วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๓๑ / วันที่ ๓๐ มี.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับ วันนี้วันศุกร์ที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเศษ ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรงครับ

ปกติวันจันทร์กับวันศุกร์จะใช้สไกป์ (Skype) คุยกัน แต่ช่วงนี้สไกป์ของเน็ต ไม่แน่นอนเอามากๆคุยทางสไกป์ไม่ค่อยจะซิงค์กันเท่าไหร่ ก็เลยขอใช้เฟสบุ๊คแทนสำหรับช่วงนี้ครับ เพราะฉะนั้นเพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks



๑) อุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่เขาจะได้รับไหม? หากไม่ทราบว่าเราอุทิศให้ การทำเช่นนี้จะช่วยบรรเทากรรมที่มีต่อกันได้หรือไม่?

ก็แยกเป็นข้อๆนะ ตรงที่ว่าถ้าเขายังมีชีวิตอยู่เขาจะได้รับไหม หากว่าไม่ทราบว่าเราแผ่เมตตาให้ ก็คงไม่ได้หรอกครับแต่ว่าเขาจะได้กระแสบวก กระแสที่เป็นกระแสด้านดีจากเรา เพราะว่าจิตมันไม่สามารถที่จะรู้ความหมายของเจตนาจากกันและกันได้ แต่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกด้านดีหรือว่าด้านร้ายที่ออกมาจากกันได้

ยกตัวอย่าง สมมติว่าตอนเช้าก่อนไปทำงานเรานึกแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่ทำงาน ซึ่งกำลังมีเรื่องมีราวหรือว่าเกลียดชังหรือว่าพยาบาทกันมาเนิ่นนาน ตอนสวดมนต์เราสวดอยู่คนเดียวเขาไม่ได้รับรู้ด้วย ช่วงแรกๆก่อนสวดมนต์เราก็อาจจะยังนึกโกรธนึกเกลียดนึกกินแหนงแคลงใจอะไรกันอยู่ แต่พอสวดมนต์ไปแล้วรู้สึกมีความสุข ความสุขนั้นจะทำให้เรามีแก่ใจที่จะอภัยแล้วก็เผื่อแผ่ความสุขไปถึงทุกคน รวมทั้งคนที่เราเกลียด

เพราะอะไรถึงมีเหตุผลมากพอที่เราจะแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียด? เพราะว่าเราสามารถสำรวจเข้ามาในจิตใจของเรา แล้วรู้สึกว่าเขาเป็นจุดดำจุดด่างกลางใจของเรา ใจของเราเองที่มันไม่ดี ใจของเราเองที่มันไม่สะอาด ใจของเราเองที่มีจุดบอด พอเห็นอย่างนั้นก็เกิดความรู้สึกว่าอยากกำจัดจุดบอดทิ้ง อยากจะทำให้จุดมืดกลายเป็นจุดสว่าง อยากทำให้ความสว่างที่ยังกระพร่องกระแพร่ง มีความแหว่งวิ่น ได้เกิดความเจิดจ้า แล้วก็เป็นดวงขึ้นมา นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมคนเราถึงมีแก่ใจที่จะให้อภัยเป็นทานแล้วก็แผ่เมตตาหรือกระทั่งอุทิศส่วนกุศลให้แก่กันและกันได้

ถ้าหากว่าเราแผ่เมตตาอยู่คนเดียว อุทิศส่วนกุศลให้เขาอยู่คนเดียวก็จริง แล้วความสว่าง ความรู้สึกดี มันเกิดขึ้นกับเราเต็มที่ ผลคือพอเจอหน้ากันจุดดำที่เคยมีต่อกัน นึกออกไหมเวลาคนเราเกลียดกัน ต่างฝ่ายต่างจะรู้สึกถึงจุดดำที่มีต่อกันมันเหมือนขั้วแห่งความมืดที่ขั้วเราก็มีขั้วเขาก็มี พอเราแผ่เมตตาให้แล้วจุดดำนั้นหายไปจากใจจริงๆอย่างน้อยชั่วขณะหนึ่ง อย่างน้อยชั่วขณะเช้านั้นที่เพิ่งแผ่เมตตาให้เขา อุทิศส่วนกุศลให้เขา เจอหน้ากันเขาก็จะรู้สึกว่าจุดดำที่มันยังอยู่ในเขามีอยู่ แต่จุดดำที่อยู่ในเรามันเหมือนหายไป ก็จะรู้สึกแปลกใจ

