วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๒๒ / วันที่ ๙ มี.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันศุกร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง และอย่างที่นัดหมายกันไว้นะครับ คืนนี้เราจะคุยกันผ่านสไกป์ (Skype) แอดผมไว้ในสไกป์ได้จากแอคเคาน์ดังตฤณนะครับ 'dungtrin' ผมจะรอรับสายแรกเลยนะครับ ถ้าได้ยินเสียงแล้วเดี๋ยวผมจะเข้าโหมดรับสายได้ 'available' ตอนนี้จะเป็น 'do not disturb' อยู่ซึ่งจะไม่มีสายไหนเรียกเข้ามาได้ เอาล่ะครับผมได้ทำให้เป็น available แล้วนะครับ



๑) การที่คนหลายๆ คนในปัจจุบันได้ไปกราบไหว้สิ่งที่นอกเหนือพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างเช่นไปไหว้พระพรหม พระพิฆเนศ หรือว่าพระราหู หรือสิ่งต่างๆ ไม่ทราบว่าถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ครับ?

ดูตัวการกราบไหว้ก่อน ลักษณะของการกราบไหว้เป็นกุศล ไม่ใช่อกุศล เพราะว่าคนที่จะมีกิริยาแสดงการกราบไหว้ได้ ก็จะเป็นคนที่กำลังมีจิตใจที่นบนอบ กำลังมีจิตใจที่อ่อนน้อม กำลังมีจิตใจที่ยอมเอามานะของตนลง เพื่อที่จะได้ไปทำความเคารพผู้ใดผู้หนึ่งที่เรากำลังกราบไหว้ นี่เอาเฉพาะเรื่องของอาการก่อน อาการนั้นเป็นกุศล

ทีนี้ถ้าถามว่าบุคคลหรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกที่เรากราบไหว้นั้น เป็นสิ่งที่ถูกที่ควรหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรากราบไหว้ด้วยความตั้งใจอย่างไร ถ้าหากว่าเราตั้งใจที่จะกราบไหว้ด้วยความเคารพ ด้วยความนับถือ ด้วยความตั้งใจที่จะลดความยโสโอหัง หรือว่าความอหังการของเราลง ไม่ว่าจะเป็นการกราบไหว้ใคร ก็ถือว่าเป็นมงคล เป็นกุศลได้เสมอ

แต่ถ้าหากว่าการกราบไหว้นั้นมีความหมายว่า เราปรารถนาที่จะยึดเอาเป็นที่ขอสิ่งของ หรือว่าขออะไรบางอย่างที่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปขอกับมนุษย์ด้วยกัน อย่างนี้เริ่มต้นแล้วที่จะพาตนเองไปสู่ความงมงาย คือไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราไปกราบไหว้นั้นจะเป็นของจริงหรือไม่จริง ท่านจะเป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิก็ตาม แต่ลักษณะการขอของเราเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว เนื่องจากเราพยายามที่จะทำอะไรให้มันเหนือธรรมชาติ เราพยายามจะชนะกฎของธรรมชาติ กฎของกรรมวิบาก ด้วยการให้ใครคนหนึ่งที่มีอำนาจวิเศษยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือทันที แล้วถ้าพิจารณาตามแนวคิด หรือว่าแนวอุดมคติ หรือแนวปรัชญาของพุทธศาสนานี่ มันไปรบกวนความเชื่อหรือความเลื่อมใสเกี่ยวกับตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และเรื่องของการที่จะน้อมใจไปเชื่อว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมอย่างยิ่งเลย

