วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ตั้งใจมากเกินไป ไม่เห็นจิตตามจริง

ถาม : เพิ่งเริ่มเป็นผู้ปฏิบัตินั่งสมาธิได้ประมาณ ๓-๔เดือนค่ะ ในการปฏิบัติก็รู้สึกว่าตัวเองยังปฏิบัติไม่ค่อยดีนัก แต่ว่ามีความตั้งใจ

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/aolSlDT3gTw
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๕ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
 

ดังตฤณ: 
เมื่อกี๊ตอนนั่งสมาธิรู้สึกไหมว่ามันโล่ง มันมีความว่างอย่างใหญ่ขึ้นมาแวบนึง

ผู้ถาม : ใช่ค่ะ

ดังตฤณ: 
ตรงนั้นเนี่ยมันเกิดจากการที่เราตั้งมุมมองไว้ถูกต้อง ที่ผ่านมาคุณตั้งใจมากเกินไป แล้วมันเหมือนกับสงสัยลังเล ทีนี้พอ ที่พูดไปน่ะ เราปรับไปเนี่ยมันเหมือนได้ไกด์ ได้คนคอยช่วยพยุง แล้วเราก็เลยมั่นใจว่า เออ..เนี่ยเอาแค่ตรงนี้แหละ ทำแค่ตรงนี้แหละ ใจมันก็เลยโฟกัสกับสิ่งที่ถูกต้อง อารมณ์ที่ถูกต้อง ที่ผ่านมามันมัวแต่ลังเลสงสัย มันมัวแต่อยู่กับความอึดอัด บางทีมันมีความสงสัยขึ้นมานิดนึงแต่อึดอัด ปล่อยให้จมอยู่กับความอึดอัด แล้วไม่รู้ความอึดอัดนะ มันก็เลยเหมือนกับล็อค ล็อคอยู่ตรงนั้น

ผู้ถาม : ค่ะ แล้วทุกวันนี้ตั้งแต่นั่งสมาธิ มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติ แล้วรู้สึกมีสติคอยกำกับ..

ดังตฤณ: 
แต่มันระวังมากเกินไป

ผู้ถาม : ระวังมากไปใช่ไหมคะ

ดังตฤณ: 
เรารู้สึกใช่ไหมว่า ที่เราใช้คำว่ามีสติกำกับเนี่ย มันรู้สึกอึดอัด ว่ามันกลัวไปหมด ว่าทำไปเดี๋ยวจะหลุด ทำไปเดี๋ยวจะไม่ใช่  คือต่อไปเนี่ย อย่าไปพยายามจ้องว่ามันผิดหรือถูก มันดีหรือไม่ดีแล้วหรือยัง แต่หัดที่จะยอมรับว่าเกิดอะไรขึ้นกับใจของเรา

ยกตัวอย่างเช่น เกิดความรู้สึกว่า เนี่ย..ที่เกิดขึ้นบ่อยๆเนี่ย ความอึดอัดเนี่ย หรือเกิดความรู้สึกเหมือนมีบีบๆคั้นๆขึ้นมาที่ตรงกลางอกเนี่ย ตอนที่เรากลัวจะผิด ก็ยอมรับตามจริง อันนี้เค้าเรียกว่าอาการที่จิตหดตัวด้วยความกลัว ทุกครั้งที่เกิดความกลัว จิตจะหด แล้วจะรู้สึกเหมือนมันบีบๆคั้นๆ แต่อย่างตอนเนี่ยพอเรารู้สึกได้ พอเราพูดถึงภาวะของความหด ภาวะของความกลัว แล้วเราทบทวนว่าที่ผ่านมามันเป็นอย่างนั้น มันก็คลาย ตัวที่มันรู้สึกคลาย ตัวที่มันรู้สึกว่าสบาย มันก็เป็นแค่ภาวะนึง อย่าไปดีใจกับมัน อย่าไปหลงยินดีว่าเนี่ยเจ๋งแล้ว ว่าเนี่ยควรจะทำให้มันเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ แต่ให้สังเกตว่าตอนนี้ที่มันเปิด มี่มันสบาย หน้าตามันเป็นอย่างนี้ แล้วต่อไปถ้ามันหดตัวกลับเข้ามา ก็ไม่ต้องเสียใจ แต่ให้เห็นความแตกต่างว่ามันต่างกันยังไง 

ดูไปอย่างนี้เรื่อยๆนะ แล้วในที่สุดเนี่ยเราจะรู้สึกว่า ทั้งหมดทั้งปวงเวลาเราดูเข้ามา เวลาเรารู้เข้ามาเนี่ย มันมีแต่ความเห็นถึงความแตกต่าง แล้วพอใจอยู่กับการเห็นความแตกต่างนั้นไปเรื่อยๆ ตัวนี้แหละที่จะทำให้มันก้าวหน้าต่อไป ที่ผ่านมามันก้าวแล้วติด ก้าวแล้วติด เพราะกลัวผิดนี่แหละ 