มนุษย์เราไม่มีความสามารถที่จะแปลได้ออกว่า นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเช้าก่อนมาที่ทำงานเราได้สวดมนต์แล้วก็แผ่เมตตาให้เขา มันไม่สามารถทราบมาได้ถึงขนาดนั้น แต่ว่าสามารถรู้สึกได้ว่ากระแสที่ออกมาจากเราที่ควรจะมืดเหมือนกับเขามันต่างไป มันเหลือแต่ขั้วของเขา ขั้วของเรามันสว่างขึ้นมา พอรู้สึกไปวันหนึ่งอาจจะแค่แปลกใจวันเดียว แต่ถ้ารู้สึกอย่างนี้ทุกวัน ในที่สุดจุดดำที่อยู่ในขั้วเขามันจะค่อยๆหรี่ลงๆ และถ้าไม่มีเรื่องไม่มีราวไม่มีเหตุการณ์แย่ๆระหว่างกันมาซ้ำเติมเข้าไปอีก ในที่สุดจุดดำตรงนั้นมันจะหายไปจริงๆ นี่คือเรียกว่าสิ่งที่เราจะได้จากการแผ่เมตตาหรือกระทั่งอุทิศส่วนกุศลให้เขามันได้กันตรงนี้

การอุทิศส่วนกุศลมันก็คือการแผ่เมตตาอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าเจตนาอยากจะอุทิศส่วนบุญที่เราได้ทำให้เขาได้รับบ้าง แต่ที่เขาจะได้รับจริงๆมันเป็นไปไม่ได้หรอก นอกเสียจากว่าเราจะพูดถึงการทำบุญของเราให้เขาฟัง แล้วเขาเกิดความยินดีราวกับว่าอยากจะทำร่วมกับเราไปเดี๋ยวนั้นเลย ถ้ามีโอกาสเขาอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง นี่เรียกว่าได้ส่วนบุญคือมันเข้าไปอยู่ในเจตนาของเขา เราสามารถที่จะเอาบุญของเราผลักเข้าไปอยู่ในมโนภาพของเขา ผลักเข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณของเขา แล้วก็เกิดเป็นภาพความต้องการที่จะทำบุญหรือว่าทำดีอะไรแบบที่เราทำมาเช่นกันนะครับ

สรุปก็คือ ตอบโจทย์ว่าเขาจะได้รับหรือแปล่า ไม่ได้รับหรอก แต่ที่จะบรรเทากรรมมันมีส่วน แต่หมายความว่าเราจะต้องไปเจอหน้าเจอตาเขาด้วยนะ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆอยู่คนละซีกโลก เราอุทิศส่วนกุศลให้เขาแล้วเขาจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลเรา ไม่ใช่นะ เรื่องของจิตสิ่งที่จะได้กันจริงๆเป็นเรื่องของกระแสความรู้สึกที่กระทบกัน ประเภทที่ว่าอยู่คนละซีกโลกแล้วเราไปถวายสังฆทานมาแล้วเขาจะได้รับผลที่เราไปถวายสังฆทานมาด้วยกับเรา มันเป็นไปไม่ได้เลย



๒) ตัดใจจากแฟนเก่าไม่ได้มานานหลายปี ควรทำอย่างไร?

ก็เป็นคำถามประจำโลกเลย การที่เราลืมคนรักไม่ได้ เราพูดถึงเรื่องของอดีตเรื่องของบุพเพสันนิวาสเรื่องของการเคยทำบุญร่วมกันมาได้นะ เพราะว่ามันมีส่วนอยู่จริงๆ บางคนเราคบกันมาตั้งหลายปี แต่พอเลิกกันปุ๊บไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีความคิดถึง ไม่มีความอาลัยไยดี แต่กับบางคนเจอกันแค่ไม่กี่วัน คุยกันแค่ไม่กี่ครั้ง ลืมไม่ได้ ลืมไม่ลง ไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไร

