ถาม : ขออนุญาตถามนิดนึงนะครับ สมัยบวชมันก็นิ่งได้ เริ่มจากพอมันเข้าสมาธิแล้วหูมันก็ดับ
หูดับแล้วก็คล้ายๆมันหายไปเลย มันเหมือนไม่มีอะไรเลย
คือได้หลายครั้งเหมือนกันนะครับ ครั้งหนึ่งที่มันเกิดขึ้นครั้งเดียว คือมันเงียบจนรู้สึกจิตมันจะกระโดดออกจากร่างไป
ก็ตกใจ และก็สงสัยมาตลอดว่าคืออะไร
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/HaGZ9P7GInI
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๘
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๘
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ:
เป็นเรื่องปกติมากเลย คือพอตอนที่หูดับไปเนี่ย เพราะว่าจิตเข้ามันไปสงบ
และก็ตัดการรับรู้ทางประสาทกาย แล้วพอมันมีกำลังมากเข้าๆ มันไม่พอใจในกายละ
กายเนี่ย เป็นที่อยู่ที่อาศัยของจิต ที่นึกๆคิดๆ แต่ถ้าจิตมันไม่นึกไม่คิด
มีแต่อาการรู้ มีแต่อาการหนักแน่น เป็นสมาธิอยู่ มันอยากจะออกไปข้างนอก
มันเห็นกายนี้คับแคบ มันก็อยากจะดีดออกไป มีแรงดันจะออกไป
ทีนี้ ถ้าเราเจริญสติมาตามขั้นตามตอนจริงๆนะ
คืออย่างอันนี้เนี่ย เป็นที่ถกเถียงในวงการปฏิบัติ เอ๊ะ ตอนที่ได้ฌาน
อารมณ์การรับรู้ประสบการณ์ภายในมันเป็นยังไงกันแน่ อย่างอารมณ์หูดับเนี่ย มันก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของฌาน
คือตัดการรับรู้จากข้างนอก พระพุทธเจ้าเคยบอก ขณะท่านเดินจงกรมอยู่
ฟ้าผ่าท่านไม่ได้ยิน เพราะประสาทหูท่านตัดออกจากการรับรู้ภายนอก
แต่ประสบการณ์ของบางคน คือได้ฌานจริง จิตเป็น’เอกัคคตา’ ใหญ่
หนักแน่นและก็กว้างขวาง แต่ว่ามันก็ยังรับรู้อยู่อย่างนี้ มีลมหายใจเข้า
ลมหายใจออก รับรู้ถึงอาการปรากฏของอิริยาบถนั่งอยู่ มันไม่ได้หายไปไหน
คือมีจิตที่สว่างเด่นดวงด้วย และก็รับรู้ถึงอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันด้วย
จิตหยุดเหมือนกับไม่มีเวลา แต่ว่าร่างกายยังแสดงความเคลื่อนไหวอยู่
ตัวนี้มันก็เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
พ้อยท์ก็คือว่า
ถ้าจิตยังรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของกาย คือเจริญอานาปานสติมาจนกระทั่งว่า จิตอยู่ส่วนจิต
และลมหายใจอยู่ส่วนลมหายใจ ต่างคนต่างอยู่จริงๆ ตรงนั้นจิตจะไม่ดิ้นรนอยากออกนอกกาย
คือมันจะไม่สะสมแรงดันว่า เมื่อไรจะดีดออกไปสักที มันจะมีความรู้เท่าทันอยู่ว่า มันยังครองกาย
มันยังอาศัยกายเป็นโพรงอยู่ และก็ไม่มีอาการดิ้นรน
อันนี้ยังมีอาการดิ้นรน เพราะว่าจิตมันสงบเข้าไป
สงบแบบอัดตัว อัดกำลัง พอถึงจุดนึง มันพยายามดิ้นออก
แต่เนื่องจากไม่ได้รู้ทางออกจริงๆ เพราะจิตเนี่ย เริ่มต้นขึ้นมา
พอขึ้นต้นชาติใหม่มันโง่หมด มันไม่รู้อะไรเลย อย่างเคยทำได้มา เคยรู้ทางออกมา
มันลืม มันต้องมาฝึก มันต้องมาได้คำแนะนำอะไรที่มันจะเข้าทางได้ไหม่
แต่ทีนี้ ถ้าเรามองว่าในชาตินี้มันมีโอกาสดีที่สุดแล้ว
รู้จักแนวปฏิบัติแบบพระพุทธเจ้านี้นะ ไม่ต้องไปดิ้นรนหาทางออกใหม่ก็ได้
คือหาทางที่จะให้จิตมันมีอาการตื่นรู้ แล้วก็มีแต่อาการตระหนักว่า อะไรๆที่อยู่ทั้งภายนอกภายในเนี่ย
มันแสดงความไม่เที่ยง มันแสดงอนัตตาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ตรงนี้นะ มันจะทำให้แรงดิ้น
แรงดันอะไรต่างๆ แม้กระทั่งอยากออกจากโพรง อยากออกจากร่างกายนี้ มันไม่เกิด
หรือถ้าเกิดขึ้นมา มันรู้ทางแบบชัดเจน คือมันจะแยกได้ ยังไม่ต้องแบบถอดจิต คือมันจะรู้สึกเหมือนแยกออกไปเป็นต่างหากเอง
ซึ่งตรงนี้ มันเป็นเรื่องของคุณภาพจิตที่พัฒนามาตามแบบพุทธจริงๆ
ตามแบบพุทธก็คือ ตามวิถีธรรมชาติจริงๆ
พอถึงเวลาขึ้นมา จิตมันใหญ่กว่ากาย ถ้าจะออกข้างนอกจริงๆ มันออกอย่างรู้
ออกด้วยความใหญ่ ออกด้วยความมีสติรู้ว่า นี่กายส่วนกายนะ นี่จิตส่วนจิตนะ และเห็นว่า
พอจะแยกออกไปมันแยกออกไปด้วยเหตุผลอะไร มันรู้สึกว่า เป็นอิสระ
มันสามารถขยับนิดนึงเคลื่อนออกไป โดยที่ไม่ต้องหาทางออก มันเคลื่อนออกไปได้เอง
คือจิตมีความใหญ่เหนือกายนั่นเอง แล้วที่จะเป็นแบบนั้นเนี่ย เอาตามแบบพุทธก็คือว่า
ให้รู้สึกถึงอิริยาบถ ให้รู้สึกถึงลมหายใจไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน รู้ว่าในแต่ละลมหายใจปฏิกิริยาทางใจเป็นอย่างไร
สุขหรือทุกข์เป็นอย่างไร มันสงบหรือฟุ้งซ่าน เอาตามแบบสติปัฏฐานเลย พอไปถึงจุดหนึ่ง
ตัวนี้แหละที่จะเป็นคำตอบทางธรรมชาติเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น