วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๗๑ / วันที่ ๒ ก.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันจันทร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกวันจันทร์ พุธ แล้วก็ศุกร์นะครับ ปกติก็เป็นสามทุ่ม วันนี้ก็ขอพิเศษนิดหนึ่ง เป็นห้าโมงเย็นนะครับ http://www.facebook.com/HowfarBooks ไถ่ถามเข้ามาในรายการทางนั้นนะครับ



๑) การทวงหนี้ค่าเช่าบ้าน ซึ่งผู้เช่าจ่ายไม่ตรงเวลานี่ ถือว่าเป็นบาปไหม? และควรวางจิต วางใจอย่างไรดี?

อันนี้พูดตรงๆเลยนะ ถ้าหากว่าในเรื่องของความสบายใจนี่นะ มันเกี่ยวกับสาขาอาชีพที่เราทำด้วย ถ้าหากว่าไม่ต้องการที่จะเบียดเบียนใคร แม้ด้วย แม้ว่าจะเป็นการเบียดเบียนตามกติกา ที่ถูกกำหนดไว้ ที่ถูกวางไว้อย่างถูกต้องนี่ ถ้าไม่สบายใจแล้วอย่าทำ เพราะอาชีพที่ก่อให้เกิดการเบียดเบียนกันด้วยการผิดสัญญา อย่างเช่นเรื่องของการให้กู้ยืม

แล้วก็ อ้อ! เดี๋ยว อันนี้ ขอโทษที อันนี้เป็นเรื่องของค่าเช่าบ้าน ซึ่งไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องของการกู้ยืมนะครับ เออ! เรื่องของการเช่าบ้าน ถ้าหากว่าเราไปทวง อันนั้นเป็นไปตามกฎกติกา มันไม่บาปแน่ๆแหละ เพราะว่าถ้าหากเราถือตรงนี้เป็นบาปแล้วนี่ ก็อาชีพอื่นๆ ที่มีอยู่ทั้งโลก มันก็คงบาปเหมือนกันน่ะนะครับ อย่างการค้าขาย อย่างการทำธุรกิจนี่ เราก็รู้ๆกันอยู่ ว่าจะต้องมีการให้เครดิต และก็จะต้องจ่ายตามกำหนดเวลาที่ได้มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ถ้าหากว่าเราไปคิดว่าการทวงหนี้เป็นบาป มันก็เท่ากับไม่ต้องทำธุรกิจอะไรกัน คือใครเขาจะโกงอย่างไร ใครเขาจะเบี้ยวแค่ไหน เราก็ปล่อยไปหมด ก็หมดตัวพอดี คือปล่อยหมด ก็คือหมดตัวนั่นเองนะครับ

มันไม่ใช่เรื่องของบาปของกรรม แต่เป็นเรื่องของเวรภัย ที่ต้องทำความเข้าใจ ว่าการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี่นะ ไม่มีทางที่เราจะไม่ได้เบียดเบียนกัน มันต้องเบียดเบียนกันในทางใดทางหนึ่ง จะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม อย่างในกรณีนี้ ความตั้งใจของเราคือ การหารายได้จากการปล่อยบ้านให้เขาเช่า ซึ่งถ้าว่ากันตามกติกาแล้ว เขาต้องจ่าย ไม่งั้นเราก็เท่ากับประกาศไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ว่าให้อยู่ฟรี สร้างบ้านให้คนอยู่ฟรี แบบนั้นชัดเจนไปเลย อันนี้เราตั้งกติกาไว้ว่า ที่ให้บ้านอยู่เพราะเราต้องการค่าเช่า ถ้าหากว่าเขาไม่จ่ายค่าเช่า มันก็คือการที่เขานี่เป็นฝ่ายผิดกติกาก่อน เขาทำผิดก่อน

