วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ฝืนใจพูดดีกับคู่เวรทั้งที่ใจเขม่น เวรจะระงับไหม

ถาม :  ของหนูนี่กดทับอารมณ์ของตัวเอง แล้วก็ขันติ อย่างเช่น หนูไม่ชอบคนๆนึง หนูก็จะพูดดีกับเค้า แต่ในใจหนู โอ้โหย อยากจะว่าเค้าเหลือเกิน วันนึงเราก็เลยพบแสงที่เราเจอว่าอ๋อ ไอ้ตัวนี้นี่เอง มันเห็นได้ชัดในจิตของเราทันทีเลย อยู่กับลมหายใจของตัวเอง ความคิดของตัวเอง หนูหมายถึงว่าดูจิตดูใจของตัวเอง ว่าวันเนี้ยเราไปทำให้ใครกระทบไหม วันนี้เค้ากระทบเราใช่ไหม ปรากฎว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูฝึกมาอ่ะ มันย้อนกลับมาทำให้หนูเห็นตัวเอง รักตัวเองมากขึ้น เมตตาตัวเองมากขึ้น
สิ่งนั้นเนี่ย หนูรู้เลยว่าคิดอะไรกะหนูอยู่  หนูรู้ รู้ รู้แล้วว่าคนเนี้ยต้องการสิ่งใด แล้วก็เลยทำให้คนงง ว่า ทำไมเราถึงรู้ บอกหนูไม่ได้คนอวดเก่ง แต่ หนูฝึกตรงนี้ เกิดขึ้นกับตัวหนูเอง กับปัญหาหนูเองเนี่ยค่ะ
และอีกอย่างนึงที่หนูอยากถามคือว่า คำว่าชดใช้อ่ะค่ะ หนูยังสงสัยอยู่ว่า สมมติหนูทำไปทำอะไรเค้าคนเนี้ย หนูยังคิดอยู่นะ ว่าเออ ชดใช้ไป ตรงนี้บางคนบอกว่ามันไม่ใช่เกี่ยวกับการชดใช้ หนูยังตอบโจทย์ตัวเองไม่ได้เรื่องเนี้ยอ่ะค่ะ

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/oCeEugemcEs
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๘
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส  
๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก 

ดังตฤณ: 
เอาอย่างนี้ ลองมอง เข้าไปนะ ที่อาการทางใจของเรา เดิมเนี่ย มันมีความพลุ่งพล่านมากกว่านี้เยอะนะ มัน มันเป็นพวกโทสะ โทสะแรง แต่เป็นพวกโทสะแรงที่บทจะใจดี ก็ใจดี อันนี้คือเป็นพื้นมาก่อน ตั้งแต่ที่เราจะมาฝึก เราจะมาทำอะไรอย่างเงี้ยอ่ะนะ คือ มีสองอารมณ์ อารมณ์สองขั้ว

ตอนที่โทสะแรงเนี่ย เวลาไม่พอใจอะไรขึ้นมาเนี่ย มันจะรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทำลายล้างอะไรสักอย่าง แต่ตอนที่ใจดีเนี่ย เราก็จะรู้สึก เออ มีความโอบอ้อม มีความอยากจะช่วย คือ คือเต็มใจ ที่จะขยับมือขยับไม้ ไปช่วยคนโน้น คนนี้ อะไรอย่างเงี้ยอ่ะนะ

ถ้าเรามองว่าชีวิตของเรามันเหมือนมีคนสองคน พร้อมที่จะอารมณ์ร้อนแรง พร้อมที่จะอารมณ์เยือกเย็น ถามว่า ตอนที่จะชดใช้ เหมาะที่จะชดใช้เวรเก่าๆ อันนี้คิดก่อนนะ แบบคิด คิด ก่อน ถามว่าจิตแบบไหนที่เหมาะกับการชดใช้เวรเก่าๆ? ตอนที่มันอารมณ์ร้อน หรือว่าตอนที่มันอารมณ์เย็น?

คือมันต้องตอนที่อารมณ์เย็น มันถึงจะเหมาะกับการชดใช้ เข้าใจพ้อยท์นะ เพราะถ้าอารมณ์กำลังร้อนเนี่ย มันไม่เหมาะกับการชดใช้หรอก มันเป็นการต่อเวร มันเป็นการสร้างเวรเพิ่มต่างหาก นี่พอมองเห็นอย่างนี้นะ ว่า ต้องอารมณ์เย็น มันถึงจะเรียกว่าเป็นการชดใช้จริง มันก็จะมองภาพที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นรายละเอียด

ยกตัวอย่างเช่น เวลาเค้ามาทำให้เราเกิดความเจ็บใจ จะด้วยคำพูด จะด้วยท่าทาง หรือแม้กระทั่งด้วยกิริยาอะไรบางอย่าง ที่มันอัดเข้ามา แล้วเรารู้สึกอยากสวนออกไป ถ้าเรารู้สึกอยากสวนออกไป นั่นน่ะนะ ให้มองเป็นอย่างนี้ก่อนว่า นั่นคือมีความพร้อมจะต่อเวร นั่นคือมีความพร้อมจะเพิ่มเวร ให้ยาวขึ้น

