วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เข้าใจตัวเองผ่านภาวะหนักทึบขณะทำสมาธิ

ถาม :  เจริญอานาปานสติตลอด แต่รู้สึกว่าบางครั้งมีอาการแน่นๆ 

รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/IwHypQ5uPPo 
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๓
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
  

ดังตฤณ:  
มันหนักตั้งแต่ความคิดนะ คือของคุณเหมือนกับต้องรับภาระอะไรมาแต่ไหนแต่ไร อะไรอย่างเนี้ยนะ เสร็จแล้วคือมันจะหนักใจ มีเรื่องหนักใจเยอะ ความหนักใจมันนำมาซึ่งอารมณ์แบบไหน มันเหมือนจะตุงๆอยู่ในหัว นึกออกใช่ไหม ตั้งแต่ไหนแต่ไรมานะ คล้ายๆกับหนักๆข้นๆมืดๆ พูดง่ายๆมีก้อนความเครียดที่เกาะอยู่ในหัวมา

แล้วความรู้สึกแบบนี้ พอมาทำสมาธิ มันก็จะเหมือนกับเห็นชัดขึ้น แต่เดิมพอเราคิดมาก หรือเรามีอาการหมกมุ่นอยู่กับปัญหาอะไรก็แล้วแต่ มันจะไม่ค่อยเห็นเป็นก้อนๆ ไม่ค่อยเห็นเป็นความอึดอัดมากชัดเจน แต่พอนั่งสมาธิ บางครั้งมีความเบา มีความโปร่งขึ้นมาเป็นขณะๆ เพราะฉะนั้นมันจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาเลยว่า นี่มันอึดอัดตรงนี้ จริงๆมันอึดอัดอยู่แล้ว แต่เพิ่งมาเห็นตอนที่มีความแตกต่าง ตอนที่จิตของเราเริ่มโปร่งเบา ตอนที่ร่างกายของเราเริ่มอยู่ในสภาวะที่คลายจากอาการเกร็ง พอกลับไปเกร็งใหม่ปุ๊บ อุ๊ยตกใจ ทำไมรู้สึกว่าร่างกายมันรัด ร่างกายมันแน่น

เอาอย่างนี้ ก็คือเราทำความเข้าใจ มองภาพอย่างที่ผมพูดให้ฟังอย่างนี้นะ ทั้งร่างกายและจิตใจเนี่ย มันอยู่ในภาวะที่พร้อมจะอึดอัดอยู่แล้ว พร้อมที่จะเครียดอยู่แล้ว แต่พอเรามานั่งทำสมาธิและมันมีความโปร่งเบาอยู่บ้าง มันก็ถูกขับให้เห็น ทำให้เกิดความเด่นขึ้นมา

อย่างเมื่อกี้นี้ ตอนที่นั่งสมาธิตอนแรก บางทีมันเหมือนจะเบาๆขึ้นมาชหนึ่ง เสร็จแล้วมันก็จะโงกเงกๆอย่างนี้นะ มันหนักๆ มันรู้สึกเหมือนมีอะไรไปเทินอยู่บนหัว อะไรแบบนี้ คือมันจะไม่ค่อยเบาแบบเสมอต้นเสมอปลาย มันจะเบาบ้าง หนักบ้าง อะไรอย่างนี้นะ ดูไปตรงนั้นแหละ ดูไปว่าเดี๋ยวมันก็หนัก เดี๋ยวมันก็เบา อย่าคาดหวังว่ามันจะเบาเลย อย่าคาดหวังว่ามันจะไม่กลับไปอึดอัดคัดแน่นอีก แต่คาดหวังว่าเราจะได้เห็นความสลับกันระหว่างความอึดอัด ความหนักความแน่น แล้วก็ความเบาความโปร่ง เพราะว่าตรงนี้มันคลายไม่ได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆหรอก มันเหมือนเราแบบนี้มาทั้งชีวิต ตั้งแต่ไหนแต่ไรเวลาคิดมากขึ้นมา มันจะเหมือนมืดๆ เหมือนคนหน้ามืด แล้วก็จะรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆอยู่นหัว คล้ายๆว่าชีวิตเป็นของหนัก คือมันอยู่ในใจเรา รู้สึกว่าชีวิตเป็นของหนัก