ตอนที่เราไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรก็อาจจะดูความรู้สึกยึดติดถือมั่นที่เกิดขึ้นในใจของเราจริงๆว่ามันอาจจะเกิดจากบุญเก่าที่เคยทำกันมา หรือว่าความผูกพันที่ผูกกันมาแน่นแฟ้นหลายภพหลายชาติ เราไม่รู้หรอกระลึกไม่ได้ว่าเคยเดินทางร่วมกับเขามากี่ครั้ง เราระลึกไม่ได้หรอกว่าเคยไปทำบุญอะไรกับเขามาถึงได้มีความรู้สึกว่าใจไปจ่อไปเล็งมากมายขนาดนั้น

แต่มันมีอยู่จริงๆความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น แยกตรงนี้ก่อนนะ ความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นมันมีอยู่ในเราจริงๆแล้วก็อาจจะเคยทำบุญร่วมกับเขามา อันนั้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ทีนี้ถ้าเรามองพิจารณากันแบบชาวพุทธที่พิจารณาว่า ถ้าคู่กันแล้วแบบเป็นคู่บุญจริงๆหมายความว่าต่างฝ่ายต่างคิดดีต่อกันพูดดีต่อกันแล้วก็เคยอยู่ร่วมกันมาด้วยการกระทำที่ซื่อสัตย์ต่อกันเอื้อเอ็นดูต่อกันเกื้อกูลกันมาจนกระทั่งสิ้นชีวิตจากกัน เรียกว่าคู่บุญ ที่มีความแน่นอนซึ่งจะได้มาพบกันอีกในชาติถัดมา แล้วก็พบกันอีกบ่อยๆตามหลักของพุทธศาสนา

ที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าถ้าหากจะได้เจอกันทั้งในชาตินี้ หมายถึงเคยอยู่ด้วยกันในชาตินี้ไปจนตายแล้วก็ไปเจอกันอีกในชาติต่อไปก็จะต้องมีความรัก ความรักเกิดจากอะไร? เกิดจากการที่เคยได้อยู่ร่วมกันมาด้วยดี แล้วก็มาเกื้อกูลกันในชาติปัจจุบัน แล้วก็ต้องมีศรัทธามีศีลมีจาคะและมีปัญญาเสมอกัน ถ้าหากว่ามีองค์ประกอบครบแบบนี้ ต่างฝ่ายต่างมีความเอื้อเอ็นดูต่อกันรักกัน เกิดใหม่ชาติใหม่ฉันใดก็จะต้องได้มาพบกันแล้วก็มาเป็นคู่กันอีกไปจนกระทั่งแยกย้ายจากกันไปตาย

ถ้ามันเกิดอยู่กับแค่ฝั่งเราฝั่งเดียวล่ะ มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่ว่าเคยทำบุญกับเขามาแต่เรามีใจเล็งถึงเขามากกว่าที่เขามีใจเล็งถึงเรา เขาอาจจะเคยช่วยเหลือเรามา อาจจะเป็นเจ้านาย อาจจะเป็นญาติพี่น้องที่ให้ความเกื้อกูลกับเรามาแล้วเรารักเขามาก แล้วเราได้รับความเกื้อกูลจากเขามา เป็นเหมือนกับความประทับใจ หรือว่ามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งแน่นแฟ้นมาก พอเราทำบุญร่วมกับเขาหรือว่าพยายามช่วยเหลือพยายามตอบแทนเขา มันก็กลายเป็นความรู้สึกด้านดีกลายเป็นกำลังบุญที่เกิดจากความประทับใจหรือว่าความเลื่อมใสความมีใจให้กับเขา พอเกิดใหม่มันก็อาจจะยังมีความรู้สึกยึดเหนียวแน่นแบบนั้นอยู่

ในขณะที่เขาเอง เขาไม่ได้มองเราเป็นคนรัก หรืออาจจะมองเราเป็นคนรัก แต่ว่าไม่ใช่คู่ที่ร่วมกันจนกระทั่งตายจากกัน เขาก็อาจจะมีคู่อื่นคนอื่นที่เขาผูกพันกันมากกว่า หรือว่ามีจุดตัดของเวลาที่เหมาะสมที่จะเป็นคู่กันในชาตินี้ในชีวิตนี้นะครับ มันมีเหตุผลที่ซับซ้อนลึกซึ้งมันไม่ใช่แบบในนิยาย หรือว่าในหนังที่เราเห็นนะว่าคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน เคยอยู่ด้วยกันมาในชาติที่แล้วชาตินี้ประทับใจกันและกัน แล้วก็ต้องอยู่กันไปจนตาย มันไม่ง่ายแบบนั้น มันมีปม มันมีความเหมาะสมทั้งเงื่อนเวลา ทั้งเงื่อนบุคคล ทั้งเงื่อนเหตุการณ์ทั้งหลาย

แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของศรัทธา ถ้าหากว่าศรัทธาไม่ได้เล็งไปในทางเดียวกันนะ ก็ยากที่จะมาลงเรือลำเดียวกันได้ เพราะว่าเรือของแต่ละคนมันพากันไปคนละทิศ

ถามว่ามีวิธีใดที่จะทำบุญเพื่อจะตัดใจ เพื่อที่จะพ้นสภาวะแบบนี้? เข้าใจนะ มันเป็นเรื่องทรมานใจ ใครไม่เจอกับตัวอาจจะรู้สึกว่ามันจะอะไรกันนักกันหนา ก็แค่คนครั้งเก่าที่จากกันไปแล้วก็ตัดใจไปสิ ก็พยายามที่จะเอาใจมาผูกอยู่กับคนของเราคนใหม่สิ หรือว่าพยายามพิจารณาไปว่าเขาไม่ใช่คนของเรา เขาเป็นอนัตตา เขาเป็นอะไรต่อมิอะไร แต่คนที่เจอมาจะเข้าใจว่าอาการที่รู้สึกยึดติดถือมั่น รู้สึกว่าไม่ลืมสักทีแล้วก็ทรมานใจ บางทีนอนกระสับกระส่าย เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า ชีวิตนี้ปล่อยให้ใครบางคนหลุดมือไปหรือเปล่า รู้สึกเสียดายรู้สึกเสียใจ หรือรู้สึกเหมือนกับยังเป็นเจ้าของ เรายังเป็นเจ้าของอยู่เขายังเป็นของๆเราอยู่

ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นจะวิจิตรพิสดารวิลิศมาหราอะไรสักแค่ไหนก็ตาม ขอให้มองมันมาลงอยู่ที่คำๆเดียวคำเดิมนั่นแหละ ยึดติดถือมั่น มันเป็นอาการของใจอย่างหนึ่งที่เราเอาไว้ดูได้ว่าอย่างนี้หน้าตาของความยึดติดถือมั่น มันเป็นความร้อยรัด อาการร้อยรัดเป็นยังไง? มันรู้สึกแน่นเข้ามามันรู้สึกจุกเข้ามาในอก มันรู้สึกเหมือนเรากำลังกอดอะไรไว้ แต่ไม่ได้กอดด้วยอ้อมแขนเป็นอ้อมใจ เป็นความรู้สึกทางใจที่มันยังร้อยรัด ถามว่าความรู้สึกร้อยรัด ความรู้สึกเหมือนยางเหนียวเป็นยังไง? มันไม่ต้องไปพยายามแปลเป็นภาพอะไรเลย เอาความรู้สึกในขณะนั้นนั่นแหละเป็นตัวตั้งเป็นตัวหลัก รู้สึกยังไงยอมรับไปอย่างนั้นว่าเป็นความรู้สึกเหนียวแน่นเป็นความรู้สึกผูกพัน ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรให้กำกับคำลงไปเลย นั่นแหละเรียกว่ายึดติดถือมั่น นั่นแหละยางเหนียว

พอเรามีคำที่ชัดเจนให้กับความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ มีคำชัดเจนที่จะเอาไว้ใช้เรียกสภาวะทางใจที่เกิดขึ้น ซ้ำๆซ้ำๆ กี่ปีกี่เดือนมันก็ยังเหมือนเดิม นั่นเป็นเรื่องดีนะ

ในทางการเจริญสติแล้ว อะไรก็แล้วแต่ที่ปรากฏอยู่บ่อยๆ ปรากฏอยู่เป็นประจำ ปรากฏแบบที่เหมือนกับเป็นแขกประจำที่เข้ามาเยี่ยมให้เราเห็นหน้าบ่อยๆไม่ไปไหนสักที มีประโยชน์อย่างไร? มีประโยชน์ในแง่ที่ว่าถ้าอะไรเกิดบ่อยอะไรแบบนั้นเราจะจำได้ง่าย เราจะเห็นได้ชัด เราจะไม่ต้องไปจินตนาการถึงมัน แต่สามารถรู้สึกได้ทันทีว่านี่มาอีกแล้วแขกเจ้าประจำ คุณไม่จำเป็นต้องไปพยายามขับไล่แขกประจำ เพราะว่ายังไงๆก็จะมาอยู่ดี ถึงเราไม่เชื้อเชิญ ถึงเราไม่อยากให้เขาเข้ามา แต่มันก็เหมือนกับว่าเขารู้ทางรู้ประตูรู้ช่องที่จะเข้าถึงบ้านเราแล้ว บ้านเราก็คือจิต

