ผู้ถาม : สงสัยว่าการวางอารมณ์ในระหว่างนั่งสมาธิ กับการเจริญสติในแต่ละวัน ทำมาถูกไหม
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๕ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ :
แต่ก่อนน่ะ
มันเหมือนกับเราเป็นคนมีอะไรหนักๆ ห่อหุ้มอยู่
แต่ตอนนี้มันรู้สึกเบาลงแล้ว รู้สึกไหม แต่ก่อนน่ะมันเหมือนกับ
คือทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจคิดอะไรเนี่ย แต่มันเหมือนมีอะไรโยนไป โยนมาอยู่ในหัวหนักๆ
เนี่ย รู้สึกอย่างนั้นไหม แต่ก่อนนะ
แล้วตอนนี้ มันเหมือนเบาลง หรือบางทีมันหายไป รู้สึกไหม
ผู้ถาม : ครับผม
ดังตฤณ :
ถ้าอย่างนั้นเ
แปลว่าปฏิบัติถูกแน่นอนนะครับ ในแง่ของการเจริญสติ รู้เข้ามาที่จิตที่ใจ
ถ้าหากเราเห็นถึงสภาวะว่ามันกำลังโปร่งอยู่ เบาอยู่ หนักอยู่ หรือ มีอาการที่มันโยนไป
โยนมาอยู่ เป็นพายุบุแคม อะไรอย่างนี้ เนี่ยนะ
เนี่ยเรียกว่าเป็นอาการเห็นที่จะทำให้ภาวะหนักๆเนี่ยมันหายไปได้
ที่ผ่านมาคือเรา
เรารู้สึกใช่ไหม คือมันเหมือนกับรู้สึกเป็นห้วงๆว่า ตอนนี้เบา ตอนนี้หนัก
ตอนนี้สว่าง ตอนนี้มันมืด คือแต่จะไม่ได้เห็นโดยการเป็นของไม่เที่ยงอะไร คือแค่เห็นเป็นความแตกต่างเฉยๆ ที่พี่พูดเมื่อกี้นี้ เป็นอย่างนั้นใช่ไหม คือเห็นความแตกต่างมาเรื่อย ๆ
ว่าจิตของเราเป็นอย่างไรอยู่ หนักบ้าง ทึบบ้าง หรือว่า เบาบ้าง ปลอดโปร่งบ้าง
อะไรอย่างนี้ เห็นอย่างนั้นใช่ไหม ที่เราเห็นมา ที่ฝึกมาใช่ไหม
แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าในหัวมันเบาลง มันเคลียร์ขึ้น
นี่ก็คือผลที่เกิดจากการเห็นเข้ามาในสภาวะ ตรงตามจริง
ผู้ถาม : ก็คือให้ดูอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ดังตฤณ :
คือไม่ใช่แค่นี้
ควรจะฝึกสมาธิด้วย เพราะจิตมันจะได้หนักแน่นขึ้น อันนี้มันเหมือนกับมันยังไม่ตั้งมั่น คือมันยังไม่เป็นสมาธิจริง บางครั้ง มันเหมือนจะเป็นสมาธิ
ตอนที่เรารู้สึกนิ่ง สงบ นะครับ แต่มันสงบ..สงบแล้วมันไม่ตื่นรู้
คือถ้าเรานั่งหลับตานะ
มันยังไม่ตื่นรู้เต็มที่
แต่ตอนที่อยู่ในชีวิตประจำวันเนี่ย คล้ายๆตอนที่เราสังเกตเล่นๆทีละนิด ทีละหน่อย อันนั้นมันจะตื่นรู้เสียยิ่งกว่าตอนนั่งหลับตาอีก
คือมันเห็นจริงๆ ว่าภาวะจิตใจเรากำลังเป็นอย่างไรอยู่ แต่ตอนที่เรานิ่งสงบเนี่ย
มันนิ่งแบบ เหมือนมีความสุขไง มันมีความสุข มีความรู้สึกอ่อนโยน
มีความรู้สึกเหมือนกับเราไปอยู่ในที่ที่มันสวยงามแป๊บนึง แต่..
แต่ไม่ได้มีความตื่นรู้ คือไม่มีความพร้อมที่จะเห็นภาวะที่มันไม่มี
มีแต่ความพร้อมที่จะเห็นแต่อะไรที่ชอบใจ อย่างนี้เข้าใจรึเปล่า
ว่าพี่พูดถึงอะไรน่ะ
ผู้ถาม : เข้าใจครับ
ดังตฤณ :
อย่างตอนที่พี่ไกด์การนั่งสมาธิเมื่อกี้นี้
คือมันก็ยังตั้งใจมากไปนิดนึง เห็นความตั้งใจ คือตั้งใจจะเอาให้ดี
ตั้งใจจะเอาให้นิ่ง นั่นคือการที่เราคาดหมายไว้แล้วว่า เราจะนั่งสมาธิให้ได้ผล
แบบนี้มีสเป็คไว้เรียบร้อย
ถ้าหากว่าภาวะที่กำลังปรากฏอยู่ไม่ตรงตามสเป็คมันไม่สนใจละ
เพราะเราจะเอาแต่แบบดีๆไง เข้าใจพอยต์นะ
แต่ถ้าอย่างที่พี่พูดเนี่ย
ที่ไกด์ไปตอนแรกน่ะ ว่า เอ้อ.. เกิดภาวะอะไร อย่างไร
แล้วเราสามารถที่จะเห็นได้ว่าลมหายใจนี้เกิดภาวะแบบนั้น ยอมรับตามจริง นะ แล้วอีกลมหายใจนึงมันเปลี่ยนไปแล้วหรือยัง
นี่อย่างนี้ถึงจะค่อยเป็นสมาธิในแบบที่พระพุทธเจ้าสอน
พูดง่ายๆว่า
ตอนนี้เราลืมตา เจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันโอเค แต่ตอนพยายามนั่งสมาธิเนี่ย
เราจะเอาให้ดีกว่านี้ แต่ถ้านั่งสมาธิแล้วทำให้เหมือนกับเจริญสติระหว่างวันเนี่ย
อย่างนี้ถึงจะโอเค เห็นความแตกต่างของตัวเองใช่ไหม ตอนระหว่างวันเนี่ย
มันไม่ยึดมั่นถือมั่นไง
ผู้ถาม :
ครับ
ดังตฤณ :
มันแค่..เออ
ดูไปนิดเดียว คือใจของเรามันเหมือนกับเห็นไปนิดเดียว ไม่ต้องไปเชื่ออะไรมาก
แต่ตอนนั่งสมาธิเนี่ย เราจะเอาอะไรมากกว่าเดิม เราจะเอาอะไรกับมันมาก เห็นพอยต์ไหม
ผู้ถาม : ก็คือตอนปฏิบัติเนี่ยเราตั้งใจเกินไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น