ถาม : คราวที่แล้วที่อาจารย์แนะนำว่า ให้คาดหวังว่าเราจะเห็นสิ่งเหล่านี้
๑๐๐ ครั้ง แต่ว่าไม่คาดหวังว่าจะเห็นมันเปลี่ยนแปลงไป
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๕ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ:
๕ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ:
เห็นมั้ยตอนนี้มันคนละเรื่องเลย จิตมันต่างเลย
ผู้ถาม : คือทำไปประมาณ ๗-๘ วัน รู้สึกว่ามันต่อเนื่องยาวนาน
ไม่ว่าจะเป็นสภาวะที่เราชอบไม่ชอบ เราก็รู้สึกว่ามันอยู่ได้ จนเริ่มชะล่าใจว่า ดีจังเลยชอบสภาวะที่ไม่ว่าอะไรจะมา
เราก็รับได้ หลังจากนั้นเมื่อ ๒-๓ วันที่ผ่านมา เหมือนกับโดนชกอัดๆแน่นๆ
น๊อคยาวไปเลย เหมือนไม่มีพลังที่จะดูอะไร ยอมปล่อย อยากร้องไห้ก็ร้อง
ไม่อยากพูดกับใครเลย
ดังตฤณ:
ก็นั่นไง มันเปิดออก
ใจเริ่มเปิด
ผู้ถาม : นี่คืออาการของใจเริ่มเปิดใช่มั้ยคะ
ดังตฤณ:
อย่างตอนเนี่ย
ถามว่า ณ เวลานี้ วินาทีนี้เลยนะ ถามว่า ใจเนี่ยอึดอัดหรือสบาย
ผู้ถาม : สบายค่ะ สบายมาก
ดังตฤณ:
เห็นไหม มันสบายมาก
อย่างเมื่อกี้ตอนนั่งสมาธิเราก็รู้สึกเหมือนกับใจเปิด ใจกว้างสว่าง ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย
ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะนั่งสมาธิให้ดี ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะเอาอะไร แต่ก่อนเนี่ยมันเอาโน้นเอานี่นะ
แต่ตอนนี้มันคาดหวังแค่ว่าเราจะเห็นความจริงที่กำลังปรากฎอยู่
จำไว้ว่าอาการหลุด อาการที่เจอหมากปราบเซียน เจอหมัดชกแบบตูมเดียวเข้าเชิงคางลงไปนอนหงายยาว
ร้องห่มร้องไห้อะไรก็แล้วแต่ จำไว้ว่านั่นไม่ใช่จุดบอกว่าเรายังห่วยอยู่
หรือว่าปฏิบัติมาไม่เอาไหน แต่บางครั้งเนี่ยมันเป็นการที่ว่าเปิดจิตเปิดใจของเรา
พูดอย่างนี้ดีกว่า คนเรายังไม่หมดกิเลสเนี่ย จะปฏิบัติธรรมมาแค่ไหนก็ตาม
เจริญสติมาได้ผลเพียงใดก็ตาม มันก็ยังเป็นคนธรรมดาอยู่
เจอเรื่องกระทบที่มันมีความเศร้าหมอง ที่ชวนให้เศร้าหมองแล้ว มันสามารถที่จะสลดหดหู่
เศร้าใจ เกิดโทสะ เกิดอาการร้องไห้ได้ตามปกติ แต่บางทีมันอาจจะชัดเจนเป็นพิเศษ
ถาม : ทุกวันเลยหรือคะ
ดังตฤณ:
ในตอนที่เราเริ่มยอมรับสภาพ
ไม่ได้เก็บไว้ ไม่ได้อัดไว้
ถาม : เราปล่อยไว้ คือเราอยากเป็นอะไรก็เป็น
อยากร้องก็ร้องเต็มที่เลย
ดังตฤณ:
นั่นแหละ
ถาม : แล้วมันก็ไม่หาย หรือเราตามเห็นมันไม่ทันเลยไม่ทราบ
แต่ว่ามันนานค่ะ มันนานแบบทั้งวัน ๒-๓ วันเลยค่ะ
ดังตฤณ:
เวลาที่จิตตกเป็นวันนะ ให้ใช้วิธีที่มันจะอยู่กับความจริงได้
ก็คือว่า เปรียบเทียบนะ ลมหายใจนี้เศร้ามาก ลมหายใจนี้ลดความเศร้าลงมาหรือยัง
คือบางทีเนี่ยระดับมันแค่นิดเดียว ถ้ามันไม่เห็นชัดเนี่ย