ผู้ถาม : แล้วเรื่องการไปใส่บาตรในตอนเช้าน่ะค่ะ คือเวลาเดินออกไปใส่บาตร ไกลมาก ไปกลับก็เป็นกิโลกว่า แล้วในระหว่างเดินก็มีการดูลมหายใจ แล้วก็พิจารณาสิ่งที่เห็นเป็นธรรมะ และมีการแผ่เมตตาด้วย อย่างนี้ใช้ได้ไหมคะ

ดังตฤณ: 
มันตั้งใจได้ดีเกินไปหน่อยครับ คือมันเหมือนนางฟ้าไปหน่อย คือมันมีภาพๆนึงที่มันแสนดีน่ะ ตอนระหว่างเดิน พอจะนึกออกไหมว่าเป็นยังไง คือเหมือนกับทำจิตให้มันดีมากๆ ทำจิตให้มันสว่าง ทั้งๆที่ตอนนั้นบางทีมันอาจจะไม่ได้สว่าง มันอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้นน่ะ ระหว่างเดินไปเนี่ย คือเอาตัวที่มันปรากฎขึ้นจริงๆให้ได้ก่อน คืออย่าไปสร้างมโนนึกไว้

ผู้ถาม : ให้รู้ตามจริง..

ดังตฤณ:
ใช่.. เช่น เท้ากระทบเนี่ย มันกระทบอยู่แน่ๆ เราไม่ต้องไปสร้างมัน เราไม่ต้องไปจินตนาการ มันกระทบอยู่ให้รู้สึกตลอดเวลาอยู่แล้ว พอกระทบๆๆไป แล้วก็จะเกิดความรู้สึกมีความสุขขึ้นมาเอง ตัวนี้.. ความสุขตรงนั้นมันไม่ได้สร้างแล้ว มันไม่ได้จินตนาการแล้ว แต่มันเกิดขึ้นจากการเจริญสติ ทำให้สติเจริญขึ้น แล้วมันถึงมีความสุขกับการก้าวเดินขึ้นมา ตรงนั้นค่อยแผ่เมตตา แล้วมันจะเป็นการแผ่เมตตาจริงๆ

เห็นไหมตอนนี้ ใจ..  รู้สึกไหมเมื่อกี๊นี้  พอเข้าใจเนี่ย มันลดระดับการจินตนาการลง มันเหมือนจะมาอยู่กับสิ่งที่มันกำลังปรากฎจริงๆอยู่ในภาวะตอนนี้มากขึ้น คือมันไม่ได้สร้าง แต่มันเกิดความรู้สึกขึ้นมาเอง อันเนี่ยอย่างนี้มันจะดีจริง ดีแบบนี้ไม่เหนื่อย ของเราเคยรู้สึกไหม มันเหมือนดีแล้วเหนื่อย คือมันไม่ใช่พยายามจะดีนะ แต่ว่ามันดีแบบที่ต้องออกแรงน่ะ ต้องอาศัยกำลังใจ แต่ถ้าหากว่าเราดีออกมาจากความสุขเนี่ย มันไม่เหนื่อย แล้วมันจะดีมากขึ้นเรื่อยๆวันต่อวัน เข้าใจพ้อยท์นะ

ผู้ถาม : เข้าใจค่ะ แล้วอาจารย์มีอะไรจะแนะนำเพิ่มเติมไหมคะ ได้ยินพระท่านเทศน์ว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ยากมาก เราควรจะใช้โอกาสนี้ปฏิบัติให้สุดความสามารถ ก็เลยรีบเร่ง อยากปฏิบัติให้ดี

ดังตฤณ:
คือจุดเริ่มต้นมาจากสถานที่ดีมาก มีความเปลี่ยนแปลง มีกำลัง ทีนี้การที่เราจะทำให้มันกลายเป็นความจริงขึ้นมาเนี่ย มันต้องเข้ามาอยู่กับภาวะที่กำลังปรากฎจริงๆ คือของเราคล้ายๆจิตจะออกไปแนวแผ่เมตตา แล้วก็ไม่เบียดเบียนอะไรๆทำนองนั้น ซึ่งมันไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่หมายความว่ามันพอแล้ว มันมาต่อยอดเอาเป็นการเจริญสติตามจริงที่มันกำลังปรากฎอยู่ เนี่ย..อย่างเมื่อกี้ที่ฟังพี่พูดมา เราก็เข้าใจ ก็ค่อยๆเอาไปดูให้เห็นความจริงในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆวันต่อวันก็แล้วกันนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น