คืออันนี้ย้ำอีกทีหนึ่งว่าเรายกไว้ก่อนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถช่วยเราได้หรือไม่ได้ การจะมีคนทรง จะมีเจ้ามาลงได้จริงหรือไม่จริง อันนั้นยกไว้ก่อน เราพูดกันในขอบเขตของคำถามนี้ก็คือว่า ผิดหลักจากพุทธศาสนาไหม เป็นสิ่งที่สมควรไหม เป็นสิ่งที่นำพาไปสู่ความเป็นมิจฉาทิฏฐิไหม เอาแค่ตรงนี้ก่อนนะ เมื่อเอาแค่ตรงที่ว่าสมควรหรือไม่สมควรแก่ผู้ที่จะมีศรัทธาในกรรมวิบาก ก็บอกได้เลยว่าไม่สมควร ถ้าหากว่าพิจารณาในแง่ที่ว่าจะพาไปลงเหวหรือเปล่า ก็มีสิทธิ์ เพราะว่าเมื่อเราเชื่อเสียแล้วว่าชีวิตสามารถจะดีขึ้นได้ด้วยการวอนขอ ชีวิตสามารถที่จะอยู่ใต้ความช่วยเหลือของสิ่งที่เรามองไม่เห็น จิตใจก็จะพุ่งไปยึดหรือว่าพุ่งไปเชื่อ หรือว่าโน้มไปในศรัทธาสิ่งที่เหลวไหลไร้สาระอย่างไรก็ได้ คือเขาจะหลอกอย่างไร ถ้าเป็นกรณีที่เราไปเจอของหลอก เขาจะหลอกอย่างไรเราก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อ ที่จะทำตาม เขาให้เรารำแก้บนเราก็รำ เขาให้เราแก้ผ้าเราก็แก้ผ้าอะไรขนาดนั้นนะครับ หรือที่เจอกันบ่อยที่สุดก็คือมีการเรียกร้องเงินทอง หรือว่ามีการทำให้เสียเนื้อเสียตัวกันสำหรับผู้หญิง

พูดง่ายๆ ก็คือว่า ทางพุทธเราไม่สนับสนุนไม่ส่งเสริมให้เกิดการวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะในรูปแบบกรณีใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะส่งเสริมสนับสนุนให้มีการทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีการน้อมไหว้ บางทีพระพุทธเจ้าถึงกับให้บทสวดบางบทเพื่อที่จะผูกมิตรกับบรรดายักษ์ บรรดาอสูร บรรดาเปรต คือไม่ใช่เรียกร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาปกป้องตัวเองนะ เวลาที่พระพุทธเจ้าให้บทสวด ท่านจะให้เป็นบทผูกมิตร บทแผ่เมตตา บทที่มีการสรรเสริญคุณของเทวดา คือหมายถึงว่า คุณวิเศษของเทวดาได้มาอย่างไร ด้วยการทำกรรมอย่างไร มีการจาระไนนะว่ากรรมอย่างไรถึงทำให้เป็นเทวดา นี่คือหลักการแบบพุทธ

กล่าวโดยสรุปก็คือ ‘การกราบไหว้ไม่เคยเป็นอัปมงคล แต่การตั้งใจวอนขอมันจะนำเราไปสู่ความงมงาย’



๒) มีลูกกำลังเข้าสู่ช่วงของวัยรุ่น บางครั้งอารมณ์เขาแปรปรวนง่าย อารมณ์ร้อน จะมีวิธีอย่างไรที่จะสอนเขา?

ปัจจุบันมีปัญหานี้เกิดขึ้นกันมากที่สุดเลย เป็นหนึ่งในคำถามที่ผมได้รับมากที่สุดจากคุณพ่อแม่ นั่นก็คือลูกดื้อ ลูกอารมณ์ร้อน และมีลักษณะก้าวร้าว ลักษณะที่คุมยาก สอนยาก อบรมยาก เวลาเราไปตักเตือนหรือว่ากล่าวเข้าก็มีอาการกระด้างกระเดื่อง เหมือนไม่แคร์ด้วยว่าเราจะมีปฏิกิริยาต่อไปเป็นอย่างไรเราจะดุด่าแค่ไหน หรือว่าเราจะถึงขนาดพูดอะไรที่รุนแรง อย่างเช่น หลายคนเผลอตัดพ่อตัดแม่เลย เดี๋ยวจะไล่ออกจากบ้านเลย ลูกก็ไม่สนใจ ไม่แคร์ แล้วก็บางทีแสดงท่าว่าพร้อมจะออกไปอยู่แล้วด้วยซ้ำ อันนี้เกิดขึ้นเกือบๆ จะเป็นเรื่องปกติแล้ว

