วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไม่อยากเจอคู่เวรอีกทั้งชาตินี้ชาติหน้า

ถาม ไม่อยากเจอคนที่เคยสร้างเวรกันมาทั้งชาตินี้และชาติหน้า?
รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/nRtMDaqCoiU
(ดังตฤณวิสัชนา Live #๕ ทางเฟสบุ๊ก ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙) 

ดังตฤณ: 
อันนี้ก็เป็นธรรมดาครับ ไม่มีใครอยากประสบทุกข์ มีแต่คนอยากประสบแต่ความสุข อันนี้ผมเคยพูดไว้หลายที่หลายครั้งนะครับว่า ความอยากที่จะไม่เจอคู่เวร หรือคนที่ทำให้เราเจ็บปวด คือไม่จำเป็นต้องเป็นคนรักเสมอไป  ใครก็ตามที่ทำให้เราเจ็บปวด เราไม่อยากเจอ เพราะนั่นเค้าเป็นตัวแทนของความทุกข์ แค่นึกถึงหน้าขึ้นมา มันก็ทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้นมาแล้ว ยังไม่ต้องเจอหน้ากันจริงๆนะ แค่นึกถึงแค่มีมโนภาพของเค้าผุดขึ้นมาในหัวหน่อยเดียว ความทุกข์เกิดทันที ความไม่ชอบใจ ความไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ร่วมโลกกับไอ้มโนภาพตรงนั้นเกิดขึ้นทันใดนะครับ พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่าคนเรานี่รักสุขแล้วก็เกลียดทุกข์ ไม่มีใครอยากพบความทุกข์ 

ทีนี้เรื่องของเรื่องคู่เวร หรือว่าบุคคลที่ทำให้เรามีความทุกข์นี่ ที่มันตามจองล้างจองผลาญกันมา มันไม่ใช่ก้อนหิน มันไม่ใช่แสงแดดๆ นี่ที่ทำให้เราเป็นทุกข์ เราหลบเข้าบ้านมันก็พ้นก้อนหินแหลมๆ ถ้าหากว่าเราไม่อยากเหยียบให้เกิดความเสียดแทงฝ่าเท้า เราก็สามารถใส่รองเท้าได้ก็ไม่ต้องเจอหิน ไม่ต้องเจอแดด แต่ว่าคู่เวรหรือคนที่ตามจองล้างจองผลาญกันมาจริงๆนี่นะ มันไม่ง่ายแบบนั้น มันไม่มีที่หลบเวรง่ายๆในสังสารวัฎหรอก ถ้าต้องเจอยังไงก็ต้องเจอ

แม้แต่พระพุทธเจ้านี้ อ้างถึงพระพุทธองค์เพื่อที่จะได้ให้เห็นอย่างชัดเจนนะ ในคัมภีร์ทางพุทธเราบอกว่า เดิมนี่พระพุทธเจ้าท่านก็อยู่ของท่านดีดี แต่มีคนบางคนมาจองเวรท่านด้วยเหตุที่ว่าเคยเป็นพ่อค้าด้วยกัน แล้วก็ท่านเสนอราคาให้ถูกกว่า ด้วยความเป็นธรรมมากกว่า พ่อค้าอีกรายก็เกิดความแค้นเคืองอาฆาตๆอยู่ฝ่ายเดียว แล้วก็เอากอบทรายขึ้นมาอธิษฐานว่า ขอจองล้างจองผลาญไอ้เจ้าพ่อค้าคนนั้น ที่มันตัดหน้าเราไปเป็นจำนวนชาติเท่าเม็ดทรายที่เราโกยขึ้นมาโปรยลงพื้น ขณะนี้ ด้วยจิตที่มันจับแน่นอยู่กับจำนวนเม็ดทรายในมือ ก็เลยทำให้ได้ประสบความสำเร็จในการมาตามจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้านะครับ จนกระทั่งชาติสุดท้ายมีนามว่าเทวทัต พระเทวทัตหลายคนก็คงรู้จักดี แต่อันนี้ก็เป็นเรื่องเล่าในชั้นอรรถกถา 

