วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เห็นจิตแตกต่าง แต่ไม่เห็นว่าไม่เที่ยง ควรฝึกสมาธิเพิ่ม

ผู้ถาม : สงสัยว่าการวางอารมณ์ในระหว่างนั่งสมาธิ กับการเจริญสติในแต่ละวัน ทำมาถูกไหม

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/5maXSQ1upqw
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส 
๕ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก 

ดังตฤณ :
แต่ก่อนน่ะ มันเหมือนกับเราเป็นคนมีอะไรหนักๆ ห่อหุ้มอยู่  แต่ตอนนี้มันรู้สึกเบาลงแล้ว รู้สึกไหม แต่ก่อนน่ะมันเหมือนกับ คือทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจคิดอะไรเนี่ย แต่มันเหมือนมีอะไรโยนไป โยนมาอยู่ในหัวหนักๆ เนี่ย รู้สึกอย่างนั้นไหม แต่ก่อนนะ  แล้วตอนนี้ มันเหมือนเบาลง หรือบางทีมันหายไป รู้สึกไหม

ผู้ถาม : ครับผม

ดังตฤณ :
ถ้าอย่างนั้นเ แปลว่าปฏิบัติถูกแน่นอนนะครับ ในแง่ของการเจริญสติ รู้เข้ามาที่จิตที่ใจ ถ้าหากเราเห็นถึงสภาวะว่ามันกำลังโปร่งอยู่ เบาอยู่ หนักอยู่ หรือ มีอาการที่มันโยนไป โยนมาอยู่ เป็นพายุบุแคม อะไรอย่างนี้ เนี่ยนะ เนี่ยเรียกว่าเป็นอาการเห็นที่จะทำให้ภาวะหนักๆเนี่ยมันหายไปได้ 

ที่ผ่านมาคือเรา เรารู้สึกใช่ไหม คือมันเหมือนกับรู้สึกเป็นห้วงๆว่า ตอนนี้เบา ตอนนี้หนัก ตอนนี้สว่าง ตอนนี้มันมืด คือแต่จะไม่ได้เห็นโดยการเป็นของไม่เที่ยงอะไร คือแค่เห็นเป็นความแตกต่างเฉยๆ ที่พี่พูดเมื่อกี้นี้ เป็นอย่างนั้นใช่ไหม คือเห็นความแตกต่างมาเรื่อย ๆ ว่าจิตของเราเป็นอย่างไรอยู่ หนักบ้าง ทึบบ้าง หรือว่า เบาบ้าง ปลอดโปร่งบ้าง อะไรอย่างนี้ เห็นอย่างนั้นใช่ไหม ที่เราเห็นมา ที่ฝึกมาใช่ไหม แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าในหัวมันเบาลง มันเคลียร์ขึ้น นี่ก็คือผลที่เกิดจากการเห็นเข้ามาในสภาวะ ตรงตามจริง

ผู้ถาม : ก็คือให้ดูอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

ดังตฤณ :
คือไม่ใช่แค่นี้ ควรจะฝึกสมาธิด้วย เพราะจิตมันจะได้หนักแน่นขึ้น อันนี้มันเหมือนกับมันยังไม่ตั้งมั่น คือมันยังไม่เป็นสมาธิจริง บางครั้ง มันเหมือนจะเป็นสมาธิ ตอนที่เรารู้สึกนิ่ง สงบ นะครับ แต่มันสงบ..สงบแล้วมันไม่ตื่นรู้ คือถ้าเรานั่งหลับตานะ  มันยังไม่ตื่นรู้เต็มที่ 

แต่ตอนที่อยู่ในชีวิตประจำวันเนี่ย คล้ายๆตอนที่เราสังเกตเล่นๆทีละนิด ทีละหน่อย อันนั้นมันจะตื่นรู้เสียยิ่งกว่าตอนนั่งหลับตาอีก คือมันเห็นจริงๆ ว่าภาวะจิตใจเรากำลังเป็นอย่างไรอยู่ แต่ตอนที่เรานิ่งสงบเนี่ย มันนิ่งแบบ เหมือนมีความสุขไง มันมีความสุข มีความรู้สึกอ่อนโยน มีความรู้สึกเหมือนกับเราไปอยู่ในที่ที่มันสวยงามแป๊บนึง แต่.. แต่ไม่ได้มีความตื่นรู้ คือไม่มีความพร้อมที่จะเห็นภาวะที่มันไม่มี มีแต่ความพร้อมที่จะเห็นแต่อะไรที่ชอบใจ อย่างนี้เข้าใจรึเปล่า ว่าพี่พูดถึงอะไรน่ะ

ผู้ถาม : เข้าใจครับ

ดังตฤณ :
อย่างตอนที่พี่ไกด์การนั่งสมาธิเมื่อกี้นี้ คือมันก็ยังตั้งใจมากไปนิดนึง เห็นความตั้งใจ คือตั้งใจจะเอาให้ดี ตั้งใจจะเอาให้นิ่ง นั่นคือการที่เราคาดหมายไว้แล้วว่า เราจะนั่งสมาธิให้ได้ผล แบบนี้มีสเป็คไว้เรียบร้อย ถ้าหากว่าภาวะที่กำลังปรากฏอยู่ไม่ตรงตามสเป็คมันไม่สนใจละ เพราะเราจะเอาแต่แบบดีๆไง เข้าใจพอยต์นะ

แต่ถ้าอย่างที่พี่พูดเนี่ย ที่ไกด์ไปตอนแรกน่ะ ว่า เอ้อ.. เกิดภาวะอะไร อย่างไร แล้วเราสามารถที่จะเห็นได้ว่าลมหายใจนี้เกิดภาวะแบบนั้น ยอมรับตามจริง นะ  แล้วอีกลมหายใจนึงมันเปลี่ยนไปแล้วหรือยัง นี่อย่างนี้ถึงจะค่อยเป็นสมาธิในแบบที่พระพุทธเจ้าสอน 

พูดง่ายๆว่า ตอนนี้เราลืมตา เจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันโอเค แต่ตอนพยายามนั่งสมาธิเนี่ย เราจะเอาให้ดีกว่านี้ แต่ถ้านั่งสมาธิแล้วทำให้เหมือนกับเจริญสติระหว่างวันเนี่ย อย่างนี้ถึงจะโอเค เห็นความแตกต่างของตัวเองใช่ไหม ตอนระหว่างวันเนี่ย มันไม่ยึดมั่นถือมั่นไง

ผู้ถาม :  ครับ

ดังตฤณ :
มันแค่..เออ ดูไปนิดเดียว คือใจของเรามันเหมือนกับเห็นไปนิดเดียว ไม่ต้องไปเชื่ออะไรมาก แต่ตอนนั่งสมาธิเนี่ย เราจะเอาอะไรมากกว่าเดิม เราจะเอาอะไรกับมันมาก เห็นพอยต์ไหม

ผู้ถาม : ก็คือตอนปฏิบัติเนี่ยเราตั้งใจเกินไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น