ถาม : เวลาเราต้องทำงานกับคนที่ใจร้อน
ขี้โมโห เราควรจะปรับสภาพเราอย่างไร เพราะว่าบางทีกระทบแล้วเรารู้สึกว่าเรา
อื้อหือ
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/H8W80dpQaAo
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๕
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ:
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๕
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ:
มันไม่สามารถที่จะปรับได้ด้วยความคิดนะ ถ้าจะต้องอยู่ท่ามกลางคนเจ้าอารมณ์จริง ๆ มีทางเดียวคือเราจะต้องเจริญเมตตา
จะต้องทำให้จิตของเราเป็นที่ตั้งของความเยือกเย็นให้ได้ก่อน ต้องค่อยๆ สั่งสมไป แล้วจากนั้นเวลาที่ไปเจอเค้า
มันต้องเปรียบเทียบให้ทัน คือมีสองชั้นนะ สองลำดับขั้น ขั้นแรกเนี่ยสร้างความเย็นในตัวเราให้ได้ก่อน
สร้างความเมตตาจริง ๆ ในตัวเราให้ได้ก่อน จะด้วยการสวดมนต์ จะด้วยการแผ่เมตตา
จะด้วยการนั่งสมาธิหรืออะไรก็แล้วแต่นะ จนกระทั่งใจของเราเกิดความรู้สึกถึงความเย็น
เกิดความรู้สึกว่าเป็นที่ตั้งของความเย็น
พอไปเจอเค้า เราต้องมีสติให้ทันด้วยว่าฝั่งของเค้ามีความกระวนกระวาย
มันจะเห็นเลยนะ คือยิ่งจิตของเราว่างขึ้นเท่าไหร่ มีความเยือกเย็นขึ้นเท่าไหร่
มันจะเห็นเป็นคอนทราส (contrast) ตัวความแตกต่างอย่างชัดเจนว่าของเราเย็น ของเค้าร้อน
ของเราสงบ ๆ อยู่ นิ่ง ๆ อยู่ เนียน ๆ อยู่ ของเค้ากระวนกระวายเหมือนกับมีคลื่นอะไรปุ๊บปั๊บ
ๆ ดิ้นพล่านอยู่ตลอด
บางทีถึงแม้ว่ายังไม่ได้ฝึกมาทุกคนคงเคยมีประสบการณ์ไปเข้าใกล้คนเจ้าโทสะ
คนเจ้าอารมณ์บางคน มองไปมันเหมือนมีอะไรดิ้น ๆ อยู่ข้างในตัวเขา
เหมือนกับมีสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายอะไรบางอย่างมันเต้นพล่านอยู่ข้างใน เราไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่าแบบเหมือนกับมีรูปทรง
แต่รู้สึกว่าเนี่ยเราเห็นอยู่จริง ๆ
เช่นกัน ถ้าหากว่าใจของเราเย็นแล้ว และรู้สึกถึงความร้อนในเค้า
ใจของเรานิ่งแล้ว และรู้สึกถึงความดิ้นพล่านในเค้า มันจะได้ข้อแตกต่างเห็นความแตกต่าง
แต่ถ้าจิตเราใกล้เคียงกับเค้านะ คือพร้อมที่จะโมโหเหมือนเค้า หรือว่าพร้อมที่จะร้อนได้เท่ากับเค้า
หรือไล่เลี่ยกับเค้า
ผู้ถาม : คือเบรกตัวเองไว้ว่า
ถ้าการไปเถียงมันจะเหมือนน้ำมันราดกองไฟ ไม่จบ เรามีความรู้สึก อื้อหือ
ข้างในเรานี่ร้อนขึ้นมากๆ
ดังตฤณ:
อันนั้นเป็นเรื่องรายละเอียดนะ ที่ว่าถ้าเราไปโต้เถียงเค้าหรือว่าไปอะไรเนี่ย
