วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

รู้ลมหายใจได้ไม่เป็นธรรมชาติ


ถาม : ขอรบกวนขอคำแนะนำเกี่ยวกับการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ว่ายังตามรู้ลมหายใจได้ไม่เป็นธรรมชาติ 

รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/C_cWpmN-QYg
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก


ใช่ เพราะว่า ใจของเรานี้มันเหมือนกับกระโดดไปกระโดดมาอยู่ตลอด มองให้เห็นเป็นภาพของจิตนะ เหมือนคนวิ่งพล่าน วิ่งพล่านไปแบบไม่มีจุดหมาย เหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง หรือว่าเหมือนกับหนูติดจั่น ที่มันหาทางออกไม่เจออ่ะนะ และก็ไม่รู้จะวิ่งไปทำไมนะ แต่ขอวิ่งไว้ก่อนจิตคนเป็นแบบนั้นกันเยอะและถ้าหากว่าเราเอาจิตแบบนี้มาฝึกรู้ลมหายใจเนี่ย มันจะเหมือนกับว่าไม่เข้ากัน เพราะว่าลมหายใจเนี่ย เรารู้เป็นเส้นตรง เวลารู้เนี่ย มันรู้แค่เข้าออก เข้าออก อย่างเนี่ยเรียกว่ารู้เป็นเส้นตรง แต่จิตของเราไม่พอใจ ที่จะรู้อะไรเป็นเส้นตรง มันชอบที่จะวิ่ง ชอบที่จะวน ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าวนไปเพื่อะไร หาจุดหมายไม่เจอนะ พอเห็นภาพของจิตตัวเองเป็นอย่างนี้ได้แล้ว เราก็เริ่มต้นดูจากตรงนั้นก็ได้ คือถามตัวเอง เวลาที่ดูลมหายใจ อย่าพยายามไปดูลมหายใจอย่างเดียว แต่ถามตัวเองว่าในลมหายใจนี้ จิตมันวิ่งพล่านอยู่ไหม อย่างตอนนี้มันพล่านน้อยลง น้อยลงกว่าเมื่อกี้นี้ ลมหายใจนี้วิ่งพล่านน้อยลงนะ แล้วดูลมหายใจต่อไป คือไม่ใช่ไปรีบ อย่างนี้คือรีบเอาลมหายใจเข้ามา เห็นไหม พอพี่พูดว่าดูลมหายใจต่อไปเนี่ย เราพยายามดึงเข้ามาทันที คือไม่ใช่ยังงั้น คือที่พูดเนี่ยจะให้เป็นแผนที่ไว้เฉยๆ ว่าเมื่อไรที่ลมหายใจจะเข้ามา เราค่อยดู ดูตามจริง เนี่ยอย่างนี้ค่อยสบายขึ้น เห็นไหม แล้วเห็นไหมอาการวนๆมันน้อยลง ให้จำไว้ว่าลมหายใจนี้ความวิ่งวนมันน้อยลง อาการวิ่งวนมันน้อยลง เวลาเราดู เราดูควบคู่กันอย่างนี้ มันจะได้ไม่ใช่ เนี่ยอย่างตอนนี้มันวนกลับเข้ามาใหม่แล้วเห็นไหม


ตรงความอยากถาม ของน้องมันไม่ใช่แค่อยากถามอย่างเดียว มันมีอาการกระวนกระวายอยู่ด้วย คือเป็นความเคยชิน ที่ว่าอยากรู้อะไร อยากทำอะไร อยากพูดอะไร แล้วมันมีอาการดิ้น ดิ้นขึ้นมา คือสังเกตเป็นอาการในใจอ่ะนะ ในหัวเนี่ยมันจะเหมือนมีอาการเต้นๆๆ เราแค่รู้ไปถึงสภาพที่มันเป็นลมหายใจปัจจุบัน กำลังหายใจสั้นอยู่ หรือหายใจยาวอยู่ ส่วนใหญ่มันจะสั้นนะ เวลาที่มันวิ่งวน มันจะหายใจสั้น เหมือนรู้สึกติดขัด พอสังเกตควบคู่กันไปแบบนี้ว่า เออลมหายใจสั้น มันมีความรู้สึกวิ่งวน วิ่งจี๋อยู่ แต่ตอนที่รู้สึกว่ารอดูลมหายใจสบายๆว่าถึงเวลาเข้าแล้วหรือยัง ใจมันปลอดโปร่งมากขึ้น อาการวิ่งๆในหัวมันลดลง อย่างนี้ก็เกิดความรู้ เป็นความรู้จริงๆนะ ว่าลมหายใจยาว สบายๆเนี้ย มันมาพร้อมกับอาการหยุด หยุดนิ่ง แต่ลมหายใจสั้น มันจะมาพร้อมกับอาการวิ่งวน สับสน บางทีเราสับสนกับตัวเองว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ ว่าเราต้องการอะไรกันแน่ เพราะว่าวิธีการทำงานของจิต คลื่นจิต คลื่นสมองแบบเรา มันเป็นในแบบวิ่งพล่าน มันไม่ใช่เป็นการเดินเป็นเส้นตรง แต่ถ้าทำอย่างที่พี่ว่า อย่างนี้มันจะค่อยๆเดินเป็นเส้นตรงมากขึ้น


