วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิธีภาวนาในช่วงกำลังมีความสุขล่อใจ

ถาม : ขอคำแนะนำเรื่องการปฏิบัติ หลังๆฟุ้งเยอะมาก หลังๆมีช่วงที่หยุดเดินไปเลย เพราะรู้สึกว่าเดินก็เดินไม่ได้ แต่ก่อนที่พี่ให้วิ่งก็คือวิ่ง แต่ว่าพอมันไม่ได้ตลอดทุกวัน ขี้เกียจด้วยปนๆ


รับฟังทางยูทูบ https://youtu.be/RFEsTjeGS1Y
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก


ดังตฤณ: 
นั้นแหละพูดคำนี้ สรุปขี้เกียจเนี่ย มันจะได้ประหยัดคำไปได้หลายสิบคำ คือจริงๆ แล้วที่ผ่านมา มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก มันฟุ้งไปกับงาน แต่ว่าระหว่างทำงานมันยังดูตัวฟุ้งอยู่บ้าง เวลาที่เกิดความฟุ้งหนักๆ ขึ้นมาคล้ายๆ เอะใจขึ้นมาว่า เออ ตอนนี้มันฟุ้งหนักนะ บางทีมันไม่ได้รู้สึกว่านี้เป็นการเจริญสติ แต่มันก็เป็นความเคยชินนั้นแหละที่จะเห็นว่า หน้าตาความฟุ้งซ่านกำลังปรากฎเป็นอะไรยุ่งๆอยู่ในหัว มันดูเป็นแวบๆน่ะ มันไม่ได้ถึงกับทิ้งไปทีเดียว เคยรู้สึกไหมว่า เรารู้สึก เอ๊ะ ตอนนี้มันกำลังฟุ้งๆ ยุ่งๆ เห็นเป็นก้อนๆ รู้สึกใช่ไหม เออ นั่นแหละ เค้าเรียกว่ามีสติสักแวบนึงนะ การมีสติแวบนึงอาจจะดูไร้ประโยชน์ แต่ถ้าเกิดมีหลายๆแวบ พูดง่ายๆคือปลูกฝังความเคยชินเสียใหม่ ไม่ใช่แค่ดูแค่ครั้งสองครั้งแล้วเลิก ที่มันจิ๊ดๆ ที่มันนึกว่านิดๆนั้นน่ะ ถ้าหากว่าสะสมวันละเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว มันกลายเป็นสติอย่างใหญ่ขึ้นมาได้ เพราะฐานของจิตเราดีอยู่แล้ว
ช่วงหลังๆอาจจะ คือเรื่องกิเลสเข้ามา ที่ทำให้ใจมันเขวไปในทางสุข เขวไปในทางที่มันจะน่าติดใจอะไรทั้งหลายเนี่ย มันก็เหมือนเราจะรู้สึก แต่ก่อนจิตมันตรงเช้งนะ แต่ตอนนี้บางทีมันมัวๆเลือนๆ ตามอาการที่ความสุขภายนอกมันมาล่อใจ นี้ถ้าเราดูออก แม้กระทั่งว่าตอนที่มีความสุข มีอาการเหมือนกับจะมียางเหนียวยึดติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หน้าตาของจิตมันเป็นยังไง มันเหมือนย้วย มันเหมือนหนังสติ๊กที่มันยืดยานออกไปอะไรแบบเนี้ยนะ เราดูให้เห็นเป็นครั้งๆ ไปมันก็จะไม่เผลอไปทีเดียว