ก็ขอให้เป็นสิ่งที่พิจารณาไว้ก่อนว่าไม่ใช่เคสของเราคนเดียว คุณไม่ได้โดดเดี่ยว คุณไม่ได้มีปัญหาอยู่คนเดียว คุณไม่ได้มีความกลัดกลุ้มในลักษณะนี้อยู่แค่ตามลำพัง เมื่อเราทำใจว่าเราไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ใช่พ่อแม่ที่ผิด ไม่ใช่พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกไม่ดี มันเป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในโลกปัจจุบันนี้ อย่างน้อยสบายใจได้แล้ว คราวนี้จะได้เกิดการพิจารณาหรือว่าสืบสาวกันต่อไปว่า ทำไมเด็กส่วนใหญ่ถึงมีลักษณะก้าวร้าว ทำไมเด็กส่วนใหญ่ถึงมีจิตใจที่กระด้างกระเดื่องต่อผู้ใหญ่ ไม่อยากฟังว่าผู้ใหญ่สอนอะไร ไม่อยากเชื่อว่าใครจะมานำชีวิตตัวเองได้ เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น

อันดับแรกเลย สิ่งแวดล้อมที่ใกล้ตัวเขามากที่สุดตั้งแต่เริ่มขึ้นมาก็คือทีวีหรือไม่ก็เกม ส่วนใหญ่พ่อแม่จะให้ดูทีวีหรือว่าให้เล่นเกมได้ โดยคาดไม่ถึงว่าจะมีผลจะมีอิทธิพลกระทบจิตใจของลูกอย่างไร ได้มีการวิจัยกันออกมาว่าเด็กที่เล่นเกมจะมีแนวโน้มค่อนข้าง คือมีแนวโน้มดีแหละ แต่ว่าแนวโน้มที่เสียก็มาก อย่างเช่น ถ้าหากเล่นชนะจะมีความก้าวร้าวได้สูงกว่าคนที่เล่นแพ้ นี่เป็นตัวอย่างเลย เขามีวิธีวิจัยของเขา อย่างเช่นว่า ถ้าเล่นชนะมากๆ แล้วเปิดโอกาสให้พูดกับคู่แข่งได้ตามปรารถนาได้ตามใจ ส่งเสียงอัดใส่หูคู่แข่งขันได้ จะมีลักษณะของเสียงเป็นอย่างไร ก็ค่อนข้างชัดเจน ผลจากการวิจัยก็คือว่าเสียงจะแข็ง เสียงจะมีความก้าวร้าว และก็มีลักษณะที่คุกคาม ลักษณะที่ข่มขู่หรือว่าเกทับคู่ต่อสู้อย่างชัดเจน หรืออย่างที่เขาเคยวิจัยกันมา เกมอะไรที่ทำให้เด็กมีความก้าวร้าวได้มากที่สุด คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่าเป็นเกมยิงๆ เกมที่รุกเข้าหาศัตรูคู่ต่อสู้แล้วก็มีการทำให้บาดเจ็บล้มตาย จริงๆ แล้วอันนั้นก็อาจจะทำให้เกิดภาพหลอนได้เหมือนกัน อยากจะเข้าสู่สมรภูมิได้จริงเหมือนกัน แต่ยังไม่ใช่ที่สุดของเกมที่จะทำให้เกิดความก้าวร้าวในจิตใจของเด็ก

เกมที่จะทำให้เกิดความก้าวร้าวในใจของเด็กได้มากที่สุดอันดับหนึ่งเลย ส่วนใหญ่นึกกันไม่ถึง คือเกมขับรถ ยิ่งมีลักษณะของการพุ่งไปข้างหน้ามากขึ้นเท่าไร ยิ่งมีลักษณะของความรวดเร็วรุนแรง และเดี๋ยวนี้มีการทำลายคู่ต่อสู้หรือว่าทำลายคู่แข่งได้ด้วย มันจะไปทำให้เกิดอารมณ์วู่วาม อารมณ์อยากจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ใจมันมีอาการแบบพุ่งไปทำลาย พุ่งไปให้ถึงเป้าหมาย ลักษณะของใจที่มีแต่พุ่ง พุ่ง พุ่ง ไปให้ถึงเป้าหมายโดยไม่สนใจสิ่งกีดขวาง พอเจอสิ่งกีดขวางแล้วก็จะทำลาย ก็จะชนให้มันแตกพังไปนี่เป็นลักษณะของการก่อตัวของความก้าวร้าวรุนแรงมากที่สุด นี่ผมยกตัวอย่างมาเพื่อให้เห็นว่า บางสิ่งบางอย่างที่เรานึกไม่ถึงกัน เวลาเขาทำวิจัยกันออกมา มันแสดงความชัดเจนแต่ผลวิจัยต่างๆ เหล่านั้น มักจะเป็นข่าวแค่เล็กๆ มันสู้อำนาจของความสนุกความบันเทิง ในเรื่องของการอยากเข้าไปเล่นเกมไม่ได้ บริษัทเกมปัจจุบันเม็ดเงินก็เรียกว่าไม่รู้กี่หมื่นล้านเหรียญต่อปี โอกาสที่เขาจะหยุดหรือว่ามีอะไรไปเบรกได้คงยาก

