ถาม
: ทำตัวเหลวไหลไม่ดีลงไป หมดกำลังใจภาวนาต่อ
ดังตฤณวิสัชนา
๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑๒
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ผู้ถาม : เราทำไม่ค่อยดี
แต่รู้สึกอยากปฏิบัติ มันไปด้วยกันได้ไหมครับ? มันรู้สึกว่าพอเราทำไม่ค่อยดี แล้วเรารู้สึกปฏิบัติไปมันก็ไม่ทำอะไรให้ดีขึ้น
ดังตฤณ:
มันก็ไม่ถึงกับเหตุเบียดเบียนใครอะไรมากมายนะ
อย่างนี้ก็แล้วกัน คือถามตัวเองง่ายๆ
ไม่ว่าเราจะทำตัวในชีวิตประจำวันแบบไหนก็ตามนะ
ถามตัวเองว่าเรามีความสามารถที่จะรับรู้สภาวะที่มันปรากฏอยู่ในเราตรงตามจริงได้ไหม?
ถ้าหากว่ามันสามารถรู้สึกได้ตรงตามจริง นั่นแปลว่าเรายังปฏิบัติได้อยู่
อย่างตอนนี้ ใจมันรู้สึกสบายขึ้น มันไม่ได้คิดถูกคิดผิดแบบก่อนหน้า ตอนนี้มันค่อยว่าง ค่อยรู้สึกสบายขึ้น ไอ้ความรู้สึกสบายต่อหน้าต่อตา เราสามารถรู้ได้ไหม? ถ้าสามารถรู้ได้ นี่คือสามารถเจริญสติได้แล้ว แต่ถ้าโอเค คือมันมีอยู่ บางการประพฤติปฎิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าหากว่ามันบิดเบี้ยวจริงๆ มันจะไม่ทำให้ภาวะที่จะไปยอมรับอะไรต่อหน้าต่อตา มันเกิดขึ้นได้ มันมีอย่างนั้นจริงๆ นั่นแสดงว่าพฤติกรรมของเราบิดเบี้ยวเกินไปแล้ว แต่เรารู้จากการสำรวจเข้ามา ไม่ใช่จากการตัดสิน
เมื่อกี้น้องพูดเนี่ย บอกว่าเนี่ยตอนนี้ทำตัวไม่ดี คือไปตัดสินตัวเองแล้วว่าเนี่ยไม่ดี พี่ถามก็คือว่าเรายังสามารถเข้ามารู้ตามจริงได้ไหม น้องตอบว่ารู้ได้ มันไม่มีอะไรบังนิ นั่นแสดงว่ายังไม่เพี้ยน ยังไม่บิดเบี้ยวจนเกินไป
อย่างตอนนี้ ใจมันรู้สึกสบายขึ้น มันไม่ได้คิดถูกคิดผิดแบบก่อนหน้า ตอนนี้มันค่อยว่าง ค่อยรู้สึกสบายขึ้น ไอ้ความรู้สึกสบายต่อหน้าต่อตา เราสามารถรู้ได้ไหม? ถ้าสามารถรู้ได้ นี่คือสามารถเจริญสติได้แล้ว แต่ถ้าโอเค คือมันมีอยู่ บางการประพฤติปฎิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าหากว่ามันบิดเบี้ยวจริงๆ มันจะไม่ทำให้ภาวะที่จะไปยอมรับอะไรต่อหน้าต่อตา มันเกิดขึ้นได้ มันมีอย่างนั้นจริงๆ นั่นแสดงว่าพฤติกรรมของเราบิดเบี้ยวเกินไปแล้ว แต่เรารู้จากการสำรวจเข้ามา ไม่ใช่จากการตัดสิน