แต่ผมกำลังพูดถึงภาวะทางใจ ที่เราสามารถสัมผัสได้ตั้งแต่เริ่มต้น อย่างลองดู
สวดมนต์บ่อย ๆ เลยนะ สวดอิติปิ โส เนี่ย อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
สวดวันละ ๓ จบ ๗ จบ แต่ละจบบอกตัวเองว่ารอบนี้เรามีความฟุ้งซ่านแค่นี้
อีกรอบนึงเรามีความฟุ้งซ่านน้อยลงหรือว่ามากขึ้น เปรียบเทียบไปเป็นรอบๆ
มันจะได้เปรียบเทียบกับตัวเองก่อน
ฝึกเปรียบเทียบกับตัวเองก่อนว่าจิตมีความดิ้นพล่านมากน้อยแค่ไหนนะ
พอสามารถสังเกตได้ออก ก็จะไปใช้ประยุกต์ตอนอยู่ต่อหน้าเค้าได้เช่นกัน
คือเมื่ออยู่กับเค้าเราจะรู้สึกทันทีเลยว่าของเราเย็นกว่า ทั้ง ๆ
ที่บางทีมันอาจจะไม่ได้เย็นแบบสงบนิ่งทีเดียวนะ แต่อย่างน้อยเรารู้สึกถึงความต่าง
ฝั่งเรามันมีความรู้สึกอยู่อย่างนี้ ฝั่งเค้ามันมีความรู้สึกอยู่อีกอย่างนึงเป็นขั้วตรงข้าม
พอมันเริ่มร้อน เริ่มเครื่องร้อน เค้าก็จะมีอาการเร่ง ๆ ขึ้นมา
เราก็จะรู้สึกได้ว่าเนี่ยมันร้อนมากขึ้น เราก็สำรวจใจตัวเอง ถ้าหากว่าร้อนตามเค้า
ความเย็นมันจะเสียไป เห็นเป็นภาพทางใจนะ ของเค้ามันเร่ง ๆ ของเราเนี่ยมันเร่งตามหรือเปล่า
ถ้าหากว่าเราตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่าจะดูเปรียบเทียบว่าของเราเย็นกว่าเค้าแค่ไหน
มันจะมีแก่ใจนะ คือมีแก่ใจที่จะรู้สึกเข้ามาว่า เออ ของเราสงบได้มากกว่าเค้าไหม
เราดิ้นตามเค้าไหม แล้วมันจะเกิดความชอบใจ เมื่อเกิดความรู้สึกว่าเรายังเย็นอยู่ไม่ได้ดิ้นตามเค้า
เข้าใจเป็นช็อต ๆ นะ
ส่วนเรื่องที่ว่าจะพูดจาคัดง้างอะไร หรือว่าให้เหตุผลอะไรยังไง อันนั้นเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่พ้นไปจากเรื่องของใจแล้ว
คือการให้เหตุผลมันเป็นไปตามสถานการณ์ที่เหมาะที่ควรที่เรารู้อยู่
แต่เรื่องทางใจเนี่ย ตรงนี้ที่ไม่มีใครชี้ให้ดูเท่าไหร่
อาจจะเหมือนกับบางทีไม่รู้จะรู้ตรงไหนถึงจะเรียกว่าการเจริญสติ แต่ตัวนี้เมื่อเราเปรียบเทียบอยู่ว่าของเราเย็น
ของเค้าร้อน ของเรากำลังนิ่งอยู่ ของเค้ากำลังดิ้นพล่าน แล้วเห็นว่าของเราไม่ได้ดิ้นตามเค้า
เรียกว่าสติมันเจริญขึ้นแล้ว เพราะมันรู้ถึงภาวะที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
คือไม่ได้จินตนาการเอา ไม่ได้คิดเอาว่าควรจะให้จิตเป็นอย่างไร แต่ยอมรับตามจริงว่าถ้าจิตของเราดิ้นตามเค้า
เครื่องร้อนตามเค้า เรายอมรับ แล้วพอมันเริ่มแผ่วลงมาหรือว่ารู้สึกดีนะที่มันไม่ต้องเร่งตามเค้า
ตรงนี้เรียกว่าของจริง ไม่ใช่ใช้จินตนาการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น