แต่ยังไงก็ตามเราก็น่าจะพอมองเห็นภาพว่าบางที่เนี่ย อันนี้เป็นเรื่องจริงนะ ถึงแม้ว่าเราไม่ได้คิดผูกเวรกับใคร แต่ถ้าเค้าผูกเวรกับเรา จะด้วยความเจ็บใจด้วยสาเหตุที่เราคาดไม่ถึงอย่างไรก็ตาม เค้าก็สามารถที่จะตามไล่ล่าเราได้นะครับ บางทีเป็นเรื่องที่น่ากลัวชนิดหนึ่งในสังสารวัฎ เราไม่ทำเค้า บางทีเค้าก็อยากทำเรา เราไม่เคยคิดไม่เคยแค้นอะไรกับใครเค้าเลย แต่บางคนหมั่นไส้เราเกิดความรู้สึก เออ มันอยากจะถล่มให้มันพังพินาศอะไรไป ทำให้ชีวิตใครสักคนไม่ต้องมีความสุข ไม่ได้ต้องเจอความสุขอัน นั้นมีอยู่เยอะนะในโลกนี้ 

เพราะฉะนั้นสรุปก็คือ เราไปตั้งปณิธานส่วนตัวไม่ได้ว่าไม่ขอเจอคนๆนี้อีก ถ้าเค้าอยากเจอเราเค้าก็ต้องได้เจอนะครับ หรือถึงแม้ต่างคนต่างไม่อยากเจอ แต่กรรมที่ทำร่วมกันมานี่นะมันกลายเป็นสายโซ่ผูกรัดมัดตัวกันไว้ให้ติดกัน  ให้กลายเป็นตัวโยงใยกัน มันจะต้องเหวี่ยงมาเจอกันอีกจนได้นะ เพราะฉะนั้นอย่าไปตั้งโจทย์ว่าจงอย่าได้เจอกันอีกเลย จงอย่าได้พบกันอีกเลย แต่ขอให้ตั้งโจทย์ว่า เมื่อเจอกันอีก ขอให้เราเป็นฝ่ายชนะความเกลียด เป็นคนแรก ขอให้เราเป็นฝ่ายที่จะเลิกแล้วต่อกัน  ตั้งเหตุตั้งปัจจัยที่จะตัดโซ่เวรตัดโซ่ภัยจากกันและกันไป 

อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะครับ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าหากว่าเราล้างเวร ด้วยการไม่จองเวรต่อไปหลายๆครั้งเข้า ทุกครั้งที่ได้เจอไม่เคยมีความเกลียด ไม่เคยมีการจองเวรกับเค้าเลยเนี่ยนะ ในที่สุดแล้วเวรตรงนั้นมันหายไปได้ คือกำลังส่งของเวรเนี่ย ยังไงมันก็ต้องรักษาตัวเองไว้ มันก็ต้องพยายามผลักดันตัวเองไว้ให้มันสืบทอด เป็นเหมือนกับปฏิกิริยาลูกโซ่ มันจะสืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ เตะมาเตะกลับ เตะมาเตะกลับ แต่เมื่อไรเราหยุดเตะเค้าเตะอยู่ฝ่ายเดียว มันหมดแรงเจ็บใจ เค้าก็เลิกเตะไปเอง อันนี้เป็นธรรมชาติธรรมดา 