ถาม : จะถามว่า ตอนที่เราเผลอเนี่ยค่ะ เหมือนกับลมหายใจมันจะสั้น 


เมื่อกี้พี่เพิ่งบอกไปอยู่หยกๆ จะคิดไปเองได้ไง มันเป็นยังงั้นแหละ ลมหายใจเราที่สั้น เหตุผลเพราะว่า ร่างกายมันพร้อมที่จะเครียด ของเราเนี่ย พอมันคิดมาก คิดวิ่งแบบวิ่งวนเนี่ย ร่างกายมันจะไม่ผ่อนพัก แล้วพอร่างกายมันมีอาการบีบคั้น มันก็เลยเหมือนกับว่าหายใจน้อยลงโดยอัตโนมัติ


ถาม : แล้วยังงี้ คือเราไปแทรกแซง ความธรรมชาติของมันหรือเปล่าคะ


เอายังงี้ คือเวลาพระพุทธเจ้าท่านสอนนะ ท่านสอนให้ดูลมหายใจเป็นหลักตั้ง ดูว่า กำลังเข้าอยู่ หรือว่าออกอยู่ กำลังยาวอยู่ หรือว่าสั้นอยู่ แล้วให้ดูต่อด้วยว่า เออเนี่ย ไอ้ที่รู้อยู่เนี่ย มันคือจิต จิตผู้รู้กองลม แล้วก็รู้ต่อไปด้วยว่า ที่หายใจอยู่เนี่ยมีความปีติหรือไม่ปีติ เนี่ยท่านให้ดูเป็นขั้นๆไปแบบนี้ ถ้าหากว่าเราทำตามอานาปานสติ อย่างนั้นจะเห็นเลยว่าท่านให้รู้ลมหายใจควบคู่ไปกับอาการทางใจที่มันกำลังปรากฎอยู่เป็นธรรมชาติตามธรรมชาติอยู่นั้น พอเราได้หลักตั้งเป็นลมหายใจแล้วมันจะมีอะไรที่ชัดเจนเป็นตัวตั้งไม่งั้นเราไม่รู้จะเริ่มดูอาการทางใจจากตรงไหน เมื่อไรกันแน่ เหมือนกับที่น้องบอกว่า เอ๊ะ มันรู้สึกหายใจสั้น มันรู้สึกเครียดอะไรก็แล้วแต่ กลัวว่า ไปดูลมหายใจมันจะไปเป็นการแทรกแซง คือนั้นเป็นเพราะว่าเราเริ่มต้นขึ้นมาจากการดูอาการฟุ้งซ่านก่อน แล้วเสร็จแล้วค่อยไปดูลมหายใจทีหลัง มันก็เลยกลายเป็นการแทรกแซงแน่นอน แต่ถ้าหากว่าเราเริ่มต้นจากเบสิคแบบที่พระพุทธเจ้าสอนสติปัฏฐาน ๔ จริงๆ ท่านให้ดูลมหายใจก่อน ให้ชินนะ ดูจนชินด้วยนะ ไม่ใช่ดูแค่ป๊อปแป๊ปนะ ดูจนชินแบบที่ว่าเนี่ย ตั้งต้นขึ้นมาถามตัวเองว่า หายใจเข้าอยู่หายใจออกอยู่ครั้งนี้เนี่ย มันวิ่งพล่านอยู่หรือเปล่า อย่างตอนนี้มันเต้นๆอยู่ เออเราก็แค่ยอมรับมันไปตามจริง ว่าลมหายใจนี้มันเต้นๆอยู่ มันดิ้นๆอยู่ เห็นไหมมันยังดิ้นอยู่ มันยังไม่เลิกนะ เราก็แค่ยอมรับไป ว่า เนี่ยลมหายใจนี้มันยังไม่เลิกแค่นั้นเอง มันไม่ได้เป็นการทำให้มองไม่เห็น แต่ตรงข้ามมันทำให้เห็นชัดขึ้นต่างหาก ว่าลมหายใจนี้เกิดอะไรขึ้นกับจิตของเรา