แต่ถ้าเมื่อไหร่ ขันติของเรา โอเคจะ จะเวิร์คหรือไม่เวิร์คก็แล้วแต่ แล้วมันไม่สวนออกไปนะ อันนี้ก็คือ โอเค เราระงับเฉพาะตรงนั้น ที่รู้สึกว่า จะต้องสวนออกไป แล้วไม่สวนออกไปเนี่ย มันไม่ต้องมีเวรเฉพาะตรงนั้น แต่ใจเนี่ย บางทีเนี่ยมันยังไม่จบ เข้าใจพ้อยท์ใช่มั๊ย คือเราเริ่มเห็นเข้ามาที่ใจ ไอ้เรื่องการจะมีเวร หรือต่อเวร หรือระงับเวรเนี่ย ตรงนั้นยังไม่ได้ระงับเวร

แต่ถ้าเมื่อไหร่ มีอะไรกระแทกเข้ามาแล้วใจยังเย็นอยู่ ยังรู้สึกถึงความสงบ ตรงนั้นเนี่ย เราสามารถคิดอะไรเป็นธรรมะได้ทันทีทันใด คือไม่ใช่ต้องเก็บมาระงับอารมณ์ก่อน แต่มันสามารถเห็นเป็นเหตุการณ์เลยนะ ว่าเนี่ย ที่เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรเนี่ย มันมาแล้วนะ เค้ามาทวง แล้วใจของเรา ณ เวลานั้นเนี่ย มันจะแค่ตอบโต้กลับไป หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่ตอบโต้ หรือว่ามีความรู้สึกไม่อยากตอบโต้จริงๆ เพราะมันยังเย็นอยู่

เราสังเกตให้เห็นเป็นอาการทางใจแบบนี้ ในเรื่องของเกมการสร้างเวรสร้างภัยเนี่ย มันจะชัดเจนขึ้น เป็นภาพเลยนะ เป็นภาพรวม คือ มันจะเห็นเป็นของจริง คือ
กระแสจิตของเค้า กับ กระแสจิตของเรา
พฤติกรรมของเค้า กิริยาของเค้า กับ
พฤติกรรมของเรา กิริยาของเรา

มันจะเห็นออกมาจากจิตที่มันรู้จริงๆว่า คำว่าเวร มันคือมีการทำร้ายกัน ประทุษร้ายกัน จากฝั่งหนึ่ง ฝั่งนั้นเนี่ย จะถูกเรากระทำมาในอดีต หรือว่า เค้าจะเคยเล่นงาน ตามเล่นงานเรามาข้างเดียว ยังไงก็แล้วแต่ นี่คือพฤติกรรมประทุษร้าย เราจะ รู้สึกว่าเนี่ย อยากมีอาการประทุษร้ายตอบหรือเปล่า ถ้ามีอาการประทุษร้ายตอบ เราจะเห็นเป็นสายใยของเวร สายสัมพันธ์ของเวรของภัยระหว่างกัน ถ้ามาเดี่ยว เรียกว่าเดี่ยว ๆ เราคู่เวรกับเค้า แต่ถ้ามาเป็นกลุ่ม แล้วเราไปร่วมเป็นหนึ่งในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง นั่นเราจะเห็นเป็นเมฆหมอกเลย ที่มันหนาทึบขึ้นมา มันไม่ใช่แค่สายใยเดี่ยว ๆ มันเป็นเครือข่าย มันเป็นข่ายใหญ่ ของเวรของภัย

นี่ใจมันจะเห็นไปอีกแบบหนึ่ง คือนี่เห็นจากปัจจุบันล้วนๆ เลยนะ ไม่ได้เห็นจากอดีตนะ แต่มันจะเข้าถึงรากของคำว่าเวร รากของคำว่าภัย จริงๆ คือมันมีอาการประทุษร้าย นำมา แล้วเราเห็นใจของเราว่าต้องการประทุษร้ายตอบหรือเปล่า มันจะมีสามจังหวะนะ
..จังหวะที่อยากโต้ตอบกลับไปนี่ ประทุษร้ายเต็มขั้น
..อยากจะแกล้งๆ ไม่โต้ตอบ คือใจอ่ะอยาก แต่ว่าพฤติกรรมทางปาก และพฤติกรรมทางกายไม่โต้ตอบ ไม่สวนอะไรออกไป
..แต่ถ้าเมื่อไหร่ใจรู้สึกจริงๆ ไม่อยากประทุษร้ายกลับนี่ ตัวนี้แหล่ะ มันจะเห็นเลยว่าภัยหรือเวร มันถูกระงับแล้ว

อ้า นั่นน่ะ ความรู้สึกสว่าง เนี่ย คือแทนที่เราจะไปพยายามหาคำอธิบายเป็นว่า เอ้ย ชาติก่อน อะไรต่อมิอะไร มันยังระลึกไม่ได้อ่ะ มันยัง มันยังไม่สามารถที่จะเห็นอ่ะ เราก็เอาเฉพาะที่เห็นก่อน แล้วเห็นเป็นอาการทางใจ

