สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันศุกร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อที่จะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่เฟสบุ๊ค http://www.facebook.com/HowfarBooks
๑) การทำทาน รักษาศีล เจริญสติ จะช่วยเสริมให้เรียนรู้เร็ว เข้าใจง่าย ฉลาดทางโลกมากขึ้นไหมคะ? แล้วการตั้งเป้าหมายว่าทำงานวิจัย เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อคนไข้ รวมถึงเวลาได้รับมอบหมายให้ทำงานยาก ก็ตั้งใจว่าเราจะทำไปเพื่อสอน เพื่อให้ทานคนอื่น หรือคนอื่นจะได้ไม่ต้องลำบากในการเรียนรู้เหมือนกับเรา การตั้งใจแบบนี้จะช่วยเสริมให้ฉลาดขึ้นด้วยไหมคะ?
ก่อนอื่นนะ ‘การทำทาน รักษาศีล จะทำให้จิตมีความฉลาด แบบในลักษณะที่เค้าเรียกว่า มีสัญชาตญาณทางใจ รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด รู้ว่าอะไรควรไม่ควร’ แล้วก็การที่เราสามารถรักษาศีลได้ครบทุกข้อ มันก็จะไม่มีความทึบในแบบที่เป็นปัจจุบัน อย่างเช่น ถ้าเราฆ่าสัตว์บ่อยๆเนี่ย มันมีความทึบในแบบคนที่จะรู้สึกหนักๆหัว ถ้าเป็นคนที่โกหกเก่ง โกหกไฟแลบ ก็จะมีความทึบ ความโง่ในแบบที่ว่าไม่สามารถรับรู้อะไรได้ตรงตามจริง คืออาจจะฉลาด ฉลาดคิดโน่น คิดนี่ แล้วก็หลอกคนอื่นเก่ง หรือพูดง่ายๆว่าหัวไวในเรื่องแบบโลกๆ แต่จะไม่สามารถฉลาดในการยอมรับอะไรตรงตามจริง หรือว่าเรียนรู้อะไรที่มันเกี่ยวข้องกับความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเรื่องของศาสนา ทางเรื่องของการทำตัวให้มันไม่ขวางโลกอะไรแบบนั้นน่ะนะ เท่าที่เห็นมา คนที่โกหกเก่งๆ หรือว่าชอบบิดเบือน ชอบเอาหน้า ชอบพูดเพื่อจะให้คนอื่นเค้าเข้าใจตัวเองผิดไปในทางที่ดีขึ้น ดีเกินตัว ดีเกินจริง หรือว่าจะทำให้ตัวเองดูดีกว่าคนอื่น อะไรแบบเนี้ย มันจะไม่สามารถยอมรับเรื่องของตัวเอง เรื่องเกี่ยวกับความเป็นจริงได้ง่ายๆ นี่ก็แปลว่าความฉลาดที่จะยอมรับอะไรตรงไปตรงมาได้เนี่ย มันลดลง จากการที่โกหกเก่ง อันนี้เป็นตัวอย่าง
จริงๆแล้วการที่เราทำทาน รักษาศีล แล้วก็เจริญสติได้เนี่ย มันจะทำให้จิตใจปลอดโปร่ง มีความสามารถในการยอมรับอะไรตรงตามจริงได้ นั่นถือว่าเป็นความฉลาดมากแล้วนะครับ นอกจากความฉลาดในเรื่องของการเรียนรู้อะไรตามจริง เรายังต้องพูดถึง ‘ความปลอดโปร่งทางใจ’ ที่เวลาจะเรียน เวลาจะรู้อะไร ขอให้สังเกตนะครับ ถ้าหากว่าไม่มีความปลอดโปร่งทางจิตใจซะอย่างเดียวเนี่ย มันจะยาก มันจะมีความรู้สึกเหมือนกับต้องฝ่าด่าน ต้องผ่านกำแพงอะไรหนาๆซักชั้นนึงหรือหลายๆชั้นเข้าไปกว่าที่จะรับรู้อะไรได้ง่ายๆ มันเป็นอะไรที่คนที่ทุศีลเนี่ยจะทราบได้ด้วยตัวเองว่า เหมือนกับมีกำแพงอยู่ชั้นนึงในการที่เราจะไปพยายามเรียนรู้อะไรที่เข้าใจยากๆในเรื่องโลกๆ ถ้าหากว่าทำทาน รักษาศีล กำแพงตรงนี้มันก็จะไม่มี มันก็จะไม่ขวาง