นอกจากนั้นเรื่องของทีวี เรื่องของละคร ก็มีส่วนปรุงแต่งจิตใจให้เด็กเข้าไปอยู่ในโลกความคิดฝัน คิดๆ ฝันๆ ตามใจตัวเองได้มากกว่ายุคไหนๆ เพราะว่ายุคนี้ละครกับหนังทำได้ดุเดือดแล้วก็มีความถึงอกถึงใจมาก อะไรที่มันฝังเข้าไปในใจคน ภาพความรุนแรงทั้งทางเรื่องของ ราคะ โทสะ โมหะ ทั้งหลายมันจะถอนได้ยาก หรืออย่างเช่นข่าว แต่ก่อนเวลาเราเรียนคงจำได้นะว่า มักมีการแนะนำให้เด็กๆ ควรดูข่าว ควรสนใจความเคลื่อนไหวของการบ้านการเมือง แต่ปัจจุบันผมว่ามันน่าจะเป็นตรงข้ามนะ ถ้าหากว่าเด็กสนใจข่าวสารบ้านเมืองมากๆ มันมีอารมณ์ที่จะเห็นผิดเป็นชอบ หรือว่ามีอารมณ์ดื้อด้านได้ อย่างเวลาที่มีการถ่ายทอดสดประชุมสภา หรือว่ามีการถ่ายทอดข่าวที่มีคนถกเถียงกัน แล้วก็ไม่ฟังเหตุฟังผลกัน จะคอแข็งแล้วก็เสียงแข็ง ตั้งตาตั้งตาเอาชนะกันอย่างเดียว ลักษณะที่เป็นภาพเสียง ที่อัดเข้าใส่จิตใจของเด็ก เรานึกไม่ถึงหรอกว่ามีผลอย่างไร

แล้วมากที่สุดเลยก็คือ วิธีที่เราพูดกันเอง ระหว่างพ่อแม่ของเด็กที่คุยกันในบ้าน หรือว่าที่คุยกับเพื่อนบ้าน มันมีผลกับเด็กทั้งนั้นเลย เวลาที่เรานินทาใคร เวลาที่เราว่าร้ายใคร หรือว่าเวลาที่เราพูดถึงใครในทางไม่ดี ในทางเสียหาย มันทำให้เด็กเกิดความรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีใครดี ทำให้เด็กเกิดความรู้สึกว่า ที่เราสอนไปสอนให้เขาดี แต่ไม่มีใครเคยทำตัวอย่างให้เขาเห็นว่าความดีมันเป็นอย่างไร สัมผัสจับต้องได้อย่างไร อันนี้ไม่ได้พูดถึงคุณผู้ถามนะครับ ผมพูดถึงในกรณีทั่วๆ ไปที่มันเกิดขึ้นเป็นประจำ อันนี้คือสาเหตุ คือปมว่าเหตุใดเด็กสมัยนี้ถึงได้เกิดความก้าวร้าวกันทั่วโลกและถึงขั้นที่เริ่มมีปัญหา อย่างในอเมริกามีปัญหาว่าจะป้องกันอย่างไรไม่ให้เด็กคว้าปืนของพ่อไปกราดยิงเพื่อนๆ และครูที่โรงเรียนได้ เขาทำกันเป็นประจำทุกปี แล้วอเมริกาก็ซื้อง่ายขายคล่องเลย อาวุธปืน ผมอยากให้มองอย่างนี้ก่อนว่า ปัจจุบันโลกเป็นอย่างนี้ เราต้องยอมรับให้ได้ว่าความจริงก็คือเด็กจะมีแนวโน้มที่จะก้าวร้าวกระด้างกระเดื่อง ดื้อด้าน ไม่ยอมฟังคำสอนของใครเพราะเห็นว่าไม่มีใครดีจริง