ทีนี้บางทีเราพอใจไง ที่จะปล่อยให้มันเผลอไปทั้งหมด มันก็เลยไม่เหลือสติเลย ทีนี้พอเหมือนกับเราปล่อย หลายๆครั้งเข้า มันกลายเป็นเลือน ชินที่จะปล่อยให้มันเลือน ก็จะรู้สึกว่ามันกลับมายาก ที่มันกลับมายากเพราะว่าความพอใจ สิ่งที่ชีวิตเป็นไป มันเหมือนกับแตกต่าง ชีวิตมันคล้ายๆ ข้ามเส้นอะไรมาเส้นหนึ่งด้วย ที่แต่ก่อนเรารู้สึกมันเหมือนแห้งๆแล้งๆ ตอนนี้มันดูเหมือนจะมีความแตกต่างไป มันไม่ได้แห้งแล้งเหมือนแต่ก่อน คือมันมีความติดใจแบบโลกๆที่เข้ามา ความแห้งแล้งคือไม่รู้จะติดใจอะไรดี มันดูเหมือนไม่มีไปหมด ตอนนี้คือ ผู้คนรอบข้างดูต่างไป
แล้วก็ แม้แต่ความรู้สึกว่าเรามีความสุขอยู่กับธรรมะ มันก็มีส่วนมีอิทธิพลที่ปรุงแต่งใจของเราให้เกิดความรู้สึกว่า เอ้อ เราสบายอยู่แล้ว พอตัวความรู้สึกสบายอยู่แล้ว มันมีมากๆ หมายถึงตอนที่ว่างจากงานอะไรอย่างนี้น่ะนะ มันก็ทำให้ขี้เกียจที่จะไปทำอะไรที่มันดีขึ้น ตัวที่เหมือนกับตั้งหน้าตั้งตาเหมือนแต่ก่อนมันน้อยลง
ทีนี้ แทนที่เราจะปล่อยให้มันเลยตามเลย ก็อย่างที่พี่ว่า คือพอรู้สึกถึงความฟุ้งซ่านที่มันขมวดเข้ามาในหัว ที่มันเป็นเหมือนก้อนๆอะไรยุ่งๆอยู่ในหัวเนี่ย แค่รู้มันนิดนึง ว่าเออ หน้าตาของความฟุ้งซ่านเป็นก้อนๆมันเป็นแบบนี้นะ แล้วรู้บ่อยๆ คือพอเราสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างอาการฟุ้ง กับอาการที่มันคลายออกมาบ้าง แค่ครั้งสองครั้งเนี่ย ขอให้มันเป็นชนวนเริ่มต้นนะ มันก็จะไปกระตุ้น พอเห็นความแตกต่าง ตัวเห็นความแตกต่างนั้นแหละ ที่มันจะไปกระตุ้นให้เกิดการเห็นความฟุ้งซ่านซ้ำขึ้นมา พอมันเกิดขึ้นอีกก็จะนึกได้อีก แต่ถ้าเห็นความฟุ้งอย่างเดียว บางทีมันไม่ใช่ตัวกระตุ้น เข้าใจคำพูดพี่ไหม คือถ้าหากว่าเราเห็นครั้งเดียว มันเหมือนกับไม่เกิดอะไรขึ้นเท่าไร แต่ถ้าเราเห็นว่าเอ้ย ตอนนี้มันฟุ้งยุ่งๆ ลมหายใจนี้มันยุ่งแค่นี้ อีกลมหายใจนึงมันอ่อนกำลังลง ตัวเห็นความแตกต่างเนี่ยแหละ ถ้ายิ่งเห็นบ่อยเท่าไร มันจะยิ่งกระตุ้นให้อยากกลับไปเห็นมากขึ้นเท่านั้น ถ้าไม่เข้าใจถามนะ