ทีนี้เรื่องที่ว่า จะฉลาดทางโลกแค่ไหน ก็ต้องดูว่าเรามีแก่ใจ เรามีใจรักในงานประเภทไหน แล้วงานนั้นทำให้เราฉลาดในการคิดเพียงใดด้วย อย่างบางคนชอบงานบางประเภทที่ไม่ต้องใช้ความคิด ใช้อะไรแบบที่มันออโตเมติก คือทำเป็นอัตโนมัติ แบบนั้นความฉลาดก็จะหยุด แต่ถ้างานประเภทที่ทำให้เราต้องคิด ทำให้เราต้องวิจัย ทำให้เราต้องค้นคว้า ทำให้เราต้องมีความสงสัย แล้วก็เปรียบเทียบของเก่าของใหม่ พยายามพัฒนาอะไรให้ดีขึ้น แบบนี้การเจริญเติบโตของสมอง แล้วก็ความเจริญก้าวหน้าทางจิตใจมันก็อาจจะเพิ่มขึ้นได้ ทีละวัน ทีละวัน อย่างเช่นที่บอกว่า เราทำงานวิจัยเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนไข้นี่ อันนี้ยิ่งเรียกว่างานที่เราทำใช้สมองไม่พอนะครับ มันเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติอีกด้วย
ถ้าหากว่าเราทำงานในแบบที่คิดค้น เพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์กับคนจำนวนมากๆ ด้วยความตั้งใจด้วยนะว่า เออ เราอยากจะทำไปเพื่อให้เป็นงานสอน หรือว่าเพื่อเป็นการให้ทาน หรือว่าคนอื่นจะได้รับผลประโยชน์จากงานวิจัยของเรา แบบนี้คือ เป็นเรื่องของการเพิ่มไอคิวโดยตรงเลย เพียงแต่ว่ามันจะเห็นผลเป็น ๒ ระยะนะครับ คือ ระยะแรก คือ ระยะที่ทันตาทันใจ หมายถึงว่าเห็นกันในชาตินี้เนี่ย สมองเราจะค่อยๆเขยิบสูงขึ้น ในแบบที่ว่าสั่งสมประสบการณ์ สั่งสมความรู้ สั่งสมบุญในการทำประโยชน์ให้คนอื่น แล้วจิตใจของเรานี่ จะเหมือนกับมีปฏิภาณ หรือว่ามีไหวพริบ หรือว่ามีความฉลาดในทางค้นคว้า ในทางหาทางผ่านอุปสรรค หาทางที่จะทำให้สำเร็จตามความตั้งใจ ตัวบุญเนี่ยมันจะเป็นกำลังหนุนให้เรามีกำลังใจ เรามีความสุขที่จะทำให้สำเร็จ ตัวนี้เนี่ยมันอาจจะใช้เวลาเขยิบ สมมุติว่าเดิมไอคิวเราอาจจะซัก ๑๒๐ แต่สิบปีผ่านไปมันอาจจะพุ่งขึ้นไปเป็น ๑๕๐ อะไรแบบนี้ ก็หมายถึงว่าความฉลาดในงานนี่ มันจะผูกให้สติของเราดีขึ้น ปฏิภาณของเราแหลมคมขึ้น พอทำแบบทดสอบไอคิว ๑๐ ปีให้หลังเนี่ย มันจะเห็นผลเลยว่า เออ มันต่างไป อะไรแบบนี้ ที่จะเห็นกัน
