วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ทำดี แต่ถูกแทงข้างหลังตอบแทน

ถาม : ทำดี แต่กลับถูกแทงข้างหลัง
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/8UMrupN7yn8
เสวนาดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๘
| คำถามที่ ๒.
๑๒ ก.ย. ๒๕๕๖


ดังตฤณ: 
โอเค เข้าใจละ คือ การที่เรามีชีวิตอยู่แบบที่กำลังเป็นอยู่เนี่ยนะ จะอยู่มากี่สิบปีก็แล้วแต่ มันจะอยู่ด้วยความรู้สึกของมุมมองที่หนึ่ง มุมมองที่หนึ่งหมายความว่าอะไร หมายความว่า มันไม่เคยมีชีวิตแบบนี้มาก่อน มันไม่มีข้อเปรียบเทียบ มันไม่มีตัวอย่างแสดงความจริงเกี่ยวกับชีวิตไว้ ทีนี้พระพุทธศาสนาเนี่ยสอนเราว่า เวลาลงมาในโลกนี้นะ ลงมาเพื่อดูความจริงเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น

อย่างในกรณีของน้อง เราช่วยคน แต่คนพอสบายแล้ว ไม่ช่วยเราแล้ว ยังจะทำอะไรที่มันแสลงความรู้สึกของเราอีกด้วย นี่คือความจริงที่เรามาค้นพบ ว่าโลกเค้าเป็นกันแบบนี้ มันไม่ใช่เราโดนอยู่คนเดียว ทุกคนโดนหมด เคยมีประสบการณ์แบบนี้กันมาหมด และบางทีถ้าเราไม่ค่อยยอมรับว่า เนี่ย โลกเค้าเป็นกันอย่างนี้ ช่วยคนไปร้อยคนหรือพันคน จะมีสักคนนึงที่เกิดความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ หรือว่าอยากจะกลับมาตอบแทนบุญคุณเรา

ไม่ใช่เฉพาะเราที่เจอ แม้แต่ พระพุทธเจ้าเองท่านก็เจอมาแบบนี้เหมือนกัน หลายยุคหลายสมัยก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเนี่ย ท่านก็โดนมาอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นพระศาสดาที่ก่อตั้งพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังอุตส่าห์มีคนที่เนรคุณท่านได้ ทรยศต่อท่านได้ หรือว่าใส่ร้ายท่านได้ นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในโลก อันนี้ไม่ใช่มุมมองของบุรุษที่หนึ่งและ ไม่ใช่มุมมองส่วนตัว แต่มันเป็นมุมมองเปรียบเทียบว่า โลกทั้งใบเป็นอย่างนี้อยู่

พอเราเริ่มเห็นความจริง ด้วยใจที่มันรู้สึกว่า เออ ใครๆก็เจอกัน เหมือนมาอยู่ในโลกของความจริง โดยไม่มีความคาดหวังเป็นตัวตั้ง เราก็จะเริ่มรู้สึก นึกขึ้นได้ทีละนิด เราเคยทำกับคนอื่นไว้บ้างหรือเปล่า

และบางทีนะอะไรที่เรานึกไม่ถึง ก็อย่างเช่น ถ้าถามตัวเองเคยทำกับพ่อแม่ไว้บ้างหรือเปล่า บางทีเราอาจจะดีกับพ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนเด็กๆอย่างเนี้ย บางทีมันลืมไปแล้วนะ คือพ่อแม่เนี่ยเลี้ยงดูแบบสุดชีวิตเหมือนกะเป็นแก้วตาดวงใจ เอาอะไรทูนให้ทุกอย่าง แต่พอขัดใจขึ้นมา มันก็แสดงอารมณ์ดิบแบบมนุษย์น่ะ ต้องกูก่อน นะ อาการกูก่อนเนี่ย มันเป็นสัญชาตญาณดิบของสิ่งมีชีวิต เกิดขึ้นมาเนี่ย พอรู้สึกว่ามีตัวมีตนเนี่ย ก็มีขอกูก่อนแล้ว

ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าเราจะระลึกไม่ได้ บางทีเรามองไปโดยธรรมชาติของมนุษย์ มันเป็นกันอย่างเนี้ย โดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตเราคงเคยไปทำใครเค้ามา ด้วยธรรมชาติของมนุษย์แบบนี้ ด้วยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตแบบนี้ นั้นเมื่อเห็นนะว่าจริงๆ แล้วทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย ที่กำลังแสดงที่กำลังปรากฎอยู่ มันเป็นความจริง ที่ถ้าเรามองเห็น เราจะลดความรู้สึกทุกข์ร้อนลงไปได้มากเลย เกินครึ่ง มันจะไม่ใช่แค่ทำใจได้ แต่มันจะรู้สึกว่า เอ่อ เราก็โดนเหมือนๆกันนั่นแหละ เหมือนๆกับคนอื่น และเราก็อาจจะเคยทำๆมาเหมือนกับคนอื่นนั่นเอง

คือตอนที่เรายังระลึกไม่ได้ ยังโยงไม่ได้ว่าไปทำเหตุอะไรมาถึงโดนแบบนี้ เราจะมีแต่ความคาดหวังว่า ช่วยคนอื่น แปลว่าเราดีกับเค้า เค้าต้องดีตอบสิ เค้าต้องมาตอบแทนอะไรเราบ้าง คืออย่างน้อยถ้าไม่ตอบแทนเนี่ย ขอให้ดีเถอะ แต่นี่อะไรมันงงนะ ว่าดีแล้วเอ่อกลับมาร้ายใส่เราอย่างนี้ ตอนแรกๆมันงงกันทุกคน แต่เราค่อยๆศึกษา พอค่อยๆใช้ชีวิตมาเรื่อยๆนะ แล้วก็มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัว มองดูจากประสบการณ์ตรงของเราเองด้วย แล้วก็จากรอบๆตัวด้วยเนี่ย มันจะรู้สึกว่าที่เรามาพบเนี่ยความจริงทั้งนั้นเลย ไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวัง ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้ นี้มันก็จะเข้าสู่การประจักษ์เรื่องของกรรมและผลของกรรม

เมื่อใจของเรานะมีอุเบกขา ที่จะเห็นจากประสบการณ์ชีวิต คือไม่ใช่ คิด คิด เอาตามคนอื่นนะ แต่เกิดความรู้สึกว่า เออเนี่ยว่าทำจะแค่ไหนก็ตามเนี่ยนะ แล้วคนเค้าได้ดีขึ้น แต่มันไม่ใช่แปลว่า เค้าจะมาดีกับเรา เสมอไป บางครั้งมันมาร้ายใส่ หรือตรงกันข้าม บางคนเนี่ย เราไปร้ายกับเค้า แต่เค้ากลับมาเหมือนกับ เอ๊ะ มีเมตตาเรา มีความรู้สึกที่ดีให้ มีคำพูดดีๆให้ ตอนแรกเราก็จะไม่เข้าใจเหตุผล โดยเฉพาะอย่างพ่อแม่ หรือว่าญาติสนิทอะไรอย่างเนี้ยนะ ที่เรามีความรู้สึกเกิดมาเนี่ยเราต้องขอก่อนล่ะ ไอ้อาการขอก่อนล่ะ เนี่ย มันเป็นสัญชาตญาณที่บางทีทำให้เราไปร้ายใส่คนบางคนโดยที่ไม่รู้ตัว คือไม่ได้ตั้งใจ เนี่ยมันจะเห็นเป็นวงจรของกรรม วงจรของการใส่อะไรเข้าไปแล้วได้รับผลตอบแทนกลับมา อันนี้ไม่ใช่เรื่องของการทำใจ แต่เป็นเรื่องของการประจักษ์  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น