ถาม : รู้ดีว่าควรทำอะไร แต่หัวมักผุดข้ออ้างที่จะไม่ทำ มีความคิดยอกย้อนเป็นข้ออ้างเบรกความก้าวหน้า
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/C_cWpmN-QYg
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
เคยไปหาหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อบอกแยกกาย แยกใจได้ พอกลับมา เหมือนพยายามทำให้เหมือนเดิม แล้วมันทำไม่ได้ แล้วยังแก้ตรงจุดนั้นไม่ได้ แล้วแม่มาเสีย หลังจากนั้นมันเลยกลายเป็นความเบลอๆ แล้วก็เหมือนไม่ค่อยรู้ ส่วนมากเป็นความกลัว เหมือนกลัวว่าจะต้องเสียคนรักไปจากความตายอีก เหมือนกลัวความตาย ความป่วย เหมือนทุกอย่างมันดรอปลง ความรู้สึกตัวมันก็ไม่ค่อยมีเหมือนเดิมแล้ว ขอคำแนะนำ
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
เคยไปหาหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อบอกแยกกาย แยกใจได้ พอกลับมา เหมือนพยายามทำให้เหมือนเดิม แล้วมันทำไม่ได้ แล้วยังแก้ตรงจุดนั้นไม่ได้ แล้วแม่มาเสีย หลังจากนั้นมันเลยกลายเป็นความเบลอๆ แล้วก็เหมือนไม่ค่อยรู้ ส่วนมากเป็นความกลัว เหมือนกลัวว่าจะต้องเสียคนรักไปจากความตายอีก เหมือนกลัวความตาย ความป่วย เหมือนทุกอย่างมันดรอปลง ความรู้สึกตัวมันก็ไม่ค่อยมีเหมือนเดิมแล้ว ขอคำแนะนำ
ดังตฤณ :
ก็ตอนนี้มันครอบอยู่ด้วยอารมณ์มืดๆอ่ะนะ
คือเราชอบไปสั่งสมความคิดที่มันเป็นเนกาทิฟ (negative) มา
แล้วก็ยึดอยู่ตรงนั้น บางทีมันคิดขึ้นมาเอง แต่บางทีมันก็เหมือนมีเหตุกระตุ้น ยกตัวอย่างเช่นเรื่องแม่เนี่ย
เราก็น่าจะทำใจมาระยะนึงแล้ว แต่เอาเข้าจริง
คือมันกลายเป็นข้ออ้างที่จะยอมให้ตัวเองอยู่กับอารมณ์มืด อารมณ์ลบ
ลองสังเกตตัวเองสิ คือทบทวนไปนะ ก่อนหน้าเนี่ย
มันเหมือนเตรียมใจไว้อยู่แล้วและพอเกิดขึ้นจริงๆ กลายเป็นยอม..ยอมที่จะเคว้ง คือพอเกิดอารมณ์เคว้งแทนที่จะดูความเคว้ง
หรือเกิดอารมณ์เศร้าแทนที่จะดูความเศร้า มันกลายเป็นรู้สึกว่า ตรงนี้มันสมควร
เพราะแม่เสียไปใครๆก็ต้องเศร้า มันคล้ายๆมีข้ออ้าง มีข้ออ้างที่จะเกิดเป็นอารมณ์เนกาทิฟ
(negative) ทั้งๆที่จริงๆความสามารถของเราที่แท้จริงมันสามารถดูได้.