แต่ถ้าหากพูดถึงบุญในลักษณะที่ตกแต่งให้เกิดปัญญาความเฉลียวฉลาดจริงๆ ที่จะไปให้ผลในอนาคตเนี่ยนะ มันจะสะสมเป็นในรูปของ ‘กองบุญ’ คือเราทำวิจัยไปทั้งชาติตลอดชีวิต หรือว่าไม่ต้องทั้งปีทั้งชาติน่ะนะ แต่ทำไปเรื่อยๆ ทำไปด้วยความมีแก่ใจ ว่าเราผูกอยู่กับงานวิจัยแบบนี้ ในลักษณะนี้ ที่มันจะให้ประโยชน์กับชาวบ้านเขาเนี่ย ทั้งชีวิตเรามีแก่ใจ เราผูกใจอยู่กับงานแบบนี้ ลักษณะนี้ หรือยิ่งกว่านี้ มันจะสั่งสมเป็นกองบุญ มันจะสั่งสมเป็นความสว่าง ไปเห็นผลเอาตอนที่เราใกล้จะสิ้นใจ มันอาจจะเกิดเป็นภาพทบทวน โห ตลอดชีวิตที่ผ่านมา มีแต่นิมิตว่าเราขยันขันแข็งที่จะทำวิจัย ที่จะค้นคว้า ที่จะทำประโยชน์ให้คนอื่น แล้วใจมันก็จะเกิดความชุ่มชื่น กรรมที่เรารวบรวมไว้เนี่ย มันมารวมตัวกัน ก็กลายเป็นความสว่าง
อันนี้ความสว่างไม่ใช่ความสว่างในแค่ความรู้สึกว่าสว่างนะครับ แต่มันเป็นความสว่างจริงๆ เป็นความสว่างแบบที่กุศลกรรมเค้าจะบันดาลให้เกิดธรรมชาติความสว่างชนิดนั้นขึ้น เรียกว่า ‘กองบุญที่เราสั่งสมมา’ ความเป็นใหญ่ในกองบุญเนี่ย ถ้าหากว่าเหนือบาปทั้งปวงแล้วเนี่ยนะ ตัวนี้ก็จะนำให้เราไปเกิดได้ด้วย ตัวความสว่างในแบบที่มันทำประโยชน์ให้คนอื่นด้วยสมองแบบนี้เนี่ยนะ มันก็จะไปตกแต่ง ไปเนรมิต เอาอัตภาพใหม่ที่มันมีความสอดคล้องกัน คือพูดง่ายๆเป็นพวกที่ ‘สมองโต’ แต่ไม่ใช่โตแบบน่าเกลียด หัวโตเป็นกระบุงนะ สมองโตในความหมายที่ว่า มีความสามารถจะคิดอะไรได้เร็วตั้งแต่เด็กๆ มีความสามารถที่จะมองอะไรเห็นและรู้ความได้เร็วกว่าเด็กในวัยเดียวกัน อะไรแบบนี้นะครับ พูดง่ายๆนะ ‘การที่เราจะใช้สมองไปในทางที่จะทำประโยชน์ให้คนอื่น มันล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อความฉลาดทั้งปัจจุบันและอนาคตทั้งสิ้น’
๒) ถ้าเราแอบไปรู้ว่าแฟนของเพื่อนที่เคยสนิทกัน (แต่ตอนหลังมีเรื่องทะเลาะเลยไม่สนิทแล้ว) แอบไปจีบเพื่อนของเราอีกคนนึง ซึ่งเราได้เตือนเพื่อนคนหลังไปว่าผู้ชายมีแฟนแล้ว แล้วฝ่ายชายก็รู้ว่าเราเป็นคนไปบอก ด้วยเหตุนี้จึงได้ปะทะกับฝ่ายชายไปแล้วทีนึง เราควรจะบอกเพื่อนคนแรกที่เคยสนิทด้วยไหมว่าแฟนเค้านอกใจ? หรือควรอุเบกขาแล้วปล่อยให้เป็นกรรมของเขาไป? เพื่อไม่ให้สร้างเวรกับฝ่ายชาย
แฟนของเพื่อน เข้าใจว่าคงเป็นแฟนของเพื่อน ที่เป็นเพื่อนของเราเองนะ แล้วผู้ชายมีแฟนแล้วเนี่ย เข้าใจว่าหมายถึงว่าเราเตือนเพื่อนคนหลังไปนะครับ เรื่องเตือนมันก็แล้วแต่เราจะเจตนาแบบไหนนะครับ คือ เจตนา ๒ อย่างต่างกัน แต่มันได้บุญทั้ง ๒ อย่างก็มี อย่างกรณีนี้เนี่ย ถ้าเราคิดว่าเราไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของชู้สาว เรื่องของอะไรที่มันเป็นหญิงชายที่จะทำให้เค้าบาดหมางกันนี่ เราเก็บไว้ อันนี้ก็ได้บุญ แต่ถ้าคิดว่าเราสงสารเพื่อนไม่อยากให้ถูกหลอก ไม่อยากให้ต้องมาทุกข์ทรมานภายหลัง อันนี้ก็ได้บุญอีกเหมือนกัน แต่ว่าบุญเป็นคนละชนิดกัน บุญอย่างแรกคือบุญอันเกิดจากการคิดว่าไม่อยากทำให้ใครต้องมาทะเลาะกัน ต้องมาเดือดร้อน เพราะว่าการบอกของเรา