คือถ้าจะมองเป็นเรื่องการทำผิด ทำถูก มันต้องมีกติกาใช่ไหม และกติกาก็คือว่า ตกลงกันแล้วว่า เราให้บ้านเขา เขาจะจ่ายเงินค่าบ้านให้เรา เมื่อเขาไม่จ่าย เขาเป็นฝ่ายผิด เราเป็นฝ่ายถูกที่จะทวง นี่ต้องคิดอย่างนี้นะ เมื่อคิดอย่างนี้ว่าเราเป็นฝ่ายถูกแล้วนี่ ใจมันจะมีความสงบ ไม่กระสับกระส่าย ไม่ไปกังวลว่า เออ! นี่ไปทวงเขา ไปจี้เขา ไปทำให้เขาเกิดความกระสับกระส่าย ไม่สบายใจนี่ มันเป็นบาปเป็นกรรม คือแต่มันเป็นเวรนะ พูดกันตรงไปตรงมา อย่างไรเขาก็จะต้องมีความรู้สึกแย่ มีความรู้สึกว่า ร้อนใจ มีความรู้สึกว่าประสบความยากลำบาก เพราะเหตุคือไม่มีเงินจ่ายเรา แต่นั่นเป็นเรื่องที่เขาต้องรับผิดชอบชีวิตเขาด้วย ถ้าหากว่าเรามีความเห็นใจ เราอยากจะทำใจจริงๆนี่ต้องคุยกับเขา คุยกับเขาด้วยเมตตาว่าเพราะอะไร ติดขัดอย่างไร ถึงไม่มีค่าเช่าบ้านให้เรา ถ้าหากว่าเขาอธิบายได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล มีความสุภาพ มีความเป็นผู้ใหญ่ ที่ท่าทางรับผิดชอบ แล้วก็บอกว่าเดือนนี้นี่ไม่ได้จริงๆเพราะเหตุติดขัดคือ หนึ่ง สอง สาม นะ เจ้านายไม่ให้ตังค์ ทั้งบริษัทนี่กำลังจะโดนเลย์ออฟ แล้วก็บอกว่า นี่กำลังหาทางขยับขยาย เดี๋ยวจะเอามาจ่ายให้แน่ แล้วขีดเส้นไปเลยว่า จะเอามาจ่ายให้เมื่อไหร่

ถ้าหากว่าคุยกันตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะเรียบร้อยนะครับ แล้วถึงเวลาเขาไม่จ่ายอีก ก็มีทางเลือกสองทาง หนึ่ง คือให้เขาอยู่ต่อ ใจดีมาก สอง คือเชิญเขาออก ด้วยความจำเป็น เพราะไม่อย่างนั้นเราก็จะขาดรายได้จากตรงนี้ไป เท่ากับการลงทุนของเรานี่เป็นการลงทุนที่สูญเปล่า นี่ถือว่าเราผ่อนผัน เรามีจิตใจที่เป็นเมตตาแล้ว ช่วยได้แค่นั้นนะครับ แล้วก็บอกเขาว่า เราก็ต้องอยู่ต้องกินเหมือนกัน แต่ถ้าหากว่าเราเห็นจริงๆพิจารณาเห็นว่า เขาไม่ใช่คนที่เหลวไหล หรือว่าคิดจะมาฉ้อโกงใครเขานะ มันมีความเดือดร้อนอยู่จริงๆและเราเห็นใจ และที่สำคัญที่สุดคือเราไม่ได้เดือดร้อน อย่างนี้เราก็ผ่อนผันต่อไปอีกได้ การผ่อนสั้นผ่อนยาวนี่ มันบอกอยู่ในตัวเองว่าเรามีเมตตาแค่ไหน แต่ถ้าหากว่าเมตตาแล้วเราต้องชักเนื้อ ต้องเข้าเนื้อตัวเอง ทางครอบครัวประสบความยากลำบาก หรือมีผู้เช่ารายอื่นเห็นเป็นเยี่ยงอย่างแล้วก็เอาบ้าง แบบนั้นมันก็ไม่สมควร

คือความเมตตานี่ พูดง่ายๆนะ จะทำให้เรามีเหตุมีผล ผ่อนสั้นผ่อนยาวเป็น ไม่ใช่ตะบี้ตะบันเอาตามกฎกติกาอย่างเดียว แล้วเมตตาตัวนี้นี่ ความสามารถที่จะผ่อนสั้นผ่อนยาวมีเหตุมีผลนี่นะ จะทำให้เรารู้สึกเลยว่า จะทวงเขาก็ดี หรือว่าจะปล่อยให้เขาอยู่ต่อโดยไม่ไปทำอะไรก็ตามนี่นะ ใจเรายังเป็นกุศลอยู่ได้ เพราะมันมีการผ่อนสั้นผ่อนยาวไปแล้ว แต่เราอาจจะมีความรู้สึกเหมือนกับเดือดเนื้อร้อนใจอยู่นะ ทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ว่าจะขึ้นหรือว่าจะล่อง ไม่ว่าจะลงหรือว่าจะขึ้น มันมีความเดือดเนื้อร้อนใจที่เป็นความพะวง เป็นความไม่สบายใจอยู่วันยันค่ำ

