วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิธีเจริญสติสำหรับชอบปล่อยใจเหม่อ


ถาม : สวัสดีค่ะ คือหนูจะรบกวนถามค่ะ  หนูไม่ได้มีรูปแบบชัดเจนว่าปฏิบัติยังไง แต่ว่ามันจะติดคำบริกรรมค่ะ  พุท โธ  ซ้าย-ขวา อะไรแบบนี้ค่ะ คือไม่แน่ใจว่าตรงนี้พอจะเป็นจุดเริ่มทำพวกสมาธิหรือเปล่า

รับฟังทางยูทูบ https://youtu.be/wUd2HLBdN4c

ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ: 

จิตของเราเวลาถ้ามันจะตรง มันก็ตรงได้นะ ที่เราพูดถึงนี้มันเหมือนกับจะรู้สึกว่าตัวเองเป๋หรอ

ผู้ถาม : เหมือนเป็นคนไม่มีหลักค่ะพี่ คือหนูไม่ได้เข้าหาสำนักปฏิบัติอะไร คือจะอาศัยการอ่านหนังสือเอา แล้วก็ ..อันนี้เค้าบอกให้ทำแบบนี้หนูก็เอามาปฏิบัติอย่างนี้ค่ะ นั่งสมาธิ ดูลมหายใจ ท่องพุทโธ เดินจงกรม อะไรอย่างนี้ค่ะ แต่เหมือนที่พี่บอกว่า ก็ไม่ได้เน้นหนักสักทางหนึ่ง ไม่ได้เอาจริงเอาจัง มันก็จะมาเป็นแบบช่วงๆน่ะค่ะ  ช่วงนี้ขยันก็ทำ อะไรพวกนี้ค่ะ

ดังตฤณ: 
แต่จิตเราถ้าโฟกัสจริงๆก็โอเคนะ คือมันไม่ได้เป๋ไปเป๋มา คำว่าเป๋ของเราหมายถึงว่า ทำทีละครั้ง ไม่ใช่ซ้ำแบบเดิมอะไรแบบนี้ ให้มันก้าวหน้าขึ้นไปใช่ไหม เพราะว่าเวลาที่เราอยู่กับอะไร จิตมันก็ตรงพอสมควรแหละ แต่ว่าต้องจูนความเข้าใจให้ตรงกันก่อน

คำว่า เป๋ไปเป๋มา หมายความว่า เรา เหมือนกับ.. ไม่ได้พัฒนาไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ชัดเจน อย่างนั้นใช่ไหมคือความหมายของเรา? แต่ตอนที่เราอยู่กับอะไรมันก็สามารถนิ่งได้ เพียงแต่นิ่งเนี่ย มันจะไม่นิ่งแบบพัฒนาสติรู้ มันจะนิ่งแบบที่กดตัวเองให้อยู่กับอาการนิ่งนะ อันนี้เข้าใจตรงกันหมดนะ

ถ้าจะให้มันเป็นไปแบบดีที่สุดนะ ก็คือว่า
เราควรจะเจริญสติในแบบเคลื่อนไหวด้วย
ไม่ใช่เคยชินอยู่กับการไปจ้องอะไรนิ่งๆอย่างเดียว
อย่างเช่น..

(คุณดังตฤณถาม) .. เดินจงกรมมั่งหรือเปล่า? .. ไม่ได้เดินเลย นั่น..ว่าแล้ว

เวลาเดินจงกรมนะ เอาง่ายเลยๆคือ ในระหว่างวัน ลองฝึกเวลาไปไหนมาไหนเนี่ย รู้สึกถึงเท้ากระทบไป รู้สึกว่ามันแป๊ะๆๆ ไปเฉยๆ แต่ของเราเนี่ย พอจะให้ไปรู้เท้ากระทบ  ใจมันจะเหม่อ ใจมันจะวอกแวกออกไป เพราะไม่เคยชินกับการเจริญสติแบบลืมตา ของเราจะออกมาแบบเน้นหลับตาอย่างเดียว ลองทบทวนดู

อย่างเวลาเราเดินไปไหนมาไหนเนี่ย มันจะคิดฝันกลางวันไปเรื่อย มันจะลอยไปตามข้างทาง มันจะลอยไปเหมือนอยู่โลกอื่น กายมันเหมือนอยู่บนฟุตบาท แต่ใจเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง นึกออกใช่ไหม บางทีมันฝันหวานไปเรื่อย หรือไม่ก็..