บุญชนิดที่สองเป็นบุญแบบที่คิดสงเคราะห์ไม่อยากให้เพื่อนถูกหลอก ‘มันไม่ใช่ว่าเจตนาต่างกันสองแบบแล้ว อย่างใดอย่างหนึ่งจะต้องเป็นบาป มันแล้วแต่เราจะคิด ขอให้คิดไปในทางไม่เบียดเบียน หรือขอให้คิดไปในทางสงเคราะห์อย่างใดอย่างหนึ่งก็แล้วกัน’ อย่าคิดไปในทางที่ว่าเราอยากเห็นคนทะเลาะกัน ซึ่งในกรณีนี้ของเราไม่ใช่อยู่แล้วนะครับ ของเราเป็นประมาณว่าไม่อยากให้มีผู้เสียหายอันเกิดจากการที่เราดูดาย อย่างนี้ก็คิดได้ และก็เป็นบุญชนิดนึง
แต่บุญชนิดนี้ก็แน่นอนครับ คือเราจะต้องเตรียมใจไว้ว่าอาจจะไปมีเรื่องกับเจ้าทุกข์ คือคนที่เค้าถูกเปิดโปง คนที่เค้าถูกแฉเนี่ย ก็จะต้องมีความไม่พอใจเป็นธรรมดา อันนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในโลกแห่งความผูกพันหรือว่าอยู่ในโลกของความพัวพันเนี่ย มันง่ายที่จะมีเวร มีภัยต่อกัน มันง่ายที่เราจะไปทำอะไรไม่ถูกใจใคร แล้วเค้ามาผูกพยาบาทกับเรา เราตั้งใจนิดเดียว แต่ว่าโดนผูกพยาบาทมากมาย ไอ้ความมากมายตรงนั้น ก็อาจจะก่อให้เกิดอะไรที่คาดไม่ถึงได้ แต่ถ้าหากว่าเราเตรียมใจไว้ อันนี้ก็จัดว่าเป็นกำลังใจที่จะทำบุญ อยากสงเคราะห์คน ไม่อยากให้เค้าได้รับความเดือดร้อนที่มารู้ภายหลังว่าตัวเองถูกหลอกกันทั้งคู่ อะไรแบบนี้ อันนี้ก็เป็นกำลังใจที่เรียกว่าใหญ่ทีเดียว พร้อมจะมีเรื่องกับคนที่ไม่ดี เหมือนกับตำรวจอย่างเงี้ยะ ถามว่าอาชีพตำรวจเป็นบาปมั้ย เจตนาตั้งต้นจะพิทักษ์สันติราษฎร์นั่นน่ะเป็นบุญ แต่พอเป็นตำรวจแล้วก็จะต้องไปรบรากับคนร้าย อันนั้นก็เป็นเรื่องของกำลังใจที่เราทำได้ คนมีเวรมีภัยกันนะก็รู้ๆกันน่ะนะว่ามันก็จะต้องเกิดโทสะ เกิดการปะทะอะไรกัน แล้วก็เป็นภัยเป็นเวรกันต่อไป แต่ถ้าหากว่าเราเห็นว่าตรงนั้นไม่เป็นไร เรายอมรับได้ก็โอเค
ก็สรุป เราจะอุเบกขาปล่อยให้เป็นกรรมของเขาไปหรือว่าจะช่วยเพื่อน สงเคราะห์เพื่อน ขึ้นอยู่กับ ‘การตัดสินใจเลือก’ ไม่ได้มีบุญแบบใดแบบหนึ่งที่จะทำให้เรารู้สึกดีได้แบบตายตัว เพราะทั้ง ๒ แบบ คือทั้งขึ้นทั้งล่อง ว่าเราจะต้องไปทำอะไรไม่ดีบางอย่าง ติดคาอยู่ในความรู้สึก และในขณะเดียวกัน ถ้าดูดายมันก็รู้สึกเหมือนได้ทำอะไรอีกอย่างนึง เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีอีกเหมือนกัน นี่แหละความผูกพัน นี่แหละความเกี่ยวข้องระหว่างมนุษย์นะครับ ยังไงก็จะต้องไปเจอเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเข้าซักวันนึง