เนี่ย คีย์เวิร์ดมีอยู่แค่เนี้ย ประทุษร้ายหรือไม่ประทุษร้าย ตรงนี้มันจะ เอ่อ เกิดภาพทางใจ เวลาประทุษร้ายเนี่ยมันจะเห็น เห็นอย่างนี้เลยนะ ถ้าเราเห็น ฝึกที่จะเห็นไปมากๆเนี่ย มันจะมีควันร้อนๆ อะไรออกมา มันจะมีเหมือนกับหอกดาบ มีที่เป็นนามธรรมเนี่ย มันพุ่งออกมา จะทิ่มแทงเรา และไอ้ตรงนี้ก็เห็น เห็นเป็นภาพทางใจเหมือนกันว่า มีโล่ขึ้นมา ยกขึ้นมาปกป้องเฉยๆ หรือว่ามีอากาศโปร่งๆ ให้หอกดาบเนี่ยมันวิ่งเลยไป นะ

ตัวเนี้ย พูดง่ายๆว่า อยากที่จะดูเข้ามา เจริญสติเข้ามา ที่ความเป็นกายใจเนี่ย มันจะเอาชนะความรู้สึกอยากจะไปโต้ตอบ อยากจะไปประทุษร้ายตอบได้ ลำพังการระงับใจอย่างเดียวเนี่ย มันช่วยได้เป็นครั้งๆ แต่จะไม่เกิดแรงบันดาลใจ ที่จะระงับความอยากประทุษร้ายตอบตลอดไป เพราะว่ามันมองไม่เห็น ว่าเราจะทำไปเพื่ออะไร

แต่ถ้าเห็นภาพทางใจเข้ามา นี่ฝั่งเค้า นี่ฝั่งเรา มันชัดเจนเลยนะ มันจะเห็นเป็นเหตุเป็นผล และต่อมาเนี่ย ถ้า ใจของเราเป็นอุเบกขา มากขึ้นๆ คือ มันเลิกที่จะอยากไปเบียดเบียนตอบ เลิกที่จะอยากไปประทุษร้ายกลับ ใจมันมีสมาธิมากขึ้นๆ วันนึง มันจะเกิดภาพทางใจขึ้นมาเลยว่า อาการประทุษร้ายอย่างเนี้ย พอพุ่งเข้ามานะ มันคล้ายๆเป็นสัมผัสที่ปรากฎขึ้นเอง คือไม่ได้ไปมีญาณวิเศษอะไรขึ้นมาที่ไหน แต่รู้เลยว่าเนี่ย มันเป็นแค่หนังซ้ำ เอามาฉายซ้ำ มันไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เป็นครั้งแรก มันจะเห็นจากอาการประมวลของจิต

ธรรมชาติของจิตเนี่ย เค้าจะเกิดการรับรู้ ว่า ลักษณะประทุษร้าย ถ้าหากว่ามันเข้ามา แล้วเราโต้ตอบกลับไปเนี้ย มันจะเป็นวงจร การรบราฆ่าฟันไม่รู้จบ แล้วก็จะเห็นเป็นภาพเลยว่าเคยไปทำอะไรกันมา อาจจะเห็นหรืออาจจะไม่เห็น แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดนะ ภาพทางใจที่เรารู้สึก แล้วก็สัมผัสชัดขึ้นเรื่อย ๆ เนี่ย มันจะก่อให้เกิดสมาธิอีกแบบหนึ่ง คือมันเห็นไง เห็นเป็นนามธรรมว่าไอ้ที่เค้าพุ่งเข้ามาเนี่ย มันทำท่าเหมือนแยกเขี้ยว บางทีหน้าตายังดีๆอยู่นะ แต่ข้างในเนี่ย เหมือนแยกเขี้ยว ยิงฟันแล้ว

และถ้าเราเห็นภาพทางใจแบบนั้นบ่อยๆ บางทีมันเห็นชัดไป ทะลุลงไปกระทั่งว่า เนี่ย ข้างในเค้ากำลังมีสภาพเหมือนปีศาจซาตานยังไงอยู่ หรือเห็นกระทั่งว่ามันเคยมีภาพอีกภาพนึงเนี่ยซ้อนขึ้นมาว่า เคย เคยรบราฆ่าฟัน เคยทะเลาะเบาะแว้ง เคยตีรันฟันแทงอะไร ใน ในแบบไหนกันมา

พูดง่ายๆ สรุปก็คือว่า เราไม่สามารถให้คำอธิบาย เนี่ยเคยไปทำกรรมอะไรกันมาแต่หนไหน แต่สามารถ รู้สึกทางใจว่า ภาพที่ปรากฏในอาการประทุษร้ายฝั่งเค้า ฝั่งเราเนี่ย มันเทียบกันแล้ว แตกต่างกันอย่างไร นะ เอาตรงนั้น เป็น เป็นมาตรฐานก็แล้วกัน นะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น