ถาม:
เคยโทรไปถามพี่ตุลย์ใน Skype ครับ
แล้วก็พี่ตุลย์ก็แนะนำเรื่องการทำสมาธิมา ตอนนี้ก็ประมาณปีหนึ่งแล้ว ก็คิดว่ามันก็ดีขึ้นนะครับ
ตอนนี้ก็มีความสว่างในจิตขึ้นมาพอสมควร
แล้วอาการที่พี่ตุลย์เคยสอนว่าให้ทำตัวเป็นอากาศธาตุถ้ามีศัตรูมา ให้รู้อย่างเดียว
ตอนนี้มันก็ดีขึ้นค่อนข้างเยอะ และก็นิ่งขึ้น เห็นมีสภาวะผ่านไป ผ่านมา แต่พักหลังๆ
รู้สึกเหมือนมีกระแสคลื่นจากภายนอกมันเข้ามากดและครอบบ่อยๆ
ดังตฤณ: คืออย่างนี้นะ แต่ก่อนเรานี้เราเป็นคนเค้น คือเค้นความคิด และก็จะ
ถ้ามองเป็นภาพของจิตนะ ก็คือว่าเราจะรู้สึกเหมือนกับมีอะไรยุ่งๆ มืดๆ อยู่ในหัว
แต่ตอนนี้หนึ่งปีที่ผ่านมาเราอาจจะค่อยๆ ฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป สมาธิมันทำให้ใจมันรู้สึกมันโล่งขึ้น
แต่ว่าตรงนี้มันยังมืดๆ อยู่ พอจะนึกออกไหม มันสว่างตรงนี้ แต่ว่ามันยังมืดๆ หม่นๆ
อยู่ตรงนี้ ตรงนี้เนี้ยถ้าแปลเป็นภาษาสมาธิก็คือจิตมันเริ่มว่าง มันเริ่มเบา
เริ่มสว่าง แต่ความคิดยังมืดอยู่ ความคิดมืดไม่ได้หมายความว่าอกุศลอย่างเดียวนะ
บางครั้งหมายถึงความพยายามมากเกินไป ความจดจ้องมากเกินไป
ความบีบบังคับตัวเองมากเกินไป หรืออย่างบางทีเนี้ย คือนิสัยหรือความเคยชินของเรา
เวลาที่เราปฏิบัติต่อคนอื่น บางทีเนี้ยมันเข้มงวด เป็นคนเข้มงวด เข้าใจไหม
ลักษณะของคนเข้มงวดเนี้ย มันจะมีจิตในแบบที่ว่าบีบคั้น ค่อนข้างจะไม่ปล่อย
ค่อนข้างจะไม่เหมือนกะใจเราตอนนี้มันไม่มีอะไรหรอก
ไม่ได้ไปอะไรกะเค้ามากเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ก่อนมันจะชอบดุไง ชอบวางอำนาจนะครับ
นิดนึง คือทีนี้ช่วงที่ผ่านมาเนี้ย มันลดลง ใจเราจริงๆ มันไม่ได้มีแบบนั้นแล้ว
คือเกือบจะไม่มีแบบนั้นแล้ว คือลดลงมาเหลือยี่สิบเปอร์เซ็นต์อะไรแบบเนี้ย เหลือหน่อยเดียว
แต่ว่าไอ้ความเคยชินในวิธีการคิดมันยังเป็นแบบเดิมๆ อยู่ มันถึงได้รู้สึกเหมือนกะไอ้ตรงนี้มันมืดๆ
ได้ มันไม่เท่ากันกับความสว่างของใจ ใจมันสั่งสมธรรมะมามากพอสมควร มันมีความสว่าง
มันมีความเย็นพอสมควร แล้วก็มันน้อมไปในทางเบาด้วย อยู่ดีๆ บางทีเราจะรู้สึกใจมันเบา
โล่งขึ้นมาเฉยๆ แต่ทำไมตรงนี้มันยังรู้สึกว่ามันติด มีอะไรค้างๆ อยู่
มันไม่จบอยู่ที่ตรงนี้ เนี้ยก็เพราะว่าวิธีคิดมันยังเป็นแบบเก่าอยู่นะครับ
บางทีเนี้ย ไม่ได้ห้ามไม่ให้เข้มงวดกับคนอื่น เพราะบางทีมันต้องเข้มงวดจริงๆ
แต่ลักษณะตอนที่คิด ตอนที่สั่งคนเนี้ย ลองดูใจตัวเองนะครับ เวลาพูด
มันยังพูดด้วยความเคยชินแบบเดิม เข้าใจไหม คือมันยังไปจี้เค้าอยู่
และถ้าหากว่าเราพูดด้วยอาการจี้คนอื่น ในหัวของเรามันจะมีอาการเหมือนกับฟั่นเกลียวเข้ามา
เหมือนกับขมวดเข้ามา เข้าใจอาการตรงนี้ใช่ไหมครับ เนี้ยอย่างพอเราคุยกันถึงภาพตรงนี้
เราทบทวนเรานึกออก มันจะรู้สึกคลายออก เมื่อกี้รู้สึกไหม
ที่มันรู้สึกเหมือนโล่งขึ้นนิดนึง ตรงนั้นมันเป็นการค่อยๆ คลายเกลียวออก ทีนี้
ถ้าเราไปปฏิบัติจริงด้วย คือพูดเนี้ย สังเกตตัวเอง จะใช้คำพูดไหนก็แล้วแต่
จะใช้วิธีพูดแบบไหนก็แล้วแต่ ขอให้สังเกตตัวเองด้วยการเห็นตามจริงนะ