๓) เห็นคนที่ชอบด่าคนอื่นหรือหน้าไหว้หลังหลอกหลายคนได้รับความรักความสนใจ ในขณะที่เรามีน้ำใจไมตรีให้คนอื่นโดยธรรมชาติ และเชื่อในผลของกรรม เลยอดทนรักษาศีล แต่ทำไมถึงไม่ได้รับอะไรอย่างนั้นบ้าง? บางทีหมดกำลังใจที่จะทำดีมากเลยค่ะ
ต้องเข้าใจนะครับว่าเรื่องที่จะเป็นที่รักหรือไม่เป็นที่รักเนี่ยมันมีหลายเหตุปัจจัย โอเค ถ้าเราเป็นพวกที่ใจซื่อ มือสะอาด แล้วก็รักษาศีล มันจะเปล่งประกายแบบหนึ่งออกมาคือ ทำให้คนเกิดความรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ใกล้ ที่จะเป็นคนสนิทด้วย เค้าจะไม่ระแวงแคลงใจว่าเราจะมาทำอะไรที่เหมือนกับลับหลังเค้าแล้วเค้าจะต้องมาเดือดร้อนเพราะเรา อันนี้เป็นความสบายใจที่เกิดขึ้นของคนดี มีศีล มีสัตย์ ‘แต่ว่าคนดี มีศีล มีสัตย์ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดเสมอไป’ เสน่ห์ดึงดูดมาจากหลายเหตุหลายปัจจัย นับตั้งแต่กรรมในอดีตชาติ ในอดีตชาติเราอาจจะเคยเป็นผู้ที่มีศีล มีสัตย์ แล้วก็เคยทำบุญแบบมีสีสัน ที่ทำให้คนมาติดใจอยากทำบุญร่วมกับเราหรือด้วยมีความบันเทิงในการทำบุญร่วมกับเรา พวกนี้ก็จะมีเสน่ห์เป็นพิเศษ มีความสามารถที่จะดึงดูดใครต่อใครได้ตั้งแต่แรกเห็นในชาติต่อมานะ ไม่ใช่ในชาติที่ทำกรรมนะครับ อันนี้เป็นกรรมขั้นพื้นฐานที่ว่ามันมีเรื่องโยงใยกับอดีตชาติ แต่ว่าหากเราไม่สนใจอดีตชาติ แต่มาสนใจว่าเสน่ห์ในปัจจุบันนี่มันเกิดจากอะไร มันมีได้หมดเลย ทั้งรูปร่างหน้าตา น้ำเสียง วิธีพูดจา วิธีใช้สายตา ตลอดจนอากัปกริยาอะไรต่อมิอะไรต่างๆ
สังเกตไหมเด็กบางคน คือ ตั้งแต่เล็กๆเลย ก็รู้วิธีที่จะทำหน้าตาท่าทางน่ารัก ดึงดูดความสนใจคนได้ ในขณะที่เด็กบางคนโตมาเท่าไหร่ๆ กี่ปีกี่ปีก็ได้แต่ยืนทื่อๆ ยิ้มทื่ิอๆ เอาอกเอาใจคนไม่เป็น หรือว่าไปล่อตาล่อใจคนไม่เป็น นี่เป็นตัวอย่างว่า คนต่างกัน เสน่ห์ดึงดูดเนี่ยมันไม่ได้มาจากว่าเราทำตัวดีแค่ไหน แต่เราถูกใจชาวโลก โดนหูโดนตาใคร โดนใจใครเค้าแค่ไหนด้วย อันนี้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ อย่าพึ่งไปเข้าใจว่าการที่เราใจซื่อมือสะอาดแล้ว มันจะได้ผลเป็นที่รักมีเสน่ห์ดึงดูดทันที
