ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑๒
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ผู้ถาม : ของผม เวลานั่งจะมีผลต่อร่างกาย อาการที่ 1 มันจะเย็นช้อนบนหัวผมเหมือนเวลาเอาน้ำแข็งไปแปะ อาการที่ 2 เวลามันตื่น มันอาจจะตื่นที่นึง 2 หรือ 3 วัน อาการที่ 3 คือเหมือนกับมัน alert เกินไปครับ
ดังตฤณ: คือเพราะว่าจิตของเรามารวมแบบกระจุก
คือพอเริ่มรู้สึกเป็นสมาธิขึ้นมาเนี่ย แล้วไปจับเอาความเป็นสภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง
อย่างที่บอกว่ามันเย็นลงเนี่ย ตอนนั้น ถ้าเราไม่สนใจนะ
ถ้ามาอยู่กับความรู้สึกอบอุ่นของสมาธิเนี่ย มันจะรู้สึกว่าความเย็นมันหายไป
แต่นี่พอเย็นปุ๊บ คือเริ่มเย็นขึ้นมา แล้วเราโฟกัสที่ความเย็นเนี่ย
จิตที่มันกำลังแรงตรงนั้นน่ะ มันไปยึดความเย็น
ความเย็นตรงนั้นนะมันก็เด่น ถูกขับให้มันเด่นขึ้นมา มันก็กลายเป็นความเย็นที่ต่อเนี่องยาวนาน
จริงๆ ต่อไปนะ ถ้าเกิดรู้สึกความเย็นขึ้นมา ลองเหมือนกับแค่รับรู้ เออเนี่ย
ตอนที่นั่งแล้วรู้สึกทั้งตัว มันจะเกิดความอบอุ่นขึ้นมา นึกออกใช่ไหม?
เวลาที่เป็นสมาธิเนี่ย พอนั่งรู้สึกเหมือนกับ เออ รู้สึกถึงอิริยาบทนั่งทั้งหมด
มันจะรู้สึกอบอุ่นและแผ่กว้าง
ผู้ถาม : มันกระจายออกไป
ดังตฤณ:
คือไม่ใช่พยายามให้ความเย็นกระจายออกไปนะ
หรือไม่ได้พยายามแผ่ให้ความอบอุ่นมันกระจายออกไปนะ แต่ให้มานึกถึง
คือเปลี่ยนโฟกัสน่ะ อย่างพอเรานึกถึงความเย็นปุ๊บเนี่ย คือมันเป็นอะไรคล้ายๆ กับภาวะที่มันแปลกประหลาดไง
เป็นปรากฎการณ์ทางพลังงาน มันเป็น energy ชนิดหนึ่ง ที่เรารู้สึกว่า เอ๊ะ มันเย็นแล้วเนี่ย มันแปลก แล้วเราก็
จิตก็ไปก่อเอาความเย็น แต่เนื่องจากจิตเรามันแรง มันไปเร่งพลัง ไอ้ความเย็นตรงนั้น
มันเด่นชัดขึ้นมา ความเย็นนี้ของง่าย ๆ สร้างเมื่อไหร่ก็ได้ เอามือแค่มาอัง และนึกถึงความเย็น
มันก็เย็น นึกถึงความร้อน มันก็ร้อน มันไม่ใช่อะไรที่ยุ่งยากเลย เป็นธาตุไฟนั่นเอง
คือเราแค่ปรับธาตุไฟด้วยจิต ให้มันเป็นไปในทิศทางไหน ที่นี้การที่มันเย็นขึ้นมาเนี่ย
ขอให้สังเกตเถอะ พอมันเริ่มเย็นขึ้นมานิดเดียว แล้วเราไปโฟกัส
แต่ถ้าเราทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และก็มาอยู่กับท่านั่ง รู้สึกถึงความว่างของจิต
มันจะกลายเป็นความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาแทน
และการที่มันตื่นอยู่กี่วันก็ตาม
ขอให้มองว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอีกเหมือนกัน
มันเป็นแค่การแสดงออกของจิตแบบหนึ่ง มันจะต่อเนื่องของมันอยู่อย่างนี้นะ แล้วเวลาดูๆ
ตัวนี้ดีกว่า ดูตัวความพะวงต่อภาวะที่ปรากฏ คือไม่ว่าภาวะไหนจะปรากฏเนี่ย
เราคอยไปเพ่งโทษมัน หรือคอยไปเฝ้าดักการพัฒนาการ คือมีอาการใจจดใจจ่อ บางที
มันไม่ได้กลัวอย่างเดียว บางที มันมีความคาดหวังด้วย คือคาดหวังจะให้มันก้าวหน้าไปกว่านี้ไง