อันนั้นก็ขอให้พิจารณาไปก็แล้วกันว่า ความพะวง ความห่วง ความกังวล ความมีใจไม่สงบ เปรียบเหมือนธุลีที่เข้ามาเกาะจิตใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ฆราวาสเป็นทางมาแห่งธุลีก็เพราะอย่างนี้แหละ ไม่ว่าทำอาชีพอะไร ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ถ้าหากว่าเราต้องครอบครองทรัพย์สิน เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนในโลกแล้วนี่ มันต้องมีอะไรให้เดือดเนื้อร้อนใจสักอย่างหนึ่งแหละ มันต้องมีอะไรให้เกิดความรู้สึกว่า เออ! จะทำดี หรือไม่ทำดี เป็นแบบนี้แหละ ถ้าเป็นลูกจ้างเขา ก็โอยโดนโกงบ้าง โกงค่าจ้าง โกงค่าแรง หรือว่าโดนเอารัดเอาเปรียบบ้าง หรือว่าจ่ายเงินเดือนไม่ตรงเวลา

ตอนนี้มีเสียงบ่นกันมากเลย ไอ้เรื่องจ่ายเงินไม่ตรงเวลา แล้วก็ไม่ทราบจะเอาเงินที่ไหนไปใช้นะ ซึ่งนายจ้างก็มีที่ลำบากจริงๆเหมือนกัน แล้วก็มีนายจ้างประเภทที่ว่าไม่อยากจ่าย เพราะว่าผลประกอบการมันไม่ออกมา ทั้งๆที่ตัวเองมีเงินสดอยู่ในแบงก์เยอะแยะนี่ แต่ไม่เอาออกมาจ่ายนะ ถือว่าเป็นคนละส่วนกัน แบบนี้มันก็เป็นธรรมดาโลก เป็นวิถีโลก สุดแต่ใครจะเลือกปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมทุกข์ที่เป็นฆราวาสด้วยกัน ด้วยอาการของคนมีใจเมตตา หรืออาการของคนที่มีใจพร้อมจะเบียดเบียน

ถ้าหากว่าเราผ่อนสั้นผ่อนยาวแล้วนะ อย่างนี้แหละ เรียกว่าเป็นการทำใจโดยตรงเลย คือไม่ใช่คิดอย่างเดียว ไม่ใช่เอาแต่คิดอย่างเดียวนะ แต่ทำจริงๆเพื่อให้เกิดการปรุงแต่งจิตให้เกิดเมตตา เพื่อให้เกิดความสบายใจว่า เราไม่ใช่คนใจร้าย เราไม่ใช่คนที่ไปรุกรานใครก่อน เราไม่ใช่คนที่คิดจะไปเบียดเบียนใครเขาเลย แต่เราจำเป็นต้องทำตามกฎกติกาของการเป็นฆราวาส ทำใจไว้อย่างนี้



๒) เด็กที่เกิดมาแล้วไม่มีตำหนิ ไฝ หรือปาน หมายความว่าเกิดมาชาติแรกหรือเปล่า?

ไม่เกี่ยวเลยนะครับ เท่าที่ทราบมานะ ไฝ ฝ้า ราคีอะไรทั้งหลายนี่ ไม่ใช่ว่าจะเกิดมาแล้วมีเลยนะ บางคนนี่มาขึ้นทีหลัง เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เครื่องบอกว่า เด็กมีความบริสุทธิ์แค่ไหนนะครับ

สัญญาณบอกว่า เป็นเด็กที่บริสุทธิ์ ไม่เคยเกิดมาก่อนเลย เกิดมาชาตินี้เป็นชาติแรกนะ คือไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีหู ไม่มีตานะครับ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีอะไรเลย อย่างงั้นน่ะ เรียกว่าเกิดมาชาติแรก เพราะอะไร? เพราะว่าตามหลักของพุทธศาสนานะ ชาติแรกไม่มีนะครับ