พ้อยท์ของพี่คืออย่างนี้นะ
เราสามารถดูได้แต่ไม่ดู เพราะมันชอบมีข้ออ้าง
หรือมีความคิดในแง่ที่จะทำให้ตัวเองหย่อนยานลง อันนี้คือพ้อยท์สำคัญนะ
วิธีจัดการกับความคิดพี่บอกเราไปตั้งแต่ต้นแล้ว ความคิดของเราเนี่ย
มันเป็นศัตรูของตัวเอง
คือถ้าอะไรจะขวางทางก้าวหน้าของเราได้มากที่สุดก็คือความคิดของเรานี้แหละ
อะไรจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เราก้าวหน้าได้ไวกว่าอย่างอื่น ก็ความคิดนั้นแหละ
คือความคิดของเรามันชอบยอกย้อน
มันคิดได้แล้ว แต่ย้อนกลับมาจุดที่ยังคิดไม่ได้ใหม่ หรือเราตกลงปลงใจไปแล้วว่าจะเอาอย่างนี้
วันดีคืนดีมันย้อนกลับมาใหม่เหมือนกับยังไม่ได้ตกลงอะไรเลย เข้าใจพ้อยท์ไหม
เห็นไหมความคิดเนี่ย ความคิดอย่างเดียวมันควบคุมเราได้ทั้งชีวิต
แต่ถ้าหากว่าเราให้สติไปเป็นตัวรู้ความคิดได้อีกชั้นนึง ที่มันจะเป็นไปคือ
ชีวิตของเราที่เหลือมันจะค่อยๆมีสติเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ พ้อยท์ของเรามันยากตรงทีว่า
ทุกอย่างเรารู้หมดแล้ว เราเข้าใจหมดแล้ว แต่ติดที่ความคิด
กรงของความคิดมันไม่ปล่อยตัวเอง มันชอบมีข้ออ้าง อ้างว่า เดี๋ยวต้องอย่างนั้น
เดี๋ยวต้องอย่างนี้ อุ๊ย ฉันยังมีกิเลสมาก พอพูดออกมาคำเดียวนะ ฉันยังมีกิเลสอยู่เยอะ
มันเป็นข้ออ้างที่สำคัญที่สุดที่จะให้ตัวเองทำอะไรก็ได้ เข้าใจพ้อยท์ไหม
แต่ถ้าเราบอกตัวเองว่า จริงๆแล้วแค่ไม่คิดอย่างนี้ ฉันก็ทำได้นิ
ไม่ต้องปล่อยตัวเองให้มันจมไปกับอารมณ์ก็ได้เนี้ย เปลี่ยนความคิดนิดเดียวนะ
เราสามารถดึงความรู้เก่าๆกลับมาใช้ได้ทันที แต่นี้เราจะรู้อะไรมาแค่ไหน
มันถูกล็อคไว้ด้วยความคิดว่า วันนี้ทำไม่ได้ วันนี้ไม่มีแรงพอ วันนี้ขอเล่นก่อน
อะไรก็แล้วแต่ที่มันผุดขึ้นมานะแล้วเรารู้ได้ว่านั้นน่ะเป็นตัวเบรคความก้าวหน้าไว้
ให้รู้ว่านั้นคือความคิดในทางที่จะฉุดให้ตัวเองมัน ถอยหลัง หรือย้ำอยู่กับที่
ดังตฤณ :
ที่พี่เห็นนะ คือมันไม่ได้นำขึ้นมาด้วยความกลัว
มันนำขึ้นมาด้วยก้อนความคิดชั้นนึง ที่มันเคยชินที่จะขวางโลกน่ะ
ถาม :
ดูตรงนี้จากตรงไหนคะ
ดังตฤณ :
ตรงที่มันรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างขวางอยู่ ลองไปสังเกตดู
สมมุติว่าเราตั้งใจจะเดินจงกรม มันจะมีความรู้สึกเหมือนเบรก…. เหมือนอะไรจะเบรกไว้ ความรู้สึกเบรกเข้าใจป่ะ
มันมีอะไรมาห้ามไว้ มันมีอะไรมากั้นไว้ ตรงนี้ถ้าเรารู้ไปเรื่อยๆถึงอาการเบรก
อาการเหมือนกับแข็งๆที่มันผลักไว้ ที่มันห้ามไว้
พอนานไปมันจะเริ่มเห็นเป็นลักษณะความคิด
ตอนแรกๆมันจะมีแต่ความรู้สึกว่าเหมือนเป็นกำแพงยันเราไว้ ห้ามเราไว้
แต่พอนานๆไปที่เราเห็นบ่อยๆนะ มันจะเห็นเป็นความคิด ค่อยๆเห็นผุดขึ้นมาเป็นความคิด
แบบเก่าที่ว่าที่ไม่ทำเนี่ย จริงๆไม่ใช่เพราะทำไม่ได้
แต่ว่ามีความรู้สึกว่าตัวเองน่าจะไปทำอะไรอย่างอื่นก่อน
คือว่ามีเหตุมีข้ออ้างที่จะชวนให้เราเขวออกไปจากสิ่งที่ตั้งใจจะทำ เข้าใจพ้อยท์นะ
เห็นความรู้สึกก่อน แล้วมันจะค่อยๆเห็นไปเองว่าเรามีพื้นฐานความคิดมายังไง
ถาม :
แล้วถ้าเห็นแล้วมันมีแรงต้าน
ก็คือดูแรงต้านต่อไป?