ไม่ใช่ไปแกล้งทำให้มันเกิดความเบา ความสบายขึ้นในหัวนะ เริ่มต้นเนี้ย อันดับแรกเลย
ให้เห็นก่อนว่าเราพูดยังไง แล้วรู้สึกยังไง มันตึงๆ เครียดๆ อยู่ในหัวยังไง มันปิดๆ
อยู่ยังไง พอเห็นมันจะคลายเอง โดยไม่ต้องพยายาม เหมือนอย่างตอนเนี้ย มันสลับกัน
พอรู้ไปนิดนึงเนี้ย มันจะคลายออกมา ทีนี้ที่พี่พูดถึงเนี้ย
พูดให้เข้าใจว่ารากมันไม่ได้มาจากอาการทำสมาธิผิดหรือว่าปฏิบัติไม่ถูกอะไร
แต่มันมาจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน มันมาจากวิธีพูดของเรา
มันมาจากวิธีที่เราควบคุมตัวเองด้วย ควบคุมคนอื่นด้วย บางทีมันมีความไม่พอใจอยู่สูงเวลาที่คนไม่ได้อย่างใจ
ตรงที่รู้สึกไม่ได้ดั่งใจกับผู้คนที่อยู่รอบข้าง สังเกตเข้ามาที่นี่ทันที
ถ้าเกิดรู้สึกมืดๆ รู้สึกเหมือนกับบีบๆ รัดๆ เข้ามา
นั่นแหละตัวนี้แหละที่เรากำลังคุยกัน เมื่อคุยกันตรงนี้ได้ถูกแล้ว
เราเอาไปสังเกตได้เรื่อยๆ นะ มันจะรู้สึกว่าคลายๆๆ ออกไป แล้วมันเบา มันจะเหมือนไม่มีตัว
มันจะเหมือนจะเห็นแล้วว่าอาการทั้งหลายทั้งปวงเป็นแค่อาการปรุงแต่งของจิตทั้งนั้นเลย
จะเป็นมืดก็ตาม จะเป็นสว่างก็ตาม จะเป็นบีบรัดเข้ามา จะเป็นคลาย วาง ว่างก็ตาม
มันคือวิธีที่จิตปฏิบัติต่อตนเองและปฏิบัติต่อคนอื่นทั้งนั้นเลยนะครับ
ถาม:
ขอถามอีกคำถามหนึ่งนะครับ
เกี่ยวกับเรื่องบางทีผมมีเวลาว่างก็อยากจะฝึกกีฬาทางใจ ถ้าจะฝึกกสิณนี่?
ดังตฤณ: อย่าเพิ่ง ตอนนี้อย่าเพิ่ง กสิณเนี้ยนะเหมาะกับคนที่ใจเปิดแล้ว
ใจมันมีความตั้งมั่น ใจมันมีความโล่งว่าง แล้วก็ไม่มีเชื้อของความเคร่งเครียด
แต่หากว่ายังมีเชื้อของความเคร่งเครียด อยู่อย่างนี้ อาจจะเป็นบ้าเอาได้ง่ายๆ
โดยไม่รู้ตัว เพราะว่าขึ้นต้นขึ้นมาแทนที่มันจะเห็นด้วยความสามารถหรือคุณภาพของจิต
มันกลับไปเห็นด้วยอาการสั่ง ไปเห็นด้วยอาการจดจ้อง ตั้งหน้าตั้งตาเอาให้ได้ ซึ่งนิสัยของเรามันตั้งหน้าตั้งตาเอาให้ได้อยู่แล้วไง
ลองสังเกตสิ พอทำอะไรไปจะพูดกับใคร หรือแม้แต่ปฏิบัติกับตัวเองก็แล้วแต่ ถ้าตั้งหน้าตั้งตาจะเอาให้ได้
มันรู้สึกเพ่งๆ หนักๆ ตึงๆ เครียดๆ มืดๆ ขึ้นมา เวลาที่ฝึกกสิณมันก็จะเป็นแบบนั้น
นะครับ
ถาม:
แล้วที่ปฏิบัติดูลมหายใจมันคลายการเพ่งลง แต่มันก็ยังรู้สึกเพ่งอยู่
ดังตฤณ: มันต้องแก้ด้วยการปฏิบัติต่อผู้อื่น
คือ อย่าไปพยายามที่จะให้มันหายไปทันที จำไว้อันนี้สำคัญมากเลย คือเวลาสังเกตแค่เห็นเฉยๆ
ว่าเกิดอะไรขึ้นในหัวของเราเวลาที่พูดกับคนนี้ แล้วมันจะคลายแบบนี้ แล้วไม่ใช่ว่าวันสองวันแล้วมันจะคลายหมด
มันอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน คือดูไปทุกวันเป็นเวลาหลายๆ เดือน มันจะคล้ายๆ
แบบนี้ โล่ง พอดูลมหายใจอีกทีด้วยความรู้สึกที่โล่งแบบนี้ มันจะไม่มีอาการแบบเก่าๆ
แล้ว มันจะเริ่มเข้าสู่วิถีของสมาธิอีกแบบหนึ่ง คือเริ่มต้นรู้ขึ้นมาด้วยความสบาย
เริ่มต้นรู้ขึ้นมาด้วยอาการไม่บังคับตัวเอง
ตอนนี้มันยังมีอาการบังคับตัวเองเจืออยู่ แต่เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมา
มันฝึกสมาธิบ้าง อ่านบ้าง ฟังบ้าง มันหลายอย่างประกอบกันแหละ จิตมันค่อยๆ คลาย
ค่อยๆ วางไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น