คาดหวังไปในทางที่แบบจะให้มัน upgrade ขึ้นไปหรือว่าถูกต้องยิ่ง ๆ
ขึ้นไป คืออย่างกลัว อย่างกรณีแรกที่พี่พูดเนี่ย เรื่องความเย็น
เรื่องอะไรยังเนี่ย ที่ เอ๊ะ...มันเป็นปรากฎการณ์อะไรบางอย่างที่เดี๋ยวมันจะมีความผิดปกติต่อร่างกายรึเปล่าหรือว่ามันจะมีผลเสียทางใดทางหนึ่งที่เราไม่รู้รึเปล่า
พอจิตไปจับ ไม่ว่าจะเป็นความกลัวหรือความคาดหวัง มันจะปรุงแต่งไปอย่างแรง
และก็ไม่อยากยอมรับไอ้สภาวะที่กำลังปรากฏ
อย่างตอนนี้ คือมันเข้าใจ แต่ว่าภาวะเนี่ย มันเหมือนจะยังไม่เต็มร้อย คือใจ
ตัวนี้ พอเรารู้สึกถึงไอ้ภาวะที่มันไม่ร้อยเปอร์เซนต์ โอเคไหม
มันก็ค่อยคลายออก คือมันไม่เกาะไว้ มันไม่เกาะอยู่กับอาการไม่ร้อยเปอร์เซนต์ไว้
มันเริ่มเข้ามารู้สึกถึงความจริงโดยปราศจากความกลัวและความคาดหวัง
นี่เขาเรียกว่าปัจจุบัน แต่ที่ผ่านมาเนี่ย ถ้าไม่อดีตก็อนาคตที่ใจเราไปเกาะ ทั้งๆ
ที่ก็ปฏิบัติมาได้นะ แต่ว่าจิตของเราเนี่ยเกาะอยู่กับความก้าวหน้าในอนาคตมากเกินไป
หรือไม่ก็เกาะอยู่กับความกลัว ความกังวลกับผลเสียที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เนี่ย
มันค่อย เห็นไหม? มันไม่บีบ จิตมันไม่บีบ มันเข้ามาอยู่กับความจริง ที่มีอยู่แค่ว่าเนี่ยนั่งอยู่อย่างนี้
แล้วไม่มีอะไรพิเศษ จิตของเราบางทีเนี่ย ทางหนึ่ง
มันก็กลัวความพิสดารของปรากฎการณ์ทางจิต แต่อีกทางหนึ่ง มันไม่ค่อยจะยอมรับอะไรที่มันธรรมดาๆ
นั่งอยู่ ก็เนี่ยรู้ว่ากำลังนั่งอยู่ มันไม่ใช่ยอมแค่นั้นไง มันจะไปปรุงแต่งอะไรต่ออ่ะ
ตัวนี้แหละ ต้นเหตุของความคาดหวังและความกลัว แต่ถ้าเรายอมว่าเออเนี่ย นั่งคือนั่ง
อยู่ในท่านั่งแบบนี้ และนั่งว่าหายใจเข้าและหายใจออก เนี่ย ตอนนี้ มันเปิดขึ้น
แต่ไม่เปิดเต็มร้อยนะ ตัวนี้เริ่มยอมรับเข้ามาในภาวะง่ายๆ เห็นไหม?
วิธีคิดของเราเนี่ยมันไม่ยอมง่าย มันจะขออะไรที่มันแบบยุ่งยากนิดหนึ่ง
ขออะไรที่มันมีขั้นตอนนิดหนึ่งที่ให้เรารู้สึกว่าเราได้ทำเป็นพิเศษ
เข้าใจวิธีปรุงแต่งไหม? อันนี้มองเป็นวิธีปรุงแต่งทางจิตของเรานะ เนี่ย
พอคำว่าครับเนี่ย ดู ที่มันรู้สึกถึงภาวะปรุงแต่งของจิต และมันว่าง มันคลายออกไปนิดหนึ่ง
เนี่ย ตัวนี้ล่ะ ที่มันยอมมาอยู่กับภาวะอะไรง่ายๆ มีแค่ท่านั่งและก็ลมหายใจกับไอ้ภาวะที่มันรู้
รู้เฉยๆ ที่ผ่านมา มันไม่ยอมรู้ เห็นไหม? คือเริ่มเห็นอาการทางใจของตัวเองไหม?
มันไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ แค่ที่อยู่ตรงหน้า มันคอยแต่ไปปั่น ไปสร้างหรือว่าไปก่อภาวะ
ไปก่อตัวอะไรที่มันพิเศษขึ้นมา ทั้งๆ ที่ ก็เป็นคนกลัวภาวะปรากฎการณ์อะไรที่มันคาดไม่ถึง
มันขัดแย้งกันอยู่ นี่ถ้าเรามองเห็นไอ้ตัวความขัดแย้งนั้น มันก็สงบลง
แล้วเหลือแต่ภาวะธรรมดาๆ ตรงหน้านี่ เข้าใจนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น