สรุปก็คืออย่าตั้งโจทย์ผิด อย่าคิดว่าทำยังไงจะได้ไม่ต้องเจอกันอีก สิ่งที่ทำๆกันมานั่นนะ ยังไงๆมันก็เป็นสายโซ่ผูกพันสายใยผูกมัด ถ้าหากว่าไหนๆมันจะต้องเจอกันแล้ว  ตั้งโจทย์ดีกว่าว่าทำยังไงเราจะเป็นฝ่ายที่อยู่เหนือความเกลียดได้ การที่เราคิดได้อย่างนี้อธิษฐานได้อย่างนี้ มันมีประโยชน์ มันมีคุณอย่างใหญ่หลวง มันมีประโยชน์มหาศาลกับตัวของเราเอง เพราะว่าอย่าลืมว่าการท่องเที่ยวในสังสารวัฎนี่ ไม่ต้องพูดเรื่องสังสารวัฎ บางคนบอกว่าสังสารวัฎคืออะไรยังไม่รู้เลย การเวียนว่ายตายเกิดคืออะไร เชื่อหรือไม่เชื่อดีก็ไม่ทราบ 

เอาเป็นว่าในชาตินี้เราต้องเจอคนหลายคนที่ทำให้เราไม่พอใจ ที่ทำให้เราอยากหลบหนี ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะซักซ้อม สามารถที่จะทำความเข้าใจกับหลักการนี้ได้ว่า ไม่อยากเจอคู่เวรหรือว่าคู่กรรมแบบไหน เราทำตัวเป็นตรงกันข้ามกับเค้าแบบนั้น เค้าช่างด่า เราช่างชม เค้าช่างเพ่งโทษ เราชอบหาจุดสรรเสริญนะครับ คือทำตัวให้แตกต่างไปมากๆ อยู่เหนือความเกลียดให้ได้ อยู่เหนือบาปอกุศลของเค้าให้ได้นะ ขอให้ได้สักคนหนึ่งเอาแค่คนเดียวคนที่เราเกลียดที่สุดคนที่เราไม่อยากเจอที่สุด ถ้าหากว่าเราสามารถเอาชนะความเกลียดในใจของตัวเองได้ เราจะเอาชนะความเกลียดในใจของตัวเองที่มีต่อคนอื่นๆได้ ทั้งชีวิตที่เหลือไม่รู้เท่าไร จำนวนเท่าไรนะ รู้แต่ว่าใครดาหน้าเข้ามาให้เกลียด เราก็สามารถเลิกเกลียดได้หมด แต่การเลิกเกลียด จำไว้ดีๆนะ ไม่ใช่อยู่ๆไปจงใจบังคับตัวเองให้เลิกเกลียดนะ อย่างอันนี้เมื่อกี้ผมพูดไปคีย์เวิร์ดนะ 

จำดีๆนะ คือเห็นว่าคนที่เราเกลียดชังนี่ เห็นว่าคนที่เรานึกไม่ชอบใจ เค้ามีนิสัยอย่างไร เค้ามีพฤติกรรมอย่างไร  อยู่บนเส้นทางกรรมแบบไหน เราออกนอกเส้นทางกรรมแบบนั้นให้ได้ คือสำรวจเข้ามาที่ตัวเองว่าอยู่บนเส้นทางแบบเค้ามั้ย มันยังมีส่วนที่เป็นเหมือนเค้ามั้ย  นิสัยที่เราไม่ชอบเนี่ย ถ้าเราถอนตัวออกมาจากนิสัยนั้นได้ คือรู้ตัวว่าเออก็เป็นกับเค้าเหมือนกัน เราถอนตัวออกมาได้จากนิสัยแบบนั้น เส้นทางกรรมแบบนั้น มันก็เหมือนกับไม่ต้องเจอ ไม่ต้องไปร่วมทางกับเค้าแล้วนะครับ มันมีธรรมชาติโดยตัวเองอยู่ แล้วว่าคนที่อยู่บนเส้นทางกรรมต่างกันจะไม่ได้เจอกันหรือถ้าเจอกันไอ้คนที่อยู่บนเส้นทางที่ขาวกว่า สะอาดกว่า หรือว่าสูงกว่า มันจะได้เป็นฝ่ายช่วย ช่วยให้อีกฝ่ายไม่ต้องตกต่ำ ไม่ใช่ว่าลากจูงซึ่งกันและกันดิ่งลงต่ำไปพร้อมๆกันนะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น