ชาติแรกนี่ ถ้ามีได้นะ ปฏิจจสมุปบาททั้งหมดนี่ พังครืนเลย อตัมมยตา อิทัปปัจจยตาที่ว่าอะไรที่มันปรากฏมี ปรากฏเป็นอยู่นี่ จะต้องมีเหตุ จะต้องมีปัจจัยนี่ ถือว่าล้มเลิกเลย เป็นโมฆะเลย เพราะอะไร? เพราะว่าตามหลักของปฏิจจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราจะถือว่าเริ่มแรกเราเกิดมาจากไหนนี่ มันมาจากอวิชชา คือไม่รู้ ไม่รู้ว่ากาย ใจนี้ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไปยึดว่ากาย ใจนี้เป็นตัวเป็นตน

แล้วผัสสะที่เกิดจากกาย ใจนี้มันทำให้เราเกิดกิเลสอย่างไรนี่นะ เราก็ปฏิบัติตัวก่อกรรมไปตามกิเลสนั้นที่มันผลักดัน ทำให้คิดชั่วบ้าง คิดดีบ้าง ทำให้พูดดีบ้าง ทำให้พูดชั่วบ้าง ทำให้กระทำทางกายนี่ดีบ้าง หรือว่าร้ายบ้าง แบบนี้พอมันสั่งสมมาจนกระทั่งสิ้นชาติ ใกล้จะสิ้นชาตินี่ก็จะมีการทบทวนว่าน้ำหนักของกรรมอันเป็นฝ่ายบาป หรือว่าฝ่ายบุญนี่มันหนักกว่ากัน ถ้าหากฝ่ายบุญมันหนักกว่านะ จะมีธรรมชาติปรุงแต่งให้เกิดความสว่างขึ้นมา จะมีแสงสว่างจ้าขึ้นมานะ เพื่อที่จะก่อให้เกิดการไปสู่ภพใหม่ การเคลื่อนไปสู่ภพใหม่ที่สอดคล้องกับความสว่าง ความสว่างนี่ก็เป็นเครื่องหมายของมนุษยภูมิ เทวภูมิ แล้วก็พรหมภูมินะ

แต่ถ้าหากว่าน้ำหนักของบาปที่ทำมาทั้งชาติมันเกินบุญนะ ก็จะก่อให้เกิดความมืดขึ้นมาเหมือนหลุมดำ หนีไปไหนไม่ได้ จิตใจต่อให้คิดพยายามระลึกถึงพระอรหันต์ ระลึกถึงบุญเก่าที่ทำมาต่างๆนานา ที่ญาติจะมากระซิบข้างหูตอนใกล้ไป ไม่สำเร็จนี่นะ น้ำหนักบาปมันดึงดูดให้ เคยได้ยินใช่ไหม? แบล็คโฮลนี่มันดึงดูดกระทั่งแสงสว่าง ไม่สามารถที่แสงจะเล็ดลอดออกมาจากแบล็คโฮลได้

อันนี้ก็เหมือนกัน น้ำหนักของบาปถ้าหากสั่งสมไว้มากแล้ว เที่ยงแล้วที่จะต้องไปทุคติภูมิแน่ๆนี่นะ ไม่สามารถที่จะเกิดแสงบุญขึ้นมาได้เลย แสงบุญไม่มีทางแลบขึ้นมา ไม่มีทางแม้กระทั่งเป็นเหมือนกับสายฟ้าแลบสักชั่วขณะเดียว ถ้าหากบาปหนาจริงๆอันนี้ก็จะเห็นต้นเค้าว่า ก่อนที่จะเกิดภพ ก่อนที่จะเกิดชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดมาเป็นมนุษย์นี่นะ ต้องอาศัยบุญ บุญหนักศักดิ์ใหญ่เลย ถึงได้มาเกิดในท้องมนุษย์ได้ ต้องอาศัยแสงสว่างอย่างมากเลย ถึงจะมีสิทธิ์ที่จะมามีร่างกายแบบมนุษย์ แล้วก็มีจิตสำนึกแบบมนุษย์ คิดอ่านแบบมนุษย์ได้ นอกนั้นไปเป็นสัตว์เดรัจฉานสถานเดียว หรือไม่ก็ไปเป็นเปรต หรือไม่ก็ไปเป็นสัตว์นรก เสวยกรรม เสวยบาปที่ก่อมา