ในเมื่อไหนๆเขามาแล้วเราก็ใช้เขาให้เป็นประโยชน์ แทนที่จะเอาน้ำท่าหรือว่าเอาข้าวปลามาต้อนรับขับสู้ เราดูเขาว่าเขามาแล้ว ดูเขาว่ามาให้เห็นชัดๆดูหน้าให้ชัดๆเลยว่าหน้าตาเป็นยังไง หูแหลมๆตาแหลมๆจมูกโด่งๆปากเป็นยังไง เวลาเราสังเกตใครด้วยความพิจารณาอย่างไร ก็ให้สังเกตอาการยึดมั่นถือมั่นด้วยลักษณะแบบเดียวกันนั้น ดูว่ามันมีความเป็นอย่างไร เพื่อให้จดจำได้ชัดๆพอจดจำได้ชัดๆแล้วเกิดอะไรขึ้น พอภาวะแบบนั้นหายไป เราก็จะเห็นได้ทันทีว่ามันหายไป ก็มันจำได้แล้วไงว่าหน้าตาเป็นยังไง เหมือนกับแขกคนหนึ่งที่เข้ามา

วันๆเราอาจจะต้อนรับแขกหลายคนแต่แขกคนนี้เราจำไว้เป็นพิเศษว่าหน้าตาแบบนี้รูปร่างแบบนี้ พอเขาปรากฏตัวเราจำได้ทันที พอเขาหายไปเราก็จำได้ทันทีว่าหายไปแล้ว ฉันใดฉันนั้น

เมื่อฝึกที่จะพิจารณาว่าแขกมาเองแล้วไปเองเราจะสามารถรู้สึกว่าที่เหมือนกับเป็นความยึดติดถือมั่นที่ไม่เคยเสื่อมคลายที่ไม่เคยเลิกรา ไม่จริง มันมาๆแล้วก็ไปๆ ไม่มีความรู้สึกแบบที่คั่งค้างถาวรหรอกว่านี่ยึดติดเหลือเกิน ยึดติดเหลือเกิน พอเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีความรู้สึกมันจะคลายลง แล้วเดี๋ยวกลับมาใหม่ นี่คือความจริงที่คนไม่สังเกต เพราะอะไร? เพราะว่ามัวแต่ไปสังเกตว่าเรายังรักเขาอยู่ เรายังหลงเขาอยู่ เรายังติดเขาอยู่ มันเป็นอย่างนี้

พระพุทธเจ้าตรัสเลยนะเวทนาใดที่ถูกรู้ เวทนานั้นจะแสดงความไม่เที่ยง แต่ถ้าเมื่อไรเวทนาเกิดขึ้นแล้วเราไม่สังเกตโดยความเป็นของไม่เที่ยง มันจะกลายเป็นความรู้สึก เป็นนิจจสัญญา นิจจสัญญาคือมีความรู้สึกว่าเที่ยง พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้แล้วเราสามารถประยุกต์ใช้ได้ในเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ในชีวิตจริงๆทุกวัน

ลองสังเกตดูไม่ว่าจะเป็นความพอใจไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ ถ้ามันมีความแรงมากๆชั่วขณะนั้นใจจะหลงไปว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ มันอยู่กับเราจริงๆ และมันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป ที่คนเราทรมานใจกันก็เพราะว่ารู้สึกว่าความทุกข์ถ้าเกิดแล้วมันจะไม่หายไปไหน มันจะรบกวนจิตใจไปเรื่อยๆ มันจะไม่นึกถึงการสูญหายไป มันจะไม่นึกถึงการที่ว่าวันหนึ่งมันจะเปลี่ยนแปลงไป มันจะมีแต่ความรู้สึกอึดอัดทรมานว่ามันจะขังเราไว้กับความเร่าร้อนกระวนกระวายอย่างนี้ไม่เลิก นี่คือความจริงนะครับ