สิ่งแรกที่เราจะต้องทำก็คือทำให้เขาเห็นว่ายังมีคนที่ดีจริงๆอยู่ ดีในลักษณะที่เขาจะว่าไม่ได้ ว่าสอนเขาแต่ทำไมเราถึงไม่ทำ ทำไมเราสอนให้เขาอย่าดื้อกับเรา แต่ทำไมเราดื้อกับคนอื่น หรือว่าเถียงกันเองในลักษณะไม่ฟังกัน นี่คือสิ่งที่เป็นโจทย์สำคัญที่สุดว่าเราทำอย่างไร ถึงจะให้เขาเชื่อว่ายังมีคนที่นำจิตนำใจเขาได้ นำความเชื่อเขาได้

เริ่มต้นจากการตกลงกันก่อนเลยว่า เราจะไม่พูดอะไรที่มันเป็นเรื่องร้ายให้เข้าหูลูก ไม่พูดคำหยาบคาย ไม่เถียงกันแรงเกินไป ไม่นินทาว่าร้ายใครให้ลูกได้ยิน จากนั้นก็เริ่มที่จะทำความเข้าใจตัวเองว่าเวลาที่เราจะพูดกับลูก เรามีอารมณ์อะไรขึ้นมานำหน้า ตัวนี้สำคัญมากเพราะคลื่นของความปรารถนา อาจจะเป็นคลื่นความปรารถนาดี แต่คลื่นความปรารถนาดีนั้นรุนแรงจนกระทั่งมีลักษณะเดียวกันกับคลื่นโทสะ เวลาที่เด็กรับอะไรเป็นคลื่นแหลมๆ ออกมาจากตัวเรา ก่อนอื่นเขาจะยกการ์ดขึ้นมาปิดป้องไว้ก่อน ไม่ว่าเราจะมีความปรารถนาดีที่มันจริงขนาดไหนก็ตามนะ เราต้องดูด้วยว่าความปรารถนาดีนั้นมาในรูปของคลื่นความเมตตาที่นุ่มนวล หรือว่าคลื่นของความอยากเอาให้ได้อย่างใจที่มันมีความแหลม ที่มันมีอาการเสียดแทง

จากนั้นการเลือกคำพูด เราต้องทำความเข้าใจ คิดถึงตอนที่เราเป็นเด็ก เราจะไม่ชอบฟังอะไรนานๆ เราจะชอบฟังอะไรแค่สั้นๆ แล้วจำได้ แต่พวกผู้ใหญ่มักจะไม่ใช่อย่างนั้น
เวลาอบรม สั่งสอนหรือว่าตักเตือนลูก จะพูดชักแม่น้ำทั้งห้า จนกระทั่งฟังเหมือนเป็นการพล่าม นี่คือมุมมองของเด็กนะ เขาจะไม่มองว่าเราสอนเขาดีแค่ไหน ให้เหตุผลดีแค่ไหน แต่เขาจะมองว่าเราพล่ามแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง แบบนั้นนะครับ

ถ้าหากว่าเราฝึกนิสัยที่จะอบรมลูก ที่จะตักเตือนลูกได้ด้วยแค่คำสั้นๆ เอาแค่ที่ได้ใจความว่าอย่าทำอย่างนั้นเพราะอะไร อย่าทำอย่างนี้เพราะอะไร มันจะเป็นเวลาที่สั้นเกินกว่าลูกจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบออกมาเป็นกำแพงขวาง หรือว่าทำหูทวนลม แค่สั้นๆ บางทีเขาอาจจะเหมือนกับไม่มีท่าทีสนใจ แต่เขาจะรับฟังนะ แล้วจำ ถ้าเราพูดแบบนั้นบ่อยๆ ในลักษณะของการอมรมหรือการตักเตือนที่สั้นได้ใจความ มีความหมาย กระตุ้นให้เกิดการคิดได้ กระตุ้นให้เกิดการรู้สึกว่าตาสว่าง กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกยอมรับได้แบบนี้ ในที่สุดลูกคุณจะค่อยๆเปลี่ยนไป จะค่อยๆ หันมาฟัง หันมาเต็มใจที่จะคุยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าถึงเวลาที่เขาจนแต้ม ถึงเวลาที่เขาหาทางออกของตัวเองไม่เจอ ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร ในที่สุดเขาอาจจะนึกถึงเรา แล้วก็หันมาถาม หันมาซักไซ้ หันมาระบายความในใจ เพื่อให้เกิดลักษณะของการปรับทุกข์ขึ้นมา ตรงนั้นแหละเราต้องรีบฉวยโอกาสนะครับ

