ยังไม่หยุดเรื่องนึง มันอยากได้อยู่เรื่องนึงแล้ว เพราะว่าของเราๆจะเป็นคนที่เป็นห่วง ห่วงว่าอนาคตจะยังงั้น อนาคตจะยังงี้ เพราะฉะนั้นเราต้องการซีเคียวริตี้ (security)  เราต้องการอะไรที่มันรู้สึกเซฟมากที่สุด ที่จะเป็นไปได้ มันก็เลยวิ่งไม่หยุด

ทีนี้ที่ผ่านมา ชีวิตสอนให้เราเห็นว่า ยิ่งวิ่งมันยิ่งไม่เซฟ ยิ่งดิ้นยิ่งเต้นไปเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยไปถึงความรู้สึกอบอุ่น หรือปลอดภัยสักที มีแต่อาการเหนื่อย ของเราเนี่ยถ้าไม่เหนื่อย ไม่มาตรงนี้หรอก มันรู้สึกเหี่ยวแห้งอยู่ในใจว่าคว้าอะไรมันก็ไม่ได้สักที จับอะไรมันก็ไม่อยู่สักที มันลื่นไหลไปหมด แล้วเราก็มีความรู้สึกเป็นทุกข์ ทีนี้พอเราได้ศึกษา ได้เข้าใจว่า เออ ทั้งหลายทั้งปวง เนี่ยมันอยู่ที่ใจ มัวแต่ไปหลง มัวแต่ไปยึด มัวแต่ไปวิ่งตาม วิ่งไล่ตามเงา เราก็รู้สึกว่าเออ มันหายเหนื่อย มันสบายขึ้น

ทีนี้พอเราเข้าใจจริงๆ ว่าจะปฏิบัติจิตอย่างไรให้มันหยุด คือหยุดนี้ ไม่ใช่อยู่ๆไปสั่งให้มันหยุดดื้อๆ แต่เห็นว่าอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงในเราบ้าง เห็นว่าอะไรที่ มันเคลื่อนไหวให้ดูบ้าง แล้วไม่ไปเต้นตามมัน มันก็เกิดความรู้สึกนิ่ง คือจุดเริ่มต้น มันจะมาจากตรงนี้ก่อน อย่างสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา มันเกิดความรู้สึกสว่าง มันเกิดความรู้สึกสบาย มีปิติ เรารู้สึกว่าตรงนี้หยุดได้ ไม่เห็นต้องทำอะไรมากไปกว่านี้

ทีนี้อย่างที่น้องถามว่า เอ๊ะ มีความคิดผุดขึ้นมา ยังไม่ทันกระโดดไปอีกเรื่องนึง มันหยุดแล้ว มันผิดหรือเปล่าเพราะว่ามันผิดจากกติกาที่เราคุยกันวันก่อนนะ มันก็เลยสงสัย ตรงนี้จริงๆแล้วเป็นผลลัพท์ที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องอยู่แล้วนะ ถ้าเรารู้เข้ามาที่ใจ แล้วก็เกิดความรู้สึกสว่างที่ใจ  มันไม่พร้อมจะไปไหนอยู่แล้ว มันพร้อมที่จะอยู่นิ่งอยู่กับที่อยู่แล้ว

ทีนี้ประเด็นคือว่า ต่อไปเมื่อเกิดอาการอยากวิ่งเต้นอีก อยากกระโจนเข้าไปยึดโน่นยึดนี่ กระโดดจากเรื่องโน้นเรื่องนี้อีก เราแค่รู้ว่าเกิดอาการกระโดดขึ้นมา แต่ไม่ใช่ว่าเราไปเฝ้าสังเกตอยู่ ว่ามันกระโดดจากเรื่องไหนไปเรื่องไหน เราเห็นเป็นจิตเลย เป็นอาการของจิตว่า กำลังจะกระโดด ออกอาการกระโดด หรือถ้าหากว่ามีอาการหยุด มีอาการสบายอยู่ เราก็รู้ว่ามีอาการหยุดอยู่ สบายอยู่ มีอาการเหมือนจิตมันเปิดกว้างออก มันเหมือนกับว่าเป็นอิสระ มันเหมือนกับไม่ต้องทำอะไรแบบเก่าๆ

แค่เปรียบเทียบ ระหว่างสภาวะของจิต ทั้งสองแบบเนี่ยไปเรื่อยๆนะ ตอนนี้มันหยุด ตอนนี้มันอยากดิ้นขึ้นมาใหม่ ตอนนี้มันอยากวิ่งไปข้างหน้า ตอนนี้อยากยึดเอา อยากยึดโน่น อยากยึดนี่ ตามนิสัยความเคยชินเดิมๆของจิต เราก็แค่ยอมรับไปว่ามันเกิดขึ้น คือ อย่าไปคาดหวังนะ ว่าจิตดีๆแบบนี้มันจะอยู่กับเราตลอดไป

ถ้าคาดหวังเมื่อไหร่ เผลอไปคาดหวังว่า จิตดีๆจงเป็นของเรา จิตดีๆจงอยู่กับเราตลอดไป เกิดขึ้นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตัวนี้มันก็คือความยึดไว้ผิดๆแล้ว แล้วพอยึดไว้ผิดๆ เนี่ย สิ่งที่จะตามมามันไม่ใช่ความสุข มันเป็นความทุกข์ ความกระวนกระวายแบบเดิมๆ  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น