(คุณดังตฤณถาม) ติดละครหรือเปล่าเนี่ย? ไม่ได้ดูหรือ ไม่ได้ดูทีวีเลยใช่ไหม แต่มันชอบฝันนะ  ไปเอามาจากไหนน่ะความฝัน..  ฝันเองหรอ

ผู้ถาม : เพ้อเจ้อค่ะ

ดังตฤณ: 
ไม่หรอก คือผู้หญิงส่วนใหญ่จะชอบฝัน แต่ของเราเนี่ย คือมันติดนิสัยเลย เดินไปไหนมาไหนน่ะ มันจะตามใจตัวเอง ชอบคิดอะไรหวานแหวว พูดง่ายๆว่าตอนวัยรุ่นใหม่ๆกับตอนนี้ไม่ต่างกันเลย อะไรแบบนี้นะ ถ้างั้นเปลี่ยนใหม่ คือตอนเดินไปเนี่ยเราบอกตัวเองว่า เราจะรู้สึกถึงเท้ากระทบ เท้าที่มันกระทบๆๆไป จะได้มีที่หมายชัดเจนว่าจะให้รู้อะไร เพราะไม่งั้นไปดูอะไรอย่างอื่น

หรือแม้กระทั่งมาพยายามดูจิตดูใจตัวเอง มันจะดูไม่ออก เพราะมันไหลไปแล้ว แล้วมันจะเคยชินกับการตามใจตัวเอง มันจะบอกว่า เนี่ย ฉันชอบของฉันอย่างนี้ แล้วมันห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่ ไม่รู้จะห้ามใจตัวเองไปทำไม มันจะมีอาการตามใจตัวเองร่ำไป แต่ก่อนนอนนึกถึงพุทโธใช่เปล่า?

ผู้ถาม : นึกจนหลับค่ะ แต่หนูคิดว่าไม่น่าช่วยอะไรหนูได้เลยค่ะ

ดังตฤณ: 
มันก็ช่วยเหมือนกันนะ อย่างน้อยมันไม่ฝันหวานตอนก่อนนอนไง ที่เห็นคือ ตอนก่อนนอน เราจะคิดพุทโธ พุทโธ แต่มันคิดหนักไป

ผู้ถาม : นับลมหายใจน่ะค่ะ แต่มันจะฝืน

ดังตฤณ: 
มันหนักไป คือมันเหมือนมีอาการฝืน แล้วมันจะหลับไม่สนิท เพราะว่าหลับไปพร้อมกับอาการพยายาม พยายามมากเกินไป ส่วนตอนที่ไม่พยายาม ก็ไม่พยายามเลย ตอนเดินไปเนี่ย เรามีเวลาเดินค่อนข้างเยอะ เดินไปโน่นไปนี่ เราก็มองชมนกชมไม้ เราลองสังเกตตา ตาเรามองไปโน่นไปนี่ แต่มันไม่ได้เห็น