เอาล่ะลองไปสังเกตดูว่า ถ้าเห็นหน้าตาความยึดมั่นถือมั่นแล้ว อีก ๑๐ ปีมันก็ไม่หาย ไม่เป็นไร อาจจะเป็นเพราะว่าเราทำบุญกับเขาไว้เยอะ แต่เราจะได้ใช้ประโยชน์ในอีก ๑๐ ปีที่จะมาถึงก็แล้วกันว่า ความยึดมั่นถือมั่นที่เกิดขึ้นในใจมันมาแล้วก็ค่อยๆลดระดับลง เดี๋ยวมันกลับมาใหม่ เหมือนแขกเจ้าประจำ แล้วเราก็จะรู้สึกว่า สิ่งที่เราได้จากการเห็นมันก็คือการเรียนรู้การเจริญสติที่เป็นประโยชน์มากๆอย่างหนึ่ง แล้วในที่สุดถึงวันหนึ่งมันจะรบกวนจิตใจเราไม่ได้จริงๆนะ พอเรามีอนิจจสัญญาคือความรู้สึกว่าไม่เที่ยง รู้สึกว่าความยึดติดถือมั่นเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่เที่ยง ตรงนั้นมันจะรบกวนจิตใจเราไม่ได้จริงๆ

ขอให้ทดลองดูเถอะอาจจะใช้เวลา กินเวลาสักหลายเดือน หรือหลายปีก็แล้วแต่ แต่มันคุ้มจริงๆที่จะฝึกแบบนี้ เราไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์จริงๆ



๓) ไม่อยากยึดติดกับคนๆหนึ่งมากเกินไป ไม่อยากรักมากเกินไป ควรทำอย่างไร? พิจารณาอสุภะจะช่วยได้ไหม? ประโยชน์ของอสุภะคืออะไร? จะพิจารณาอสุภะอย่างไร?

การพิจารณาอสุภกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่เหมาะกับคนที่ต้องการจะตัดความรู้สึกทางกามทิ้งจริงๆไม่เหมาะกับคนที่ยังอยากมีแฟนแล้วก็จะอยู่เป็นฆราวาสแบบนี้นะ อสุภกรรมฐานเหมาะกับคนที่ใจถึงจริงๆ คือคุณไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับทางโลกอีกแล้ว แต่ว่ามีภาระมีความจำเป็นจะต้องหาอยู่หากินยังบวชไม่ได้ ก็ต้องปฏิบัติตามกำลังไปก่อน ซึ่งมีอยู่เยอะที่ทำได้นะ

อสุภกรรมฐานขณะที่เป็นชาวบ้านอยู่นี่แหละ ทำถึงขั้นที่เห็นกายตัวเองมันขึ้นมาเป็นนิมิตในห้วงมโนทวารอยู่ตลอดเวลาว่า กายนี้เป็นซากศพเหม็นเน่าแออัดไปด้วยสิ่งที่เป็นปฏิกูล ไม่น่ารัก ไม่น่าใคร่ ไม่น่าเอ็นดูเลยสักนิดเดียว เห็นผู้หญิงหรือว่าถ้าตัวเองเป็นผู้หญิงเห็นผู้ชายแล้วเกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนเหมือนเห็นซากศพแบบนั้น มีทำได้จริง มีอยู่เยอะด้วยนะ

แต่ว่าสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะตัดใจจากกามคุณ ยังอยากมีคู่อยู่ไม่เหมาะที่จะไปพิจารณาอสุภะเป็นนิมิตติดจิตติดใจ เพราะมันจะทรมานใจไปเปล่า แล้วก็รู้สึกขัดแย้งกับตัวเองว่ามันไม่ใช่นะ เราไม่ได้ต้องการที่จะตัดถึงขั้นนั้น เราแค่ต้องการไม่ยึดมั่นถือมั่นกับคนๆหนึ่งมากเกินเหตุเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าหากว่าจะเลิกยึดมั่นถือมั่นในคนๆหนึ่ง ไม่จำเป็นถึงขนาดต้องไปพิจารณาอสุภะหรอก แต่พิจารณาตัวอาการยึดมั่นถือมั่นอย่างที่ผมพูดไปเมื่อครู่นี้ เอามาใช้ด้วยกันเป๊ะเลย