เมื่อกี้น้องพูดเนี่ย บอกว่าเนี่ยตอนนี้ทำตัวไม่ดี คือไปตัดสินตัวเองแล้วว่าเนี่ยไม่ดี พี่ถามก็คือว่าเรายังสามารถเข้ามารู้ตามจริงได้ไหม น้องตอบว่ารู้ได้ มันไม่มีอะไรบังนิ นั่นแสดงว่ายังไม่เพี้ยน ยังไม่บิดเบี้ยวจนเกินไป
ผู้ถาม
: แต่มันไม่มีกำลังใจ
ดังตฤณ:
เข้าใจ พี่เข้าใจ
ไม่ใช่ไม่เข้าใจว่าพอยท์ของเราคืออะไร
แต่พอยท์ของพี่ก็คือว่าแทนที่เราจะต้องมากะเกณฑ์ตัวเองว่าต้องถูกเป๊ะ
แบบนั้นแบบนี้ คือเราสามารถอาศัยชีวิตประจำวันเนี่ย เจริญสติด้วยการยอมรับภาวะที่มันอยู่ต่อหน้าต่อตา
ยกตัวอย่างเช่น เวลาเรารู้สึกว่ากำลังทำอะไรที่มันไม่ดีอยู่ ภาวะทางใจมันเป็นยังไง บางทีนะ ของเรานะ มันมีอาการฮึกเหิม มันมีอาการคึกคะนองที่จะวิ่งใส่เต็มที่ กระโจนใส่เต็มที่ แต่บางครั้ง มีความรู้สึกเหมือนเบรคกึก เคยรู้สึกใช่ไหม? พอจะวิ่งใส่ ตอนกระโจนใส่อ่ะ มันเต็มที่ แต่พอไปถึงที่ มันเบรคกึกขึ้นมา เข้าใจภาวะที่มันหยุดกะทันหันตรงนั้นนะ?
เนี่ย ถ้าเรารู้สึกถึงภาวะเบรกกะทันหันตรงนั้นได้ นี่ก็เรียกว่าเรากำลังเจริญสติในขณะที่กำลังทำในสิ่งที่เราพูดว่ามันเป็นการประพฤติไม่ดี เรียกว่าจิตมันไม่ยอมก็แล้วกัน คืออย่าเพิ่งไปพูดเรื่องสติ รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ณ เวลาทำ เพราะบางทีเนี่ย มันจะแยกยาก แต่ถ้าพูดว่าจิตมันไม่ยอม อย่างนี้มันชัดเจน มันมาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ไง ไอ้แรงเบรคอ่ะ ยิ่งแบบพอกระโจนเข้าไปปุ๊ป มันรู้สึกหยุดกึก เราไม่ได้ตั้งใจอ่ะ คือไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้คิดว่า เออ เนี่ย จะให้สติไปรับรู้ภาวะอะไรตรงหน้า แต่มันเหมือนกับมีตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นในเรา ใส่แรงเบรคเข้ามา คือสวนทางกับทิศทางที่เราพุงเข้าไปอ่ะ นี่เราบอกตัวเองว่าโอเค ตรงนี้เป็นภาวะปรุงแต่งชนิดหนึ่งของจิต ตัวห้าม ตัวเบรค จิตมันไม่ยอม คือพูดง่ายๆ คิดง่ายๆ ว่าจิตมันไม่ยอม
ยกตัวอย่างเช่น เวลาเรารู้สึกว่ากำลังทำอะไรที่มันไม่ดีอยู่ ภาวะทางใจมันเป็นยังไง บางทีนะ ของเรานะ มันมีอาการฮึกเหิม มันมีอาการคึกคะนองที่จะวิ่งใส่เต็มที่ กระโจนใส่เต็มที่ แต่บางครั้ง มีความรู้สึกเหมือนเบรคกึก เคยรู้สึกใช่ไหม? พอจะวิ่งใส่ ตอนกระโจนใส่อ่ะ มันเต็มที่ แต่พอไปถึงที่ มันเบรคกึกขึ้นมา เข้าใจภาวะที่มันหยุดกะทันหันตรงนั้นนะ?