นี่มันเป็นอย่างนี้ อยู่ๆไม่มีทาง ทางพุทธศาสนาเราบอกว่าไม่มีทางเลยที่มนุษย์จะเกิดขึ้นมาเองลอยๆแม้แต่จิตวิญญาณในภพใดภพหนึ่งนี่นะ ไม่มีทางอยู่ๆมันผุดขึ้นมา ผลัวะ! เหมือนกับฟองสบู่ผุดขึ้นมาจากอากาศลอยๆนี่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือว่า ที่ไม่มี ไฝ ฝ้า ราคี ไม่เกี่ยวกับความเป็นชาติแรกเลย



๓) ซื้อขาย ผ่าน eBay ไม่เสียภาษี นี่ถือว่าบาปไหม?

ก็ถ้าหากว่า กติกาของบ้านเมืองเขาไม่ได้กำหนดไว้ ก็ไม่เป็นไรนะครับ



๔) ทางพุทธกล่าวถึงเรื่องความฝันไว้อย่างไรบ้าง?

อันนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงความฝันโดยความเป็นเจตสิกปรุงแต่งชนิดหนึ่ง เป็นภาวะการปรุงแต่งนะ แต่มีอาจารย์ชั้นหลังๆมาแบ่งแยก เป็นว่าฝันอันเกิดจากเทพนิมิตบ้าง ฝันอันเกิดจากความกระสับกระส่ายไม่สมดุลของธาตุบ้างนะ พูดง่ายๆว่ากินมากเกินไปบ้าง อะไรต่างๆ

ก็เอาเป็นว่าอย่างนี้นะ ความฝันนี่ ถ้าหากเอาพุทธพจน์แล้วนี่ไม่มีนะ ไม่ได้มีแบบระบุไว้ชัดเจน คือจะมีแค่อธิบายไว้ว่าเข้าสู่ภาวะฝันนี่นะได้อย่างไร แต่ว่าไม่ได้มีมาจำแนกว่า จะฝันเพราะอะไรบ้าง

เพราะว่าปัจจุบันนี่ เอาเฉพาะที่นักวิทยาศาสตร์สามารถค้นพบด้วยการดูวิธีทำงานของสมองผ่านคลื่นอีอีจี (EEG) บ้าง ผ่านเทคนิคอะไรต่อมิอะไรต่างๆที่คิดค้นขึ้นมาได้นี่นะ สารพัดเลยที่จะเป็นต้นเหตุของความฝัน แม้กระทั่งว่าเราจะสั่งตัวเองให้ฝันอย่างไร ก็เป็นไปได้ คือกำหนดไว้ก่อน ตั้งใจไว้ก่อน อันนี้เขาพิสูจน์กันมาแล้ว เป็นเรื่องธรรมดา อย่างถ้าหากว่าจะหาอ่านเรื่องพวกนี้นะ ก็เข้าไปเสิร์ชในกูเกิลคำว่า ลูซิด ดรีมมิ่ง (Lucid Dreaming)

ลูซิด (Lucid) ที่แปลว่าชัดเจนนะ แล้วก็ดรีมมิ่ง (Dreaming) ความฝันนี่ มันจะมีการค้นคว้า การวิจัยเรื่องต้นเหตุของความฝันกันเยอะแยะ แต่ที่สุดแล้วนี่นะ พอเราพูดถึงเรื่องที่มันเป็นสาเหตุ ต้นเหตุ ต้นเค้าจริงๆว่าจะฝันไปทำไมนี่ เขาบอกว่าไม่ใช่การพักผ่อนทางร่างกายนะ นี่คือวิธีพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ว่าเป็นการที่สมองต้องการที่จะพักทำงานอีกแบบหนึ่ง ซึ่งอันนี้ลองไปหาอ่านเอาเอง ไปศึกษาเอาเองนะครับ