เราเห็นว่าความยึดมั่นถือมั่นหน้าตาเป็นยังไง มันเหมือนมีอาการกอด มีอาการรัด มีอาการยึดติด มันมีความเป็นยางเหนียว ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อไรเรารู้สึกเมื่อนั้น เรารู้ไปเมื่อนั้น เพื่อที่จะให้เห็นว่าลักษณะอย่างนั้น มันไม่ได้อยู่กับใจของเราตลอดไป มันอยู่แป๊บหนึ่งตราบเท่าที่เรายังตรึกนึกถึงเขาอยู่ แต่พออาการไม่ว่าจะเป็นอาการตรึกนึกหรือว่าจะเป็นอาการยึดมั่นถือมั่น มันปรากฏอยู่ครู่หนึ่งเดี๋ยวมันก็หายไป มันก็ลดระดับลงได้ ไม่อยู่ยั้งค้ำฟ้าหรอก ขอแค่เราดูแค่นั้นเอง

เมื่อครู่นี้เป็นคำถามแรกนะ ตรงที่จะเป็นคำถามสืบเนื่องมาก็บอกว่า พอพิจารณาแล้วก็ไม่รู้สึกรังเกียจอันนี้ก็เป็นตัวอย่างนะ คำว่าอสุภกรรมฐานไม่ใช่ไปแค่คิดพิจารณาว่า เขามีขี้มูกติดอยู่ปลายจมูกหรือเปล่า หรือว่าตื่นเช้ามาเขามีขี้ตาไหม ตอนเขาเล่นกีฬามาเห็นเม็ดเหงื่อเหงื่อไหลไคลย้อย หรือว่าไปนึกถึงจินตนาการเอาว่าเขานั่งอึนั่งฉี่อยู่ มันจะทุเรศทุรังขนาดไหน มันไม่ใช่แค่นั้น

คำว่าอสุภกรรมฐานของเต็มๆเลยคือว่า พระพุทธเจ้าท่านให้เจริญอานาปานสติจนกระทั่งจิตมีความตั้งมั่นมีความสว่างสามารถเห็นกายครอบไปทั้งตัว คือจิตที่ใหญ่แล้วมันจะรู้สึกถึงกายที่เล็กลง แล้วถ้าหากว่าพิจารณาออกมาจากจิตที่มีความใหญ่เห็นกายที่มันเล็กกว่าจิต มันไม่มีค่า มันเป็นของกลวง รู้สึกถึงอิริยาบถปัจจุบัน นั่งอยู่รู้ว่านั่งอยู่ ยืนอยู่รู้ว่ายืนอยู่ เห็นไปเรื่อยๆจนกระทั่งความเป็นกาย มันมีความแจ่มชัด แล้วเป็นของน้อย เป็นของเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกถึงความสกปรกของมัน ใจก็จะถอยห่างออกมา

ใจที่ถอยห่างออกมาเพื่ออะไร? พระพุทธเจ้าระบุไว้เลยว่าการที่เราสามารถเห็นกายโดยความเป็นอสุภะได้ รังเกียจร่างกายได้ ไม่รู้สึกยึดติดว่ามันเป็นของน่ายินดีได้ จิตจะเป็นอิสระมีความตั้งมั่นเป็นญาณได้ง่าย หลายคนเลยที่เจริญอสุภกรรมฐานมาแล้ว ยี้ รังเกียจ จิตใจมีแต่ความรู้สึกอึดอัดทรมาน นั่นแสดงว่าไม่ได้มาทางอสุภกรรมฐานเต็มสูตร

อสุภกรรมฐานเต็มสูตรจำไว้เลยต้องขึ้นด้วยสมาธิ ต้องมีสมาธิมากพอ ต้องมีสติติดตัวมากพอ สามารถเห็นกายโดยความเป็นอิริยาบถปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าคำว่าต่อเนื่องมันแค่ไหนไม่เข้าใจ จะบอกว่าไม่ใช่ ๒๔ ชั่วโมง แต่หมายความว่ามันขึ้นมาเรื่อยๆ มันขึ้นมาในจิต มันจำได้ เหมือนกับปกติของเรา ถ้าคนธรรมดาใจจะอยู่กับงาน หรือไม่ก็ใจจะอยู่กับเรื่องเล่น หรือไม่ก็ใจจะอยู่กับแฟนเป็นหลัก คิดถึงบ่อยๆแล้วก็รู้สึกถึงสิ่งที่เราผูกยึดโดยมาก แทนที่จะเป็นแบบชาวบ้าน