เราดูไปเรื่อยๆเป็นนาทีก็ได้ หรือไม่ก็นอนๆอยู่เฉยๆอย่างเนี่ย ในท่านอนนั่นแหละ
มันจะมีอารมณ์ที่ว่าบีบคั้นมาก บีบหัวจิตหัวใจ ราวกับว่าใครมาเค้นอยู่ ในบางครั้งมันก็เศร้าแบบซึมๆ
เนี่ย..ค่อยๆเห็นความต่างอย่างงี้ ค่อยๆเก็บรายละเอียด
ถาม : ความเปลี่ยนแปลงมันลดระดับแล้วเพิ่มขึ้น ไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงว่ามันดี
ดังตฤณ:
ว่ามันจะดีขึ้น อย่าคาดหวัง
เพราะว่าตอนที่เศร้าแบบในอาการซมเป็นวันเนี่ย
ส่วนใหญ่แรงปะทะมันจะหนักแน่นและก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องมีอาการซมอย่างนั้น
แต่เราสามารถที่จะเห็นได้ว่า ในแต่ละลมหายใจ หรือว่าในแต่ละนาที คือลมหายใจนึงอาจจะน้อยเกินไป
สั้นเกินไป บางทีอาจะเป็นนาทีก็ได้ บางทีอาจจะเป็นชั่วโมงก็ได้ บางนาทีเนี่ยมันเค้นอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อยเลย
แต่นาทีต่อมามันเริ่มปล่อยเริ่มคลาย คือช่วงที่เราเห็นแรกๆเนี่ยอาจจะไม่ได้รู้สึกว่า
มันเป็นความเปลี่ยนแปลงจริงๆ นะ แต่พอเราเฝ้าสังเกตอยู่อย่างนั้น
แล้วเห็นหลายๆรอบเข้า ความรู้สึกว่าเราไม่ได้เห็นอยู่จริงๆ มันจะหายไป มันกลายเป็นว่าเนี่ยมันปรากฏแสดงอยู่ชัดๆ
แล้วเรายอมรับมันไปเป็นครั้งๆว่ามันเศร้ามากเศร้าน้อย มันมีอาการเค้นมาก มีอาการเค้นน้อย
แต่ตอนนี้ที่จิตมันสบายมาก
จิตมันเปิดมากเนี่ยนะ มันเป็นคนละตัวกันกับวันก่อน ที่ยังมีอะไรเก็บอะไรอยู่เยอะ ยังปิดอยู่เยอะ
และก็ไม่อยากยอมรับอะไรอยู่เยอะ ตัวเนี่ยที่เราสามารถเห็น แต่ไม่ใช่ไปล๊อคไว้ว่า จิตแบบนี้มันเป็นมาตรฐาน
ที่เราจะต้องรักษาไว้เรื่อยๆ หรือทำให้เกิดขั้นเรื่อยๆ ถ้ามันตกอีกเราก็รู้ ยอมรับว่ามันตกอีก
เปลี่ยนไปจากภาวะแบบนี้นะ แต่ถ้ามันกลับมาเป็นแบบนี้หรือยิ่งกว่านี้อีก เราก็ไม่ต้องไปดีใจ
แต่ให้มองเสมอว่านี่คือจิตแบบหนึ่ง
พอมองๆๆไปเรื่อยๆเนี่ย มันจะเห็นจริงๆว่า คำว่าจิตเนี่ย
เดี๋ยวกว้าง เดี๋ยวแคบ เดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวมืด เดี๋ยวมันเกิดความรู้สึกอึดอัด เดี๋ยวมันเกิดความรู้สึกปล่อยโล่ง
ทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย เราจะไม่ไปให้ข้อสรุปกับมัน ว่าเราปฏิบัติดี
หรือไม่ดีมาแค่ไหน แต่เราจะให้ข้อสรุปกับมัน ว่าตัวเนี่ยจิตแบบหนึ่งเราเปลี่ยนให้ดู
ตัวเนี่ยจริงๆแล้วแจ๋วเลยนะ คือเรื่องที่มันมาชกเราให้คว่ำลงเนี่ย ถือว่าขอบคุณมันก็แล้วกัน
ถาม : ใจน่ะค่ะมันบอกว่านานมาก ทำไมมันไม่เปลี่ยนแปลงเลย
ก็เลยตกใจ
ดังตฤณ:
ที่มันไม่เปลี่ยนเพราะเรายังคาดหวังอยู่ ว่าเปลี่ยนหมายถึงหาย
ถาม : เพราะเราเห็นมันเปลี่ยนแปลงแบบใน ๗- ๘ วันที่ผ่านมา
พออันนี้มันยาวนานมากก็เลย..