ถาม :  คือมันไม่ได้ชัดขนาดนั้นน่ะค่ะ ที่เห็นว่าฟุ้งเนี่ย คือก็รู้สึกว่ามันฟุ้งมาก

ดังตฤณ: 

ความฟุ้งซ่าน ไม่ถูกเห็นโดยชัดเจนได้หรอก แต่มันสามารถรู้สึกว่าแตกต่างไป คือมันมีความหนาแน่นขึ้นมาตอนแรกเนี่ยนะ แล้วมันก็กลับเบาบางลงนิดนึง ที่นิดนึงนี้แหละ ขอให้เห็นเถอะ ถ้าเห็นสัก ๒-๓ ครั้งนะ การเห็นตัวนี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เราเห็นอีก เข้าใจไหม
ตอนแรกเนี่ยมันไม่มีความเคยชินที่จะเห็นความแตกต่างตรงนี้ แต่ถ้าหากว่าเราเหมือนกับเฝ้าสังเกตอยู่ เวลาที่เครียดกับงาน พออยู่ในระหว่างทำงานหรือว่าเสร็จงานมันจะเป็นจังหวะที่ดี เป็นโอกาสที่เราจะรู้สึกถึงความเครียดในหัว ความฟุ้งความยุ่งที่มันเป็นก้อนๆ พอเรารู้สึกเข้ามานะ แทนที่จะดูอยู่เฉยๆอาจจะใช้ลมหายใจช่วยสักนิดนึง ลมหายใจนี้เราฟุ้งอยู่แค่นี้ เรารู้สึกได้ มันมีความหนาแน่นอยู่แค่นี้ อีกลมหายใจนึงมันอ่อนกำลังลงหรือเปล่า ถ้าหากแค่เห็นครั้งเดียวเนี่ยนะว่า หน้าตาความแตกต่างของก้อนฟุ้ง ความยุ่งตรงนั้นเนี่ยนะ ที่เหมือนกับด้ายขอด ที่มันขอดกันเป็นปม ขดๆๆ เนี่ย ถ้าเห็นได้แค่ครั้งเดียว ว่าเอ้อมันคลายลงได้จริงๆ เราสามารถเห็นความแตกต่างได้ มันจะมีกำลังใจและก็เป็นชนวนให้เกิดการสังเกตในครั้งต่อๆไปอีก
แต่ถ้าไม่สังเกตเลย มันก็จะเห็นอยู่แค่จึ้กเดียวแบบที่เราเคยเห็นเนี่ย มันเห็นเข้ามาเฉยๆว่าในหัวเนี่ยเป็นก้อนๆ เป็นอะไรฟุ้งๆยุ่งๆเฉยๆ แล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง ดูเหมือนมันไม่มีประโยชน์แต่จริงๆมันมี ถ้าเราสามารถเห็นความแตกต่างได้ เพราะว่าก้อนฟุ้งๆยุ่งๆแบบนี้โดยสายงานสายอาชีพ มันต้องเกิดขึ้นบ่อย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราสามารถเห็นได้บ่อยมันก็ได้ฝึกบ่อยเหมือนกัน เหมือนกับว่าไม่ได้ทิ้งไปไหนเหมือนกัน 

ผู้ถาม : ถามเรื่องรูปแบบได้ไหมคะ คือตอนนี้พี่ก็ยังแนะนำว่าเป็นวิ่งหรือเปล่า
ดังตฤณ: 

ของเราตอนนี้ เดินก็ได้แล้ว มันลงมาเยอะแล้ว แต่เดินเร็วนิดนึง เดินเร็วแต่เท้าต้องอ่อนนะ อย่าเท้าเกร็ง อย่าเท้าแข็ง คือแค่รู้สึกถึงเท้าที่มันกระทบ ฝ่าเท้าที่มันกระทบ แป๊ะๆๆ ไปเนี่ย รู้สึกถึงจังหวะได้ จังหวะมันจะมาอยู่ที่ใจ รู้สึกว่าแป๊ะๆๆ จนกระทั่งเกิดมีความรู้ตัวมากขึ้น มีความรู้ตัวมากขึ้น จากที่มาจากศูนย์กลางคือเท้ากระทบเนี่ย มันจะทำให้เรารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของจิต หรือปฏิกิริยาทางใจได้ชัดเจนขึ้น ตรงนี้เราก็จะมีกำลังใจว่า เออ เราทำได้มันไม่ได้หายไปไหน

ผู้ถาม : เดินนี้ เดินปกติเลยใช่ไหมคะ
ดังตฤณ: 

เร็วนิดนึง อย่าให้ช้า เพราะของเราเนี่ยถ้าช้าแล้ว ก้อนความเครียดมันจะไม่หายไปไหน แต่ถ้าจังหวะเท้ากระทบเนี่ย มันเร็วพอที่จะแย่งพื้นที่ความฟุ้งซ่านได้ มันจะรู้สึกสบายผ่อนคลายลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น