สรุปสั้นๆ ก็คือ ‘สำรวจใจตัวเองว่ามีความนุ่มนวลพอไหม แล้วก็ฝึกที่จะเลือกคำให้สั้นที่สุดกระชับที่สุด’ จนกระทั่งลูกมีแก่ใจ เกิดความมีแก่ใจที่จะรับฟัง ลูกจะคิดถึงเราในเวลาที่เขาคิดไม่ได้ เขาอยากจะได้คำพูดของเราไปทำให้เขาคิดได้ขึ้นมา เรื่องของเด็กเป็นเรื่องที่ยากที่สุดครับ แต่ว่าถ้าเราใจเย็นนิดหนึ่ง บางคนผมเข้าใจนะว่าใจเย็นมานานแล้ว ใจเย็นมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เห็นอะไรดีขึ้นสักที ก็อยากจะแนะนำครับว่าลองพูดสั้นๆดู



๓) ในการเลือกคู่ชีวิต ผมควรให้ความสำคัญกับเรื่องใดก่อน ระหว่างเลือกคนที่เข้ากับผมได้ หรือควรเลือกแม่และภรรยาที่ดีของครอบครัวครับ เพราะว่าตอนนี้แฟนผมดีทุกอย่าง มีลักษณะของความเป็นแม่ที่ดี ภรรยาที่ดี แต่เธอเป็นคนจืดๆ เรียบๆ ง่ายๆ ทุกอย่างที่เธอทำมันเหมือนไม่ถูกจริตกับผมน่ะครับ ผมเลยรู้สึกเฉยๆ ในสิ่งที่เธอทำให้ผมหลายๆ อย่าง สุดท้ายความรู้สึกที่ผมอยากทำอะไรดีๆ ให้เขานี่มันลดลง ด้วยความที่มันไม่มีเหตุมาเติมน่ะครับ แล้วหลายครั้งผมก็ทะเลาะกัน แล้วนี่เขากำลังจะขอเลิกกับผม แต่ผมก็เห็นเขาเหมือนเป็นแม่ที่ดี ผมเลยไม่รู้ว่าผมควรให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรก่อน?

ความสำคัญอันดับหนึ่งนะครับที่จะเลือกคู่ นี่ตอบคำถามเป็นข้อๆไป ความสำคัญของการเลือกคู่ที่จะมาอยู่กับเราตลอดไป คุณสมบัติอันดับหนึ่งก็คือ ความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองร่วมไปกับเรา คีย์เวิร์ดอยู่ตรงนี้นะครับ ‘ความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองร่วมไปกับเรา’ เพราะถ้าหากว่าไม่มีความพร้อมนี้แล้วจะไม่มีการปรับหรือว่าเปลี่ยนหรือว่าถมช่องว่างให้เต็มอย่างเด็ดขาด คือการที่เราเจอคนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับเรา ไม่ใช่เป็นประกันนะว่าในที่สุดแล้วทุกอย่างจะลงเอยดี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีทั้งคู่ แต่อย่างน้อยที่สุดมันมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้จริง และมันก็เป็นตัวดัชนีชี้ว่าทั้งสองคนมีความรักกันมากพอ เพราะคนเราสิ่งที่หวงแหนที่สุดในชีวิตก็คือความเป็นตัวเอง ถ้าหากว่ามีใครทำให้เรารู้สึกว่าความรักหรือว่าการได้อยู่ร่วมกับเขามันมีพลังมากกว่า มันมีพลังเกินกว่าที่เราจะไปหวงแหนทิฐิมานะของตัวเองไว้ หรือว่าหวงแหนความเป็นตัวของตัวเองไว้ แสดงว่าความรักนั้นมีพลังมากพอ แสดงว่าเขาคนนั้นหรือเธอคนนั้นมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้กลายเป็นชีวิตคู่ จากชีวิตเดี่ยวให้กลายเป็นชีวิตคู่ที่ดีได้ ตัวนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าหากว่าเราเห็นแนวโน้มนั้นในตัวใคร ก็ให้มาร์คไว้เลยเป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง

ทีนี้คำถามต่อมาคือว่า เราควรให้ความสำคัญกับคุณสมบัติความเป็นแม่แค่ไหน หรือว่าคุณสมบัติที่จะอยู่ร่วมกันในลักษณะของคนที่จะเห็นอกเห็นใจกัน หรือว่าเข้ากันได้ ความสำคัญของคนที่จะมาเป็นแม่ให้กับลูกนะครับ ข้อหนึ่งเลยคือสามารถที่จะเลี้ยงดูลูก เต็มใจที่จะเลี้ยงดูลูก แล้วก็ให้ความสำคัญกับลูก ให้เวลากับลูกได้ ตัวนี้เป็นเครื่องวัดความเป็นแม่ ถ้าหากว่าไม่มีความเห็นว่าลูกมีความสำคัญ หรือว่าเวลาที่จะให้กับลูกสำคัญน้อยกว่าสิ่งอื่นในชีวิต นั่นก็เรียกว่าความเป็นแม่ค่อนข้างน้อย ถ้าหากว่าเราเห็นว่าใครมีความสามารถจะเลี้ยงดูลูก หรือว่าให้เวลาลูกได้ อันนั้นเราควรที่จะเพิ่มความสำคัญ เพิ่มมุมมองขึ้นมามุมมองหนึ่งว่า ยังมีอะไรอย่างหนึ่งที่สำคัญกว่าความต้องการของเรา ยังมีอะไรอีกอย่างหนึ่งที่มันเป็นกำลังใจให้เราได้ว่า ถึงแม้ว่าเราจะต้องทน หรือแม้ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองไป มันมีจุดหมายที่เราจะทน มันมีจุดหมายที่เราจะเปลี่ยนแปลงนะครับ นั่นก็คือเพื่อสร้างชีวิตครอบครัว ซึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก ที่พร้อมไปด้วยกัน ที่พร้อมที่จะฝ่าฟันไปด้วยกัน ถ้าไม่มีกำลังใจ ถ้าไม่มีฉันทะเสียแล้ว โอกาสที่เราจะอยากทน หรือว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรืออยากจะปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันมันแทบจะเป็นศูนย์เลย ใจเราจะคอยวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องของการไปให้พ้นหน้ากัน หรือว่าปลดเปลื้องพันธะเพื่อที่จะไม่ต้องมาเป็นทุกข์ร่วมกัน

วิธีที่เราจะเป็นผู้นำในการสร้างความเต็มใจ ในการรักษาครอบครัวไว้ หรือว่าให้เวลากับลูก ให้ความสำคัญกับลูกเหนือกว่าความเป็นเราและความเป็นเธอนะครับ ก็คือเราจะต้องบอกตัวเองว่าชีวิตที่จะโตขึ้นภายใต้การเลี้ยงดูของเรา มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะที่จะรับผิดชอบชีวิตที่อยู่ร่วมกับเราได้ หมายถึงว่าลูกน้อยที่โตขึ้นมา ถ้าหากว่าไม่สามารถทำให้เขามีความสุขความเจริญได้ ชีวิตของเราเองที่เหลือมันก็ไม่สามารถจะเป็นสุขขึ้นมาได้เช่นกัน เราคิดถึงความสุขในอีกแบบหนึ่ง คือไม่ใช่ความสุขในแบบที่เป็นตัวเอง เป็นอิสระ หรือว่าเป็นไทจากพันธะ หรือว่าไม่ต้องมาเจอความทุกข์แบบที่กำลังเป็นอยู่นี้อีก แต่เราคิดถึงชีวิตอีกแบบหนึ่งที่มันมีความสุขความภูมิใจที่ได้ทำให้ลูกคนหนึ่ง ทำให้เด็กคนหนึ่งได้โตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ แล้วก็มีความเป็นประจักษ์หลักฐานยืนยันว่าเรามีความสามารถที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น หรือว่าทำให้โลกนี้มันเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นไปนะครับ

สรุปก็คือ การที่เราจะให้ความสำคัญกับผู้หญิงสักคนหนึ่งนะ อันดับแรกเลยก็คือว่า เขามีความเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงหรือว่าปรับตัวร่วมไปกับเราหรือเปล่า อันดับที่สอง คือเขาพร้อมที่จะให้เวลากับครอบครัวหรือเปล่า ถ้าหากว่าพร้อมที่จะให้เวลากับครอบครัวต้องพร้อมที่จะปรับความเข้าใจ หรือว่าให้ความเข้าใจอะไรต่างๆ มันเกิดขึ้นไปกับเราด้วย ไม่ใช่เฉพาะว่าจะไปให้เวลากับลูกอย่างเดียว เพราะว่าการที่เราเข้ากันได้กับเขานั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับลูก



« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น