ผู้ถาม : คือมันอยู่กับความคิดมากกว่า

ดังตฤณ: 
มันอยู่กับอารมณ์ฝันหวาน แบบฉันอยากจะเบิกบาน ฉันอยากจะเป็นนกน้อยอะไรแบบนี้ มันก็อารมณ์ประมาณนั้นน่ะ มันเหมือนกับชีวิตเป็นอิสระ เป็นอิสระทางอารมณ์ ทีนี้ด้วยอารมณ์ที่มันคุ้นเคยที่มันสั่งสมความเคยชินมาแบบนั้น มันทำให้เราไม่สามารถที่จะอยู่กับอะไรได้แบบสบายๆ คือหมายถึงว่าอารมณ์สมาธิเนี่ย เวลาที่เราพยายามมาทำสมาธิ มันจะไม่ใช่อารมณ์ที่สบาย แต่มันต้องฝืน นี่ไงพ้อยท์ (POINT)  พ้อยท์ของพี่คืออย่างนี้ เพราะเราปล่อยให้เกิดความเคยชินในการปล่อยใจ ตอนเดินไปโน่นมานี่ ทีนี้พี่จะเปลี่ยนใหม่…

เวลาเราเดินไปเนี่ย เรารู้สึกถึงเท้ากระทบไป
พอมันจะหวานแหววอะไรออกไป
เรารู้ว่าเนี่ย เป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง
ที่ปล่อยให้เกิดขึ้นทั้งชีวิต
มันก็ย่ำอยู่กับที่แค่นี้แหละ
แต่ถ้าหากว่าเราเอามาฝึกใหม่
เราดึงกลับมาอยู่ที่ความรู้สึกว่า
เออ ตอนนี้กำลัง กระทบ กระทบ กระทบ

มันจะแวบไปกี่ร้อยกี่พันครั้ง
เราก็ดึงกลับมาเท่านั้นร้อย เท่านั้นพันครั้งนะครับ

ในที่สุด.. มันจะรู้สึกว่า เราเดิน มันเหมือนเดินเล่น เดินสบายๆนะ แต่รู้เท้ากระทบ แล้วไม่ปล่อยใจ มันออกไปตามอำเภอใจ สติของเราจะอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น แล้วเวลาที่เรามาทำสมาธิ เราจะรู้สึกว่าคราวนี้ไม่ฝืนแล้ว มันจะรู้สึกกลมกลืนและก็เป็นไปเอง จริงๆนะ ตอนที่เราทำสมาธิน่ะ ใจเรามันก็เหมือนกับพร้อมที่จะแน่วแน่นะ โดยพื้นน่ะ พี่ว่าใจเรามันพร้อมที่จะแน่วแน่ .. นี่ทำงานอะไรเนี่ย?

ผู้ถาม : เป็นเซลส์ค่ะ

ดังตฤณ: 
แต่ก็ดี เป็นเซลส์ที่ไม่คิดจะเอาอะไรจากลูกค้าเท่าไร เนอะ ไม่รวยสักทีนะ

ผู้ถาม : ยอดก็ไม่เท่าไหร่ค่ะ

ดังตฤณ: 
คือใจของเรามันไม่ค่อยโลภ อาจจะเอาเป็นเงินเป็นทอง ก็มัวแต่ฝันหวาน จะเอาอะไรจากวิมานในอากาศมากกว่า มันก็เลยรู้สึกว่าไม่อยากไปเบียดเบียนใครเค้านะ เป็นเซลส์ทำไมก็ไม่รู้เนอะ คือบางทีเราถูกเจ้านายบังคับให้โกหกแล้วเราฝืนใจ ดูอาการฝืนใจไปด้วยก็ได้ว่า จริงๆแล้วมันเป็นอารมณ์มืดๆ คือแม้แต่ฝืนใจมันก็มืดอยู่ดี เพียงแต่มันไม่บาป ฝืนใจเนี่ยมันเป็นบุญ แต่ว่าใจมันก็มืดอยู่ดี นี่คือตัวอย่างนะ ว่าทำบุญบางอย่าง บางทีจิตมันก็มืดได้ เพราะว่ามันฝืนใจ มันเหมือนกับขัดแย้งกับตัวเอง ว่าอย่างนี้เมื่อไรมันจะก้าวหน้า แล้วมาเป็นเซลส์ทำไมหนอ อะไรอย่างนี้นะ คือคิดไปได้เรื่อยเปื่อย จมอยู่กับอารมณ์ฟุ้งซ่าน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น