ทีนี้มามองอย่างนี้บ้าง คนที่เค้าหน้าไหว้หลังหลอก แล้วก็ยังได้รับความรักอยู่ ก็ต้องพิจารณานะว่า อันนั้นเค้ารู้จักพูด หรือว่าพูดจามีสีสัน ทำท่ามีสีสัน แล้วก็พูดตลกเก่ง ทำให้คนหัวเราะได้ง่ายๆหรือว่าเล่นหูเล่นตาเนี่ย มีความชำนาญมาก มีความเชี่ยวชาญมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้นเค้าก็อาจจะกำลัง ‘ใช้บุญเก่าไปในทางสร้างบาปใหม่’ อยู่ เที่ยวไปหลอกคนโน้นคนนี้ หรือว่าใจจริงไม่มีอ่ะ ไม่เคยคิดที่จะเอาใคร แต่ว่าอยู่ต่อหน้าเนี่ย ดูยิ้มแย้มด้วยปัจจัยเก่า ปัจจัยสว่างแบบเก่าๆที่ว่าทำให้คนมีความรู้สึกชื่นชอบได้ง่ายๆก็ยังใช้อาวุธของเก่านั้นอยู่ อาวุธเก่า อาวุธเดิมที่ตัวเองพกพามาตั้งแต่อ้อนแต่ออกเนี่ย ก็ยังใช้อยู่ แต่ว่าใช้ไปในทางที่ทำให้ตัวเองมีความตกต่ำลง ถ้าหากว่าเรามองเห็นเข้าไป ข้างนอกกับข้างในเนี่ยอาจจะไม่เหมือนกันนะ คือ ข้างนอกเนี่ยยังดูสดใส ยังมีความน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ แต่ข้างในเนี่ยน่าเกลียดแล้ว ข้างในนี่มืดแล้ว
เรามองไม่เห็นนะ แต่ว่าธรรมชาติเค้ามองเห็น แล้วเค้าก็จัดการเองแหละ ไม่ต้องไปหมดกำลังใจ ส่วนของเราเนี่ย โอเค ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทำให้คนเค้ามามีความพิศวาสอะไรกันมากมายได้ แต่ภายในของเราเนี่ย มันพร้อมที่จะมีความสว่าง มันพร้อมที่จะมีความตรง คนซื่อคือคนที่มีใจตรง ไม่บิดเบี้ยว จิตนี่เป็นไปตามนั้นจริงๆนะ ที่โบราณพูดไว้เนี่ย โบราณพูดอย่างเห็นเข้าไปที่สภาพของจิตนะครับ จิตบิดเบี้ยว จิตเพี้ยนเนี่ย มันเพี้ยนจริงๆ มันบิดเบี้ยวจริงๆ มีลักษณะที่เหมือนกับบูดๆมันไม่เป็นหน้า ไม่เป็นตา ไม่เป็นรูป ไม่เป็นร่างที่มันมีความแน่นอนซักเท่าไหร่ แต่คนที่มีใจซื่อ คนที่มีใจตรงเนี่ย จิตมันตรงจริงๆแล้วก็มีความใสสะอาด มีความเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความเป็นอื่น ไม่มีลักษณะที่ปนเปื้อน ถ้าหากว่าเรามีความซื่อจริงๆจนเกิดความตั้งมั่นในความซื่อนั้น เชื่อเถอะว่า เราสร้างความไม่เดือดเนื้อร้อนใจให้ตัวเองแล้วในปัจจุบัน แล้วก็สร้างเหตุปัจจัยของความเป็นที่รักของเทวดา คือเทวดาเนี่ยไม่รักหรอกพวกที่หน้าซื่อใจคด แต่จะรัก ‘คนที่มีศีล’ แล้วพระพุทธเจ้าก็เคยตรัสนะครับว่า คนที่มีศีลมีธรรมเนี่ย จะได้รับความกรุณาจากพระอริยเจ้าก่อน คือ พระอรหันต์นี่เวลามองหน้าคน ท่านรู้ไปถึงไหนถึงไหน แล้วท่านก็จะเลือกโปรด เลือกที่จะให้เวลา ให้ความสำคัญ ให้ค่ากับคนที่มีศีลมากกว่า
๔) ผมชอบเข้าร้านหนังสือแล้วเปิดอ่านโดยไม่ซื้อ บางครั้งอ่านเล่นๆ บางครั้งอ่านจริงจังเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ มาคิดดูก็เหมือนกับว่าเราได้บริโภคเนื้อหาสาระของหนังสือไปแล้ว แต่ไม่ได้เสียสตางค์เป็นการตอบแทน อย่างนี้จะทำให้ศีลข้อลักทรัพย์ด่างพร้อยมั้ยครับ? แล้วจะมีวิบากอย่างไรบ้าง?