เอาง่ายๆ พอถึงเวลาบันเทิง มันเหมือนแกล้งๆ แกล้งๆบันเทิง มันไม่บันเทิงจริง เพราะว่าตรงนี้มันไม่ไปไหน ตรงความรู้สึกปักใจเชื่อไปแล้วว่าชีวิตเป็นของหนัก แต่ตอนนี้เห็นไหม มันเบา มันกลายเป็นเบา เหตุผลเพราะว่าเราเข้าไปเห็นภาวะที่มันหนักๆ และไม่ไปทำอะไรกับมันมากไปกว่าเห็น แล้วมันคลายออกไปเอง

ทีนี้เวลาปฏิบัติ เวลานั่งสมาธิ หรือว่าเวลาอยู่ในระหว่างชีวิตประจำวันก็ตามแต่ ถ้าเราเห็นอย่างนี้ อย่างที่ผมบอกเมื่อกี้นี้ แล้วเกิดความรู้สึกเบาขึ้นมา.. / ..อันนี้ก็อปปี้(Copy) อันนี้ตั้งใจ เห็นไหม เห็นความตั้งใจจะเบาไหมเมื่อกี้นี้ ความตั้งใจจะเบา คือ อาการนึกถึงความเบาทั้งๆที่มันไม่ได้เบา ตอนนี้สับสน ตอนนี้เป็นความสับสนนิดหนึ่ง คือไม่ใช่สับสนทางความคิด แต่สับสนทางความรู้สึก เนี่ย ยอมรับตามจริงว่ามันเป็นความสับสนทางความรู้สึก หน้าตามันเป็นแบบนี้ มันเหมือนวู้บวั้บๆ มันไม่หยุด เนี่ยแค่ยอมรับตามจริงไป ลมหายใจนี้มันสับสนอยู่.. / ..อ่านี่ เห็นไหมมันคลายแล้ว

จำไว้นะ ลักษณะการยอมรับตามจริง ไม่ใช่การปฏิเสธ ไม่ใช่พยายามคิดว่าจะทำอย่างไร แต่รู้ไปซื่อๆนี่แหละ ว่ามันกำลังสับสนอยู่ หน้าตามันเป็นแบบนี้ ..เห็นไหมโปร่งขึ้น ลักษณะที่โปร่งขึ้น ไม่ใช่มันเบาเหมือนเมื่อกี้นะ ไม่ใช่มันเบาเหมือนไม่มีอะไรเลย มันยังมีอะไรคาๆอยู่ แต่มันไม่หนัก และตรงนี้แหละที่จะถอนความเชื่อได้ว่าชีวิตเป็นของหนัก

และลองสังเกตดูสิ พอกลับไปบันเทิงอีกด้วยใจที่มันรู้สึกเบาเนี่ยนะ คราวนี้มันจะบันเทิงสุด ในทางธรรมเนี่ย พอปฏิบัติไปแล้ว กลายเป็นย้อนให้ทางโลกมีความสุข สนุกมากขึ้น แต่ก่อนเหมือนเราค้นหาว่า ทำอย่างไรถึงจะสนุกจริงๆ ทำอย่างไรถึงจะหัวเราะให้สุดเหมือนเขา มันเหมือนสงสารตัวเองว่าไม่เคยหัวเราะสุดกับเขาสักที เหตุผลบางทีเหมือนเส้นผมบังภูเขา คือคนบางคนแค่ฟังเท่านั้นนะว่า มันติดอยู่กับความเชื่อว่าชีวิตไม่มีทางที่จะดีขึ้น ไม่มีทางที่ชีวิตจะดีขึ้นไปกว่านี้ แค่นั้นก็หลุดเลย หลุดออกไปจากกรงขังที่ว่าตัวเองไม่มีทางจะดีขึ้น และทุกอย่างก็ดีขึ้นมาตลอด แสดงให้เห็นว่า บางครั้งคนเราไม่ได้ติดอยู่กับกรงจริงๆที่ขังเราอยู่ภายนอก แต่ติดอยู่กับกรงขังความคิด ที่เราไม่รู้จะเอาออกอย่างไร ไม่รู้ว่ากุญแจอยู่ตรงไหน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น