คนที่เจริญสติเขาก็จะสามารถมีใจผูกยึดอยู่กับลักษณะความเป็นกายในปัจจุบันได้ หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ หายใจยาวรู้ หายใจสั้นรู้ แล้วก็จะนั่งจะนอนจะเคลื่อนไหวไปในท่าไหนก็ตามจะกระดิกแม้แต่นิดเดียวรู้สึกได้ รู้สึกออกมาจากตรงกลางไม่ใช่รู้สึกเพ่งเข้าไป แล้วจากตรงกลางตรงนั้นแหละ กลางที่รู้สึกรับรู้ออกมาถ้าจิตมันใหญ่พอ มันสามารถรู้สึกถึงความเป็นกายได้อย่างชัดเจนว่านี่มันเป็นของน่ารังเกียจ รู้สึกทั้งตัว

เสร็จแล้วพอดูว่ากายของเรามันเป็นอสุภะ ก็เห็นว่ากายของคนอื่นเป็นอสุภะเหมือนกัน ความรังเกียจที่เกิดขึ้นไม่ใช่รังเกียจแบบชั่วคราว ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวแบบขยะแขยงหรือสะอิดสะเอียนตอนเราเจอซากหมาเน่าหรือว่าเจอกองอึกองฉี่ ไม่ใช่แบบนั้นนะ มันจะเป็นความรู้สึกถอยห่างออกมาถอนความยึดติดยินดีว่านี่เป็นสิ่งที่น่าหลงน่ายินดี อาการของใจที่ตั้งมั่นมันจะสว่าง แล้วก็มีความสุข มีความปลอดโปร่ง มีความเป็นเอกเทศจากลักษณะความผูกยึดแบบที่ชาวโลกเขายึดกันว่าดี ชาวโลกเขายึดกันว่าชอบ ของเรายังไม่จำเป็นต้องไปถึงขั้นนั้นนะครับ


หลายคนก็ยังบ่นมาไม่เลิกว่า ยังฟังไม่ได้ คืนนี้คงเป็นอย่างนั้นจริงๆก็เพราะจริงๆแล้วอย่างอินเตอร์เน็ตของผมก็ถือว่าโอเคแล้วนะครับในเรื่องของสปีดในเรื่องความแน่นอนอะไร แต่ว่าวันนี้คือยังไม่ได้เทสปิง (ping) แหละ แต่ว่าเทสจริงๆเลยว่าพอเข้าไปฟังรายการอื่นใน http://www.spreaker.com แล้วเป็นยังไง ช่วงนี้มันไม่เวิร์คจริงๆนะครับ พอคลิก play แล้วเนี่ย กว่าเสียงจะขึ้นเนี่ยมันบางทีกินเวลาเป็นนาที ปกติถ้าผมใช้มือถือถ้าเป็นสามจีเนี่ย ฟังเนี่ยได้แล้วนะครับ พอกด play ปุ๊บเนี่ยมันติดขึ้นมาทันที คืนนี้แล้วก็ช่วงที่ผ่านมา มันคงมีปัญหาอะไรสักอย่างที่ทำให้การสื่อสารเน็ตไทยกับเน็ตต่างประเทศมันมีปัญหานะครับ ก็คงต้องใช้เฟสบุ๊คแบบนี้กันไปก่อนนะครับ สไกป์นี่เดี๋ยวคงต้องเทสดูเป็นช่วงๆแล้วละครับว่า ถ้าใช้สไกป์ในขณะที่อินเตอร์เน็ตไม่ดีเนี่ย มันจะซิงค์กันไม่ได้

คืนนี้คงล่ำลากันเท่านี้ก่อนก็แล้วกันนะครับเพราะว่า สัญญาณของคนส่วนใหญ่ก็ติดๆดับๆนะครับ แล้วก็มันอาจจะมีความขลุกขลักบ้างก็ต้องขออภัยนะครับสำหรับการแจ้งกะทันหันนิดนึง คนที่รอจะถามสไกป์อยู่ก็อาจจะรู้สึกว่า มันไม่เป็นไปตามนัด แต่ว่าก็สุดวิสัยจริงๆครับ แล้วพบกันใหม่วันจันทร์นะครับ คืนนี้ครับราตรีสวัสดิ์ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น