ถ้าหากว่าเราจะพูดถึงสาเหตุหรือต้นเหตุที่แท้จริงของความฝันนี่ อยากให้มองว่าเป็นการปรุงแต่งของสภาพจิตที่ไหลมาจากการสั่งสมกรรม อย่างเช่นถ้าหากว่าช่วงหนึ่ง คุณประพฤติตัวดีมากๆทำบุญบ่อยๆ จะสังเกตเลยว่าในฝันนี่ มีความแช่มชื่น นิมิตที่เกิดขึ้นนี่จะเป็นไปในทางสว่าง แต่ถ้าหากว่าช่วงไหนมีความยุ่งยากใจ มีความรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ในขณะตื่น ฝันมันก็จะเหมือนกับเข้าไปในป่ารกบ้าง หลงทางบ้าง หรือว่าไปทะเลาะกับผู้คนบ้าง อันนั้นก็เป็นหลักฐาน เป็นเครื่องส่องแสดงพิสูจน์นะครับว่า การปรุงแต่งของจิตนี่มันเชื่อมโยงกันระหว่างหลับกับตื่น

เดี๋ยวดูคำถามที่เหลือนะ ที่บอกว่า...

“ขณะกำลังเคลิ้มหลับ มักเกิดสภาวะแปลกๆ เหมือนล่องลอยได้ บางวันเหมือนกับตนเองเดินออกจากกายได้ เหมือนเดินออกไปจริงๆ ทั้งๆที่กำลังนอนอยู่บนเตียง เกิดจากอะไรได้บ้าง? เป็นแบบนี้หลายครั้งมาก ปกติจะเจริญสติในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ”

ก็คนที่เจริญสติ รู้กาย รู้ใจตัวเองนี่ ก็มักจะมีประสบการณ์แปลกๆเริ่มต้นจากในขณะฝันนั่นแหละนะ ขอให้มองว่าเมื่อการปรุงแต่งของจิตเป็นไปในทางที่จะดูกาย ดูใจมากๆนี่นะ ในขณะฝันก็จะเกิดการปรุงแต่งเกี่ยวกับกาย เกี่ยวกับใจมากกว่าคนปกตินะ มีแนวโน้มที่จะเห็นสภาพทางกาย หรือสภาพทางจิตอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา

ถ้าหากว่าเราฝันบ่อยๆว่ากายเนื้อกับกายในนี่ มันแยกออกจากกันได้ ก็ลองคิดไว้ล่วงหน้าเลยก็แล้วกัน ว่าถ้ามันเกิดขึ้นแบบนั้นอีก เราจะไม่ปล่อยให้เสียเปล่า เราจะพิจารณา เราจะหันกลับมาพิจารณา ว่ากายเนื้อมันนอนอยู่ แล้วก็มีสภาพความเป็นเช่นนั้น คือแค่คิดนะ จิตมันเป็นไปตามอาการปรุงแต่งทางความคิด ทางความตั้งใจนั่นแหล่ะ ถ้าเราแค่คิดไว้ล่วงหน้า ว่าเราจะหันกลับไปมองร่างกายที่ทอดนอนอยู่ แล้วดูว่าร่างกายมีอะไรบ้างที่เป็นตัวเรา ที่เป็นของเรา เดี๋ยวมันก็จะแสดงให้ดูเอง

คือมองไปด้วยจิต ณ เวลานั้นนี่ มันก็จะเห็นว่า ร่างกายสักแต่เป็นการประชุมอยู่ของธาตุดิน คือเนื้อหนังมังสา แล้วก็มีลมหายใจสูบเข้า สูบออก สูบเข้า สูบออกนี่ เราก็อาจจะรู้สึกถึงไออุ่น เราอาจจะรู้สึกถึงน้ำเลือด น้ำเหลืองที่มันขังอยู่ข้างในเหมือนกับถุงใส่น้ำน่ะ ที่มองจากตาในขณะนั้นนี่ มองด้วยตาซึ่งเป็นตาในในขณะนั้นนี่ จะมีความรู้สึกที่ชัดเจนกว่ามองด้วยตาเนื้อ มองด้วยตาเนื้อนี่ จิตของเราจะห่อหุ้มด้วยความคิด บางทีมันพล่าเลือนไปด้วยความคิด แต่ถ้าหากว่าอยู่ในขณะฝันที่ใจไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้ฟุ้งซ่านอะไรนะ เราจะรู้สึกเลยว่า ไอ้ร่างกายนี่มันสักแต่เป็นอะไรแข็งๆที่วางนอนอยู่ แล้วก็มีธาตุลมสูบเข้า สูบออก สูบเข้า สูบออก แล้วในความแข็งของร่างกายนี่ก็มีความรู้สึกอุ่นๆเราจะรู้สึกได้