ถาม : ขออนุญาตถาม ที่ลองฝึกเดินเล่นที่บ้านนี้น่ะค่ะ บางทีมันก็ปวดหัวแล้วมันก็หายไป เหมือนกับเครียดแล้วมันก็กลับมา


มันเป็นเพราะว่าวิธีการทางความคิดของเรา มันทำให้ร่างกายมันรวนไปหมด มันเริ่มมาจากวิธีคิด คือใจของเราจริงๆนะ มันไม่ได้อยากคิดอะไรยึดอะไรมากหรอก ใจของเราจริงๆเนี่ยนะ ตัวใจนะไม่ใช่ความคิด แต่ความคิดมันไปรับอะไรมาเยอะที่มันขัดแย้งกับอาการทางใจที่แท้จริง ถามตัวเองง่ายๆ ใจเราเนี่ย อยากสบายหรือว่าอยากวุ่นวาย คือเราบอกตัวเองอยากสงบ ไม่อยากเอาเรื่องเอาราวอะไรกับใคร แต่ความคิดมันไปรับอะไรมาเยอะ ข้อมูลข่าวสาร ละคร ทีวี อะไรต่างๆทั้งหลายเนี่ย มันมาผสมกันมั่วไปหมด บางทีเราจะรู้สึกนะว่าเหมือนมีใครมาพูดในหัว ไม่ใช่เสียงของเรา ใช่ไหม นั้นน่ะ แล้วมันทำให้ทั้งระบบของเรามันเรรวนไปหมด มันขัดแย้งกันไปหมด กระแสดั้งเดิมของเรา ต้องการที่จะเฉยๆสบายๆวางๆ ว่างๆ ไม่อยากเอาเรื่องเอาราวอะไรกับใคร ไม่ได้อยากอะไรมากมาย แต่ความคิดเนี่ยมันถูกบีบด้วยอะไรที่เป็น input เข้ามาเนี่ยจากข้างนอก ทำให้เราสับสน คือเราจะรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองข้างใน ว่าเราต้องการอะไรกันแน่ บางทีนะมันรู้สึกเหมือนกับอยากได้อะไรอย่างนึงมาก แต่อีกใจนึงน่ะ มันไม่อยากพยายามเพื่อที่จะได้มา มันเหมือนกับ มีอะไรสวิงอยู่ในตัวเรา เกือบตลอดเวลา แล้วตัวนี้แหละที่มันทำให้ไม่ได้พัก เวลาหลับก็หลับไม่สนิท มันเหมือนกับฝันอะไรยุ่งเหยิงอยู่ตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาก็เหมือนกับ เอ๊ะ มันยังไม่เลิกยุ่ง ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกยุ่งเหยิง ระหว่างวันทำงานก็ ทำไปก็มีคิดถึงโน้น ถึงนี้ คำพูดเพื่อนบ้าง คำพูดที่ไปเจ๊าะแจ๊ะบ้าง อะไรต่างๆเนี่ย ในเฟสในอะไรอย่างเนี่ย คือมันพรั่งพรูเข้ามาเยอะแยะไปหมด จนกระทั่งร่างกายของเรา จากเดิมที่มันสภาพค่อนข้างเปราะบาง ตรงที่เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ ความแข็งแรง เราไม่ค่อยมีพื้นเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพอยู่แล้ว ไม่ค่อยออกกำลัง เพราะฉะนั้นพอความคิดมันเรรวน มันปั่นป่วน มันขัดแย้ง มันก็เลยทำให้ระบบทั้งหมดปั่นป่วนตามไปด้วย คือว่าตรงนี้แหละเป็นสาเหตุ ทีนี้นะต่อไป เราแค่ดูอยู่แค่เนี่ย เอาจุดง่ายๆที่เราสามารถจำได้ ณ วันนี้เลย หายใจเข้าเรารู้สึกไหมว่ามันนิ่งๆอยู่ หายใจออกมันหายไปหรือยัง หรือว่าหยุดหายใจ เราเกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายไหม หรือจะดูลมหายใจดี หรือจะท่องบริกรรม หรือจะดูจิตอะไรดี ตรงนี้เนี้ย เค้าเรียกอาการวิ่งวน อาการวิ่งวุ่น แม้กระทั้งความสงสัยว่าจะทำอะไรดีในการภาวนา ณ วินาทีนี้ ก็เป็นอาการวิ่งวุ่นได้เหมือนกัน เข้าใจนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น