ถาม : ปัญหาในการภาวนาตอนนี้นะคะ คือเวลาเราทำในสิ่งที่เป็นกุศล
อย่างเช่น ฟังธรรม หรือ สวดมนต์ มันจะมีความคิดอกุศลที่เข้ามา
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/kc6227M7cAg
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ:
แต่ก่อนเป็นอกุศลมากกว่านี้ตั้งมากนะ
เราก็เห็นอยู่ ตอนนี้มันค่อยๆละลายไง คืออย่าไปคาดหวังว่าเราเปลี่ยนจากคนมองอะไรแง่ไม่ดี
จะต้องดีกลายเป็นตรงกันข้ามทันที มันค่อยๆปรับโครงสร้างทางความคิด
ตอนนี้จิตวิญญาณสะอาดขึ้นเยอะ มีความสว่าง ยิ่งสว่างเท่าไรจำไว้เลยนะ
มันยิ่งเห็นความคิดไม่ดีชัดขึ้นเท่านั้น
แต่ก่อนถ้าเป็นความคิดไม่ดีเนี่ย
จิตมืดอยู่ มันมองไม่เห็น มันเหมือนกับว่าเป็นปกติ เหมือนกับว่าเราไม่ได้คิดไม่ดี
เหมือนกับเราไม่ได้อะไรมากมาย แต่พอเมื่อไหร่ที่จิตมันสว่างขึ้นมา
จิตมันมีความเป็นกุศลหรือโน้มเอียงไปในทางความเป็นกุศลโดยมาก
พอมีจิตอกุศลผุดขึ้นมาแม้แต่นิดเดียวเนี่ย มันเห็นความแตกต่างชัดเจน
เหมือนกับเราทำความสะอาดพื้นที่
ปัดหยากไย่ ปัดเศษอะไรโสโครกออกหมดแล้วเนี่ย พอมีอะไรสกปรกแปดเปื้อนเข้ามานิดเดียว
มันสามารถเห็นข้อแตกต่างได้ทันทีระหว่างสะอาดกับสกปรกนะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องตกใจ
ขอให้บอกตัวเองว่าดีแล้ว ทำมาถูกแล้ว แล้วที่มันยังเหลืออยู่เนี่ย ถ้าเรารู้สึกแล้วก็ยอมรับตามจริงได้ว่ามันเป็นอกุศลจิต
เป็นความคิดไม่ดี บอกตัวเองไว้เลยว่าไม่บาปแล้ว
ทันทีที่เห็นความคิดไม่ดีแล้วไม่ไปยึดมั่นถือมั่น
กับทั้งไม่ไปต่อต้านมัน จำไว้เลยว่านั่นคือมหากุศลจิต
อันนี้อยู่ในคัมภีร์เลยนะ
ถ้าอกุศลจิตเกิดขึ้นแล้วมีสติรู้ทัน
มันพลิกเป็นมหากุศลจิตทันที
จากอกุศลธรรมดานะ
แล้วเรารู้ทัน มีสติรู้อย่างยอมรับตามจริงว่านั่นคืออกุศลจิต
มันเปลี่ยนเป็นมหากุศลจิตทันที สังเกตได้ง่ายๆเลย เวลาที่คิดไม่ดี
หรือเกิดความรู้สึกที่มันเป็นอารมณ์ลบขึ้นมา เราแค่ยอมรับมันเฉยๆว่า
เออ..ตอนนี้เกิดอกุศลจิตขึ้นมานะ เกิดความคิดไม่ดีขึ้นมานะ มันจะรู้สึกโล่ง
มันจะรู้สึกคลาย
หรือถ้าแม้กระทั่งเกิดความรู้สึกทรมานใจ
เพราะบางทีคิดไม่ดีในเรื่องที่มันแย่อะไรแบบนี้นะ ความทรมานใจนั้นเนี่ย
มันก็ไม่ได้ทำให้เราเกิดเจตนาชั่วร้ายขึ้นมา
ขอให้สังเกตนะ
ถึงแม้ว่าจะเป็นความคิดแย่มากๆ
แต่ตัวเจตนาของเราเนี่ย
ความเป็นตัวของตัวเราเนี่ย
ไม่ยอมตามมัน
ไม่เกิดความคิดแม้กระทั่ง
จะปล่อยให้มันหลุดออกไปเป็นคำพูด
นั่นเรียกว่าสติอยู่เหนืออกุศลจิตอยู่แล้ว
ไม่ต้องไปห่วง ไม่ต้องไปกังวล
มันเป็นแค่อกุศลสัญญาที่สะสมมา
แล้วมันยังไม่ได้หายไปไหนทันที
คนเราเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เปลี่ยนแบบชั่วข้ามคืน
ฉับพลันกลายเป็นอีกคนหนึ่ง
แต่ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป
จำไว้ว่าถ้าคุณเห็นตัวเองเปลี่ยนจากคนหนึ่งไปเป็นอีกคนหนึ่งในชั่วข้ามคืนนะ
มันมีอะไรผิดปกติแล้ว แต่ถ้าหากว่าค่อยๆเห็นว่าตัวเดิมมันมาปรากฏแล้วรู้สึกแปลกปลอม
รู้สึกว่ามันเป็นคนละพวกกับเรา
แล้วมันเป็นอะไรที่เราไม่ได้ยอมตามมันอีกต่อไปแล้วเนี่ย นั่นแหละคือขั้นตอน
นั่นแหละคือกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ถูกต้องแท้จริง
แล้วกระบวนการการเปลี่ยนแปลงเนี่ย ถ้าหากว่าเราคิดในแง่ทางโลกนะ
ก็คือว่าเราจะไม่ทำอกุศลกรรมแบบเดิมๆ หรือถึงทำก็เบาบางลงคือมันไม่เต็มใจ
ถ้าหากว่าทำบาปโดยไม่เต็มใจ ผลมันไม่เต็มร้อย
แล้วเราเอามาใช้ประโยชน์ในทางการเจริญสติก็คือ
เห็นความไม่เที่ยงนะ ว่าเราเดินชีวิตไปในทิศทางใด มันก็จะค่อยๆพัฒนาขึ้นไปในทิศทางนั้น
อย่างเช่น
เราเลือกแล้วที่จะดำเนินชีวิตไปตามเส้นทางของการเจริญสติซึ่งรู้แน่ๆว่ามันไปสู่มรรคผลนิพพาน
มันไปสู่ความเป็นกุศลมหากุศล เราจะเห็นจิตเปลี่ยนแปลงไป เนี่ยอย่างนี้แหละ
พออกุศลสัญญาหรือความคิดไม่ดีมันกลับมา มันย้อนกลับมา เราจะไม่เต็มใจต้อนรับมัน เราจะไม่รู้สึกอยากจะให้ความร่วมมือกับความคิดแย่ๆ
ที่มันผุดขึ้นในหัว
หรือแม้กระทั่งเกิดความรู้สึกทรมานใจ
มันก็จะไม่ทรมานนาน
เพราะมันเห็น มันเห็นไว้ก่อนล่วงหน้า
คือรู้ไว้ก่อนเป็น ‘สัมมาทิฐิ’
ว่า
อกุศลสัญญา มันเป็นเพียงแค่
ภาวะปรุงแต่งจิตชั่วคราว
มันไม่ใช่ตัวเรา มันไม่ใช่ตัวตน
เวลาที่มันเกิดขึ้น
แล้วเราเห็นถึงความไม่เที่ยง
มันก็กลายเป็นข้อยืนยัน
แต่ละครั้งแต่ละหน
ที่เราเห็นถึงความไม่เที่ยงของอกุศลสัญญานะ
มันก็กลายเป็นข้อยืนยัน ข้อพิสูจน์ว่า
เออ..ไม่ใช่ตัวเราจริงๆด้วย!
เมื่อสั่งสมความรู้สึกว่า
เออ..ไม่ใช่ตัวเราจริงๆด้วย หลายๆครั้งเข้า เป็นสิบ เป็นร้อยครั้ง ในที่สุดนอกจากอกุศลสัญญามันจะหายไปเองแล้ว
มันจะได้พุทธิปัญญาเกิดขึ้นมาด้วย ว่าอกุศลสัญญาเนี่ย
มันกลับมาได้ก็จริงแต่มันจะไม่อยู่กับเรา ถ้าหากว่าเราไม่เติมอาหารให้มัน
ไม่ให้อาหารหล่อเลี้ยงกับมัน
อาหารหล่อเลี้ยงอกุศลสัญญาจำไว้นะ
มีทั้งฝ่ายต่อต้าน ไม่พยายามให้มันเกิดขึ้นอีก ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก
ตัวนี้ก็เป็นอาหาร หรือให้ความร่วมมือ ไปคิด ไปพูด ไปทำในแบบที่อกุศลสัญญามันบีบ
อย่างนี้ก็เป็นอาหารอีกเช่นกัน ทั้งรับแล้วก็ทั้งต้านเป็นอาหารให้กับอกุศลสัญญาทั้งสิ้น
แต่ถ้าหากรู้ตามจริงว่าอกุศลสัญญาสักแต่เป็นภาวะชั่วคราว นี่มันจะเป็นการตัดอาหาร
ตัดเสบียง
แต่อย่าหวังว่ามันจะหายไปภายในเดือนสองเดือนนะ
ให้เล็งไว้เลยว่าอาจจะเป็นปีๆ หลายปี
หรือแม้กระทั่งจะเป็นไปอย่างนี้ชั่วชีวิตก็คุ้ม
เพราะว่ามันแปลว่าอะไร? แปลว่าเราใช้ชั่วชีวิตที่เหลือเนี่ยเห็นอกุศลสัญญาโดยความเป็นภาวะไม่เที่ยง
มันเป็นต้นเหตุ มันเป็นบ่อเกิดของพุทธิปัญญา ไม่จำเป็นต้องไปรังเกียจมัน!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น