ถ้าหากว่า ตั้งเล็งไว้ล่วงหน้า ว่าเราจะมองโดยความเป็นอย่างนั้น มันจะเห็นเลย มีความรู้สึก ถึงแม้ว่าจะยังไม่เห็นในครั้งแรกนะว่ามีน้ำเลือด น้ำหนองอยู่ แต่เราจะรู้สึกว่าข้างในนี่ มันเหมือนกับถุงใส่น้ำ ที่มันพองออกมาได้ ที่มันเต่งตึงอยู่ได้นี่ เพราะมีน้ำดันอยู่ ก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาแบบนั้น แล้วพอรู้สึกแบบนั้นเข้าไปนานๆเข้านี่ จิตจะเกิดการปรุงแต่งขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง เห็นน้ำเลือด น้ำหนองไหลทะลักออกมา คือจิตมันจะปรุงแต่งไปทางไหนก็ตาม เราก็ดูไปแล้วกัน สักแต่เห็นว่าร่างกายที่ทอดนอนอยู่นี่ มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน

ที่ถอดออกมานี่ มันก็คือลักษณะของธาตุรู้ มีลักษณะรู้ สามารถรู้เห็นได้ว่ากายเนื้อเป็นอย่างไร อันนี้ก็เป็นเบื้องต้น หรือถ้าหากว่าเราลอยออกไป คือพอหลุดออกจากร่างกายนี่นะ โดยมากแล้วมันจะลิ่วไปเลย มันจะควบคุมไม่ทัน ก็ลองดู ปล่อยให้ขึ้นฟ้าไปเลยก็ได้นะ ถ้าส่วนใหญ่นี่ จิตวิญญาณถ้าหากว่ามันมีการปรุงแต่งในขณะฝันเป็นถอดออกจากร่างกายนี่นะ มักจะไม่พ้น หนีไม่พ้นการลอยขึ้นฟ้า เราก็ดูว่าอาการลอยขึ้นฟ้านี่เป็นสภาพการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง คือตั้งใจไว้ล่วงหน้านะ พิจารณาไว้ล่วงหน้าเลยว่าอาการของจิต อาการของธาตุรู้ที่มันออกมาจากร่างกายนี่ เป็นสภาพการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ที่มันลอยขึ้นมา มีอาการลอยขึ้นมา แล้วเห็นไปต่างๆนานา เห็นเป็นฟ้ากว้างบ้าง เห็นเป็นมีสายลมผ่านบ้าง เห็นเป็นตึกรามบ้านช่องอยู่ข้างล่างบ้าง เห็นเป็นแผ่นดินกว้างใหญ่บ้าง อะไรก็แล้วแต่ที่มันจะปรากฏในนิมิตฝัน

เราพิจารณาไว้ล่วงหน้าเลยนะว่า เหล่านั้นที่เรียกว่า การปรุงแต่งจิต ของจะจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่นะ มันจริงเหมือนกันคือล้วนแล้วแต่เป็นสภาพการปรุงแต่งของจิต เราจะเกิดความรู้สึกขึ้นมา มีความรู้สึกชัดขึ้นมา ว่าอาการปรุงแต่งของจิตนี่ หน้าตามันเป็นไปได้พิสดารหลากหลายอย่างนี้เอง ไม่ใช่ว่าเราลืมตาอยู่แล้วคิดๆอ่านๆ นี่ถือเป็นการปรุงแต่งของจิต นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง เป็นแค่จิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งของอนัตตา ยังมีจิ๊กซอว์อีกหลายต่อหลายชิ้นที่เอามาประกอบกันแล้วจะเกิดภาพอนัตตาอย่างใหญ่ขึ้นมา เราจะเห็นเลยจากการที่เราฉวยโอกาสทุกสภาพ ทุกสภาวะธรรมที่มันปรากฏให้เรารับรู้ได้ เห็นมันให้หมดว่านี่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งของอนัตตา