แต่ไม่ได้เอาหนังสือออกมา อันนั้นในแง่ของรูปธรรมเนี่ย เราไม่ได้ลักทรัพย์ แล้วเดี๋ยวนี้ร้านหนังสือก็เปิดให้อ่าน เปิดให้ลองดูว่าหนังสือถูกใจเรามั้ย ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่ว่ากัน นี่คือนโยบายของร้านหนังสือยุคใหม่นะครับ แต่ประเด็นมันมีอยู่ตรงนี้ คือถ้าเราชอบหนังสือเล่มนั้น เราได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนั้น แล้วเวียนเข้าไปอ่านเรื่อยๆ ไม่คิดจะซื้อ อันนี้แหละเรียกว่า เป็นการที่ว่าไม่ลักทรัพย์ก็จริงนะ แต่เป็น ‘การไปเอาสติปัญญามาจากเค้า แล้วไม่ตอบแทนตามข้อตกลงที่ควรจะรู้ได้ด้วยสามัญสำนึก’ การที่เราไปกินแรงคนอื่นอย่างไร มันก็ทำนองเดียวกัน คือ เค้าออกแรงนะครับ กว่าจะเขียนหนังสือออกมา แล้วก็เอามาวางที่หน้าร้าน เค้าก็ต้องลงทุนนะครับ ทั้งค่ากระดาษ ทั้งค่าจ้างพิมพ์ อะไรต่อมิอะไร แต่เราไปยืนอ่านเฉยๆแล้วก็ได้เก็บเกี่ยวความรู้จากเขามา ได้ประโยชน์จากหนังสือของเขามา โดยไม่คิดจะจ่ายค่าตอบแทนให้เค้า ผลก็คือ เนื่องจากเราไม่ได้ทำผิดศีลข้ออทินนาทานจังๆคือ เราไม่ได้ไปปล้นทรัพย์เค้า ทรัพย์เนี่ยยังอยู่กับที่ ยังมีคนไปจ่ายตังค์ซื้อมาได้ แต่ว่าเราเอาสติปัญญาของเค้ามา เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำไปก็คือ ‘การไม่เห็นค่าของแรงงาน ไม่เห็นค่าของสมอง ไม่เห็นค่าของความเพียรพยายามของเค้าที่ทุ่มเทเข้าไปนะครับ แล้วสิ่งที่จะตามมาก็จะออกมาทำนองเดียวกันนั่นแหละ ก็คือว่าจะเป็นผู้ที่ทำงานแล้วจะไม่ได้รับค่าจ้างตามที่ควร ตามสมควร’
ทีนี้มันก็ทำนองเดียวกันกับที่ไปซื้อเทปผี ซีดีเถื่อน เราไปซื้อของมา เราไม่ได้ไปปล้นมา เราไปเอามาจากพ่อค้าแม่ขาย เราไม่ได้ไปอยู่ๆไปเม้มเข้ากระเป๋ามาเฉยๆ เราไปซื้อมา แต่ว่าเรารู้แก่ใจ ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ทางปัญญาตัวจริงเนี่ยเค้าไม่ได้อะไรเลย ด้วยความรู้อย่างนั้น แล้วเรายังขืนทำไปเรื่อยๆเนี่ย ถ้าหากว่าสั่งสมกรรมไปมากๆจนกระทั่งตลอดทั้งชีวิตทำแต่เรื่องแบบนี้เนี่ยนะ อันนี้เค้าเรียกว่า ‘เป็นกองบาปอ่อนๆ’ นะครับ คือไม่ใช่ถึงกับขนาดผิดศีลผิดธรรม แต่ว่าเป็นการทำสิ่งที่พูดง่ายๆว่า เป็นรากของอนาคตที่มันจะไม่ได้มีความเจริญงอกงามในทางทรัพย์สินทางสมอง ทางแรงงาน