เนี่ย ถ้าเรารู้สึกถึงภาวะเบรกกะทันหันตรงนั้นได้ นี่ก็เรียกว่าเรากำลังเจริญสติในขณะที่กำลังทำในสิ่งที่เราพูดว่ามันเป็นการประพฤติไม่ดี เรียกว่าจิตมันไม่ยอมก็แล้วกัน คืออย่าเพิ่งไปพูดเรื่องสติ รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ณ เวลาทำ เพราะบางทีเนี่ย มันจะแยกยาก แต่ถ้าพูดว่าจิตมันไม่ยอม อย่างนี้มันชัดเจน มันมาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ไง ไอ้แรงเบรคอ่ะ ยิ่งแบบพอกระโจนเข้าไปปุ๊ป มันรู้สึกหยุดกึก เราไม่ได้ตั้งใจอ่ะ คือไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้คิดว่า เออ เนี่ย จะให้สติไปรับรู้ภาวะอะไรตรงหน้า แต่มันเหมือนกับมีตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นในเรา ใส่แรงเบรคเข้ามา คือสวนทางกับทิศทางที่เราพุงเข้าไปอ่ะ นี่เราบอกตัวเองว่าโอเค ตรงนี้เป็นภาวะปรุงแต่งชนิดหนึ่งของจิต ตัวห้าม ตัวเบรค จิตมันไม่ยอม คือพูดง่ายๆ คิดง่ายๆ ว่าจิตมันไม่ยอม
ผู้ถาม: ให้เราคิดไปในทางที่ดีใช่ไหมครับ?
ดังตฤณ:
คือ
น้องจำไว้อย่างนี้ดีกว่าว่าภาวะที่จิตมันไม่ยอมตัวเองเนี่ย
มันอาจจะเกิดขึ้นในทางดีก็ได้ หรือในทางไม่ดีก็ได้ แต่ไอ้ตอนที่มีอาการเบรคกึกเนี่ย
มันเป็นภาวะเดียวกันไง เข้าใจใช่ไหม? มันจะได้เห็น เห็นเป็นกลางๆ
เห็นเป็นภาวะอย่างหนึ่ง และตอนที่มันมีความรู้สึกทบทวนและนึกขึ้นได้ เห็นไหม?
ใจมันมีความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง มันเหมือนเห็นภาวะ สภาวะทางธรรมอะไรแบบหนึ่งและรู้สึกว่าง
และรู้สึกว่า เออ มันสบาย ไม่ได้มาขัดแย้งกับตัวเอง
เนี่ย พอยท์มันอยู่ที่ตรงนี้ เราจะเหลวไหลหรือไม่เหลวไหล ทำดีหรือไม่ทำดีด้วยการตัดสินจากตัวเองหรือภายนอกก็ตาม ตราบใดที่เรายังสามารถที่เห็นภาวะที่มันปรากฏต่อหน้าต่อตาได้ โดยไม่มีเอียงซ้าย ไม่มีเอียงขวา ไม่มีให้คะแนนลบหรือให้คะแนนบวก ตัวนี้แหละที่พี่บอกว่ามันยังเจริญสติอยู่ได้ก็ทำไปเถอะ ส่วนที่มันจะเกิดความรู้สึกว่าไม่มีกำลังใจ เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีอยู่ ตรงนี้เป็นความคิดส่วนเกินแล้ว คือความคิดนั้นจะมีหรือไม่มี ไม่มีผลกับการที่เราจะมาเจริญสติ การเจริญสติที่จะมีผลกับเราจริงๆ ก็คือว่าเราใช้วิธีที่เรารู้มาอยู่แล้วเนี่ยในทุกสถานการณ์ต่างหากนะ
เนี่ย พอยท์มันอยู่ที่ตรงนี้ เราจะเหลวไหลหรือไม่เหลวไหล ทำดีหรือไม่ทำดีด้วยการตัดสินจากตัวเองหรือภายนอกก็ตาม ตราบใดที่เรายังสามารถที่เห็นภาวะที่มันปรากฏต่อหน้าต่อตาได้ โดยไม่มีเอียงซ้าย ไม่มีเอียงขวา ไม่มีให้คะแนนลบหรือให้คะแนนบวก ตัวนี้แหละที่พี่บอกว่ามันยังเจริญสติอยู่ได้ก็ทำไปเถอะ ส่วนที่มันจะเกิดความรู้สึกว่าไม่มีกำลังใจ เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีอยู่ ตรงนี้เป็นความคิดส่วนเกินแล้ว คือความคิดนั้นจะมีหรือไม่มี ไม่มีผลกับการที่เราจะมาเจริญสติ การเจริญสติที่จะมีผลกับเราจริงๆ ก็คือว่าเราใช้วิธีที่เรารู้มาอยู่แล้วเนี่ยในทุกสถานการณ์ต่างหากนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น