เริ่มต้นจากการเห็น ว่ากาย ว่าใจนี้นี่นะมันควบคุมไม่ได้ แต่พิจารณาได้ว่ามันควบคุมไม่ได้ คือมันจะเป็นไปในสภาพไหนก็แล้วแต่ เราไม่สามารถบังคับมัน แต่เราสามารถรู้ได้ว่านี่มันกำลังปรากฏแสดงสภาวะอะไรบางอย่างที่เรากำหนดไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ แต่เรารู้ได้ เริ่มต้นอย่างนี้นะ ในที่สุดความฝันจะเกิดประโยชน์ มันจะมีประโยชน์ขึ้นมา

พอตื่นขึ้นเราจะเกิดความรู้สึกว่า เออ! ไอ้ที่มันกำลังปรากฏอยู่ในขณะที่เราออกจากความฝันแล้ว เราตื่นนอนขึ้นมาแล้วนี่ มันก็ไม่เห็นแตกต่างจากในฝัน มีลมเข้า มีลมออกนะ มีร่างกายที่คุมรูปอยู่ได้ด้วยกระดูก ยกตั้งขึ้นด้วยกระดูกสันหลัง ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ แล้วก็มีลมเข้า ลมออกอยู่ มีไออุ่นอยู่ มีน้ำเลือด น้ำเหลืองอยู่ เหมือนกับถุงใส่น้ำ ถุงใส่อึ ถุงใส่ฉี่ มันจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาวันต่อวัน ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นบ่อยๆนี่มันจะชัดขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง ต่อให้เราลืมตานี่ ก็เหมือนอยู่ในฝัน มีความชัดเจนว่านี่สักแต่เป็นธาตุ นี่สักแต่เป็นสภาวะรู้ เป็นธาตุรู้ ไม่ได้มีตัว ไม่ได้มีตน ไม่ได้มีบุคคล ไม่ได้มีเราเขาชื่อใดชื่อหนึ่ง ไอ้ความรู้สึกตรงนั้นนี่ ที่ถ้าหากว่าเกิดขึ้นได้ นี่แหล่ะตรงนี้แหละที่มันจะสุดยอดเลยของประโยชน์อันเกิดจากการเอาฝันมาใช้นะครับ

เดี๋ยวขอผมดูเวลานิดหนึ่ง เหลืออยู่กี่นาที ผมเข้าใจว่าน่าจะไม่ทันคำถามต่อไปนะ ต้องขออภัยนะครับ

ก็วันนี้ เดี๋ยวต้องไปรักษาสุขภาพนิดหนึ่งนะ มีนัดกับโรงรักษาสุขภาพนิดหนึ่ง ก็จำเป็นต้องมาในช่วงเวลานี้ก่อน ก็ขอฝากไว้อย่างนี้ก็แล้วกัน คือ ถ้าหากเราจะใช้ประโยชน์จากกาย จากใจนี้ให้เต็มที่นี่นะ อย่าไปมองว่ามันมีปรากฏการณ์พิสดารอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง แต่ขอให้มองว่า จะธรรมดาหรือว่าพิสดารแค่ไหน เราจะเอามาเห็นความไม่เที่ยง เราจะเอามาเห็นความปรุงแต่ง สักแต่เป็นการประชุมกันของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ชั่วคราวได้อย่างไร

คือเวลาที่เราเรียนรู้จากการฟัง มันฟังเข้าใจ แล้วก็ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ในชีวิตจริงๆนี่ แต่ละวันมันมีปรากฏการณ์อะไรหลากหลายพิสดารนัก ถ้าหากว่าปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้นบ่อย อย่าปล่อยไป จงใช้ปรากฏการณ์นั้น ถือว่าเป็นอุปกรณ์ฝึกเฉพาะตัว ไม่ว่าจะในภาวะธรรมดาที่อยู่ในชีวิตประจำวัน หรือว่าในขณะหลับฝันก็ตาม อันไหนเกิดบ่อยๆอย่าปล่อยไป ขอให้เอามาใช้ประโยชน์ ถ้าไม่รู้จะสังเกตความเป็นอนิจจังอย่างไร เดี๋ยวมาถามกันได้ในรายการนี้นะครับ

เอาล่ะครับ วันนี้ก็คงต้องขอลาแต่เพียงเท่านี้นะครับ ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านนะครับ

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น