คือเป็นผู้ที่ว่าเกิดใหม่นี่ เราลงแรง ลงเวลา ลงสมองไป มักจะได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นการดูถูกแรงงานบ้าง เป็นการกดค่าแรงบ้าง เป็นการเหมือนอย่างที่ว่า ที่คนโดนกันบ่อยๆที่สุด โดยเฉพาะคนไทยเนี่ยนะ คือ ทำงานล่วงเวลา แต่ไม่ได้ค่าล่วงเวลา อันนี้มันดูเป็นเหตุเป็นผลกันนะครับ
อย่างบ้านอื่นเมืองอื่นที่เค้ามีความเคารพในสิทธิทางปัญญากันมากกว่าบ้านเราเนี่ย เค้าจะจ่ายค่าแรงกันโดยส่วนใหญ่เหมือนกับมีความยุติธรรมดี แต่ของบ้านเราเนี่ย มักจะบ่นกัน ว่าโดนโกงค่าแรงบ้าง หรือโดนกดค่าแรงบ้าง เสร็จแล้วพฤติกรรมตรงนี้เนี่ย พอมีนายจ้างประเภทนี้มากๆ ลูกจ้างก็เกิดความเก็บกด ไม่อยากจ่ายค่าแรงให้คนอื่นบ้าง เนี่ยมาในรูปของการซื้อเทปผี ซีดีเถื่อน หรือว่าจะเป็นไปยืนอ่านหนังสือฟรี หรืออะไรก็แล้วแต่นะ ที่มันจะเป็นในทำนองที่ว่า ถ้าฟรีได้เอาไว้ก่อน หรือว่าถ้าใกล้เคียงกับฟรีที่สุด ถึงจะพอใจ อะไรแบบนั้น มันก็เลยมาอยู่รวมๆกันแบบนี้แหละ
ถ้าพูดถึงความเป็นบาปเป็นกรรมมันไม่ถึงกับเป็นบาปเป็นกรรมซะทีเดียวนะครับ มันไม่ถึงกับเป็นเรื่องผิดศีลร้ายแรง ไม่ใช่ถึงขั้นอทินนาทาน แต่ว่าอยู่ในขั้นที่สร้างความอึดอัด อัตคัด หรือว่าสร้างความคับแคบให้กับฐานะในอนาคต เอาเป็นอย่างนี้ก็แล้วกัน แล้วคนไทยเนี่ยนะ พูดก็พูด ไหนๆก็พูดแล้ว คือลองสังเกตดูเถอะ ต่อให้มีเงินนะ ก็ไม่อยากจ่าย ผมเห็นเยอะเลย คือถ้าหากว่าเอาเปรียบคนอื่นได้ หรือว่าไปโกงค่าแรงเค้าได้เนี่ย จะดีใจ ไม่รู้ดีใจอะไร คือเห็นแรงงานของคนหรือเห็นสมองของคนเป็นอะไรที่ไม่ควรจะต้องจ่าย มันติดอยู่ในใจของคนไทยประมาณนี้อยู่จริงๆเคยเห็นนะครับ คนมีเงิน รวยนะ บ้านนี่หลังโตเลย แต่ว่าพิซซ่ามาส่งเลทแค่ ๑๐ นาทีเนี่ยไม่จ่ายเงินเค้า บอกจะเอาตามข้อตกลง ตามโฆษณาอะไรแบบนั้น เค้าวิงวอนขอร้องบอกว่า โอ๊ย เค้าไม่มีเงิน คือที่ติดเนี่ยเพราะมีเหตุจำเป็นโน่นนี่นั่นเนี่ย ก็ไม่ฟัง จะไม่จ่ายตังค์เค้าตามกฎกติกา แบบนี้ก็มีนะครับ คือประมาณว่าคงรวยได้ชาติเดียว ถ้าเป็นแบบนั้นกัน
เอาละครับ คืนนี้คงต้องกล่าวราตรีสวัสดิ์แต่เพียงเท่านี้นะครับ ก็ขอให้มีความเจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านนะครับ
« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น