ดังตฤณ :
เห็นแรงต้านเนี่ย ของเรามันจะรู้สึกว่าแรงต้านเนี่ยคงเส้นคงวา
มันไม่เห็นว่าแรงต้านตัวนี้มันเข้มข้นขึ้นมาแล้วหายไป
ถ้าเราเห็แรงต้านตรงนี้คงเส้นคงวา เราอาจจะต้องพิจารณานิดนึง
ว่าที่มันยังคงเส้นคงวาอยู่เพราะมันมีอาการคิดไปแนวทางนั้น คือจริงๆ
ใจจริงๆมันมีอาการต่อต้าน ต่อต้านไม่ให้ตัวเองเจริญก้าวหน้าในทางนี้
มันสะสมความคิดไว้เยอะ มันหลายครั้งหลายชั้น
จนกระทั่งเรารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเราจริงๆไม่มีความสามารถหรอกในทางที่จะเอาดีให้ได้
เข้าใจไหมความคิดนี้ บางทีมันมีหลายครั้ง แล้วสะสมมาจนเราจำไม่ได้ว่าคิดอะไรบ้าง
แต่ที่สุดแล้วมันคือแรงห้าม มันคือกำแพงขวางยันเราไว้ เข้าใจพ้อยท์นะ
ดังตฤณ : คีย์ของเราเนี่ยมันอยู่ที่ตรงนี้ไง
กำแพง คือไปสังเกตมันจะเกิดขึ้นบ่อย เราไม่สามารถทำได้
เราทำไม่ได้มากไปกว่านี้หรอก อย่าเพิ่งทำเลย คือถ้าดูตัวนี้ได้แล้วมันผ่าน
มันรู้สึกเห็น มันเป็นแค่ภาวะความรู้สึกชั่วคราว
พอตรงนี้มันโล่งไปได้เนี่ยความรู้เก่าๆมันก็กลับมาหมดแหละ เข้าใจพ้อยท์ของพี่นะ
ไม่ใช่ว่าพี่ไปเน้นว่าควรจะปฏิบัติตรงไหน ในรูปแบบ แบบไหน
แต่ว่าข้ามตรงนี้ไปให้ได้ด้วยการดูให้เห็น เข้าใจนะ
ถาม :
คือเวลาที่มันเกิดความกลัว
อย่างเช่น ความเจ็บป่วย
อย่างเช่นเรามีอาการผิดปกติทางร่างกายนิดนึงแล้วมันจะเกิดความกลัวขึ้นมา
แล้วมันก็จะคิดไปเป็นเสต็ปในแง่ลบ
ถาม :อยากรู้ว่า ณ วันนี้
มันควรจะเริ่มจากไหน สมาธิน้อยลง ควรกลับไปทำตามรูปแบบก่อน?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น