ดังตฤณ:
คือเรากะว่าเรามาได้ถึงขนาดนี้เนี่ย พอเจอชก
มันต้องไม่รู้สึกอะไรเลยหรือรู้สึกน้อย เห็นไหมมันมีความคาดหวังผิดๆแฝงอยู่เสมอในทุกระดับของการปฏิบัติ
ต่อเมื่อเรามาทำความเฃ้าใจกับเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านไปสดๆร้อนๆ ว่าตู้มเดียวเนี่ย
๑-๒ วันซมอยู่อย่างนั้น ราวกับคนเป็นไข้หนัก มันจะได้เข้าใจว่าเรายังสามารถลงไปนอนกองได้
ยังมีหมัดน๊อคให้ลงไปนอนกองได้
แต่ประเด็นก็คือว่า ตอนที่นอนกอง เราเห็นมั้ยว่ามันมีรายละเอียดของการนอนกองอย่างไรที่แตกต่างไป
จากเดิมเนี่ยนอนกองแล้วไม่มีอะไรให้ดูเลยนอกจากความรู้สึกเศร้าเหลือเกิน มันมีความรู้สึกมืดเหลือเกิน
ตอนเนี่ยนอนกองก็จริง เป็นวันก็จริง แต่บางทีลองทบทวนดูดีๆนะ บางช่วงมันมีความรู้สึกเหมือนกับใจก็มีความสุขขึ้นมาเป็นวูบๆที่เห็นว่า
เนี่ยเราเป็นทุกข์อยู่ แล้วเห็นความทุกข์มันกำลังแสดงให้ดู คือมันเป็นวูบๆของความสุขที่แบบไม่รู้เหนือรู้ใต้
แถมเราไม่เชื่อด้วยว่าเรามีความสุขจริง อ้าวแต่ที่เห็นน่ะแสดงว่ามันเกิดขึ้นจริงๆนะ
แต่เราไม่รู้จริงๆเหมือนกัน
ถาม : เพราะเราน๊อคไปยาวเลย แต่จริงๆแล้วมันจะมีสภาวะแทรกขึ้นมา แต่เรารู้สึกว่ามันไม่เห็นหรอกนะ
มันมืด
ดังตฤณ:
เนี่ยนึกว่าเป็นอุปทานนะ แต่ตรงนั้นมันแค่ไม่เป็นตามความคาดหวังของเราเท่านั้นเอง
พอมันไม่เป็นตามความคาดหวังปุ๊บ ราวกับว่าจะเกิดหรือไม่เกิดเนี่ยมีค่าเท่ากัน แต่ถ้าเราถอดเอาความคาดหวังออกไปได้อย่างบริสุทธิ์
๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มันเหลือแต่สภาวะจริงๆ ที่กำลังปรากฏอยู่ในแต่ละขณะ ไม่มีอะไรเคลือบแฝงเลยนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น