วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๔๒ / วันที่ ๒๕ เม.ย. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันพุธที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการให้เข้าไปที่ http://facebook.com/HowfarBooks ถ้าหากว่าต้องการจะฟังย้อนหลังนะครับเข้าไปที่ http://www.dungtrin.net/radio นะครับ



๑) ถ้ากรรมวิบากเรียกในการทำนายว่าเป็นดวง แล้วตามตำราทำนายว่าชาตินี้เอาดีทางไหนก็ไม่ได้ ขาดมิตร อาภัพครูบาอาจารย์ อย่างนี้แปลว่าไม่ต้องพยายามแสวงหามิตร ไม่ต้องขวนขวายหาครูบาอาจารย์ ไม่ต้องพยายามทำอะไรก็ได้หรือเปล่าคะ? ยังไงก็ฝืนไม่ได้เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ถึงจะพยายามเปลี่ยนความคิดก็ตาม แต่ยังไงวิบากก็จะพาเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกตอกย้ำว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้นมาให้อยู่ดี สู้กับวิบากไปก็เสียแรงเสียเวลา เสียแรงกายแรงใจทำให้ท้อแท้ หดหู่ แห้งแล้ง เพิ่มให้ชีวิตไปเปล่าๆ ต้องรอให้วิบากหมดกำลังไปเองซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนานกี่ภพกี่ชาติใช่หรือไม่?

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเรื่องของมิจฉาทิฏฐิมันมีอยู่ข้อหนึ่งที่ไปเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นผลมาจากกรรมเก่าบันดาล นี่พูดถึงว่าเราเชื่อแล้วนะว่าวิบากกรรมมีจริงนะ ก็หมายถึงพวกที่เหมือนกับมีศรัทธาแล้วล่ะว่าที่ต้องมาเป็นแบบนี้เพราะว่าเคยไปทำกรรมเอาไว้ในอดีตชาติมันเลยเกิดมาอาภัพหรือได้ดี ตกยากลำบากหรือว่าสบาย ไม่มีอะไรไปเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไปแก้ไขได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่านั่นเป็นมิจฉาทิฏฐิประการหนึ่ง เป็นหนึ่งในหลายๆมิจฉาทิฏฐิที่มีอยู่มากมายหลายข้อเหลือเกิน

ความเข้าใจที่ถูกคืออะไร ความเข้าใจที่ถูกคือของเก่ามันส่งมาเป็นอย่างนี้แล้วของใหม่เราก็เลือกเอาว่าจะตอบโต้กับมันอย่างไร เรามองเป็นพลัง พลังบีบคั้นที่ของเก่าเขาส่งมาแล้วก็มีพลังที่เราสร้างขึ้นใหม่ที่จะไปสู้กันหรือว่าจะไปสอดรับกัน ไปส่งเสริมกันกับของเก่า ถ้ามองอย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เอาง่ายๆเลยนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าเชื่อว่าอะไรๆเป็นไปตามวิบากเก่าบันดาลอย่างเดียว อย่างนี้ก็แปลว่าวิบากเก่าบันดาลให้เราฆ่าสัตว์ได้ด้วยสิ บันดาลให้เราขโมยของได้ด้วยสิ บันดาลให้เราผิดประเวณีได้ด้วยสิ บันดาลให้เราคิดโกหกได้ด้วยสิ บันดาลให้เราหยิบเหล้าเข้าปากได้ด้วยสิ วิบากไม่ได้ทำได้แบบนั้น

วิบากนะ มันส่งแรงยั่วยุได้ เช่นเคยไปฆ่าใครเขาไว้หรือว่าไปเบียดเบียนใครเขาไว้ ปัจจุบันก็อาจจะเจอคนที่มาเบียดเบียนแล้วก็มีแรงบันดาลอยากให้ฆ่า พูดง่ายๆว่าของเก่ามันพยายามรักษาเส้นทางตัวเองไว้ แต่ถ้าหากว่าของใหม่เราตั้งใจที่จะรักษาศีล เราตั้งใจที่จะงดเว้นขาด ไม่เอาเลยในเรื่องของการผิดศีลผิดธรรม อย่างนี้ต่อให้โดนบีบคั้นแค่ไหนเราก็สามารถที่จะรอดตัวไม่ต้องก่อกรรมใหม่ได้ ไม่ต้องก่อบาปใหม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสชี้แบบง่ายที่สุดให้เราเข้าใจได้ง่ายที่สุดว่า วิบากเก่ากรรมเก่าไม่ได้บังคับให้อะไรๆในชาตินี้มันเกิดขึ้นได้ทุกอย่าง มันอาจจะบีบคั้นได้ เราอาจจะหลงกลมันได้ เราอาจจะมีความยินยอมพร้อมใจตามมันได้ แต่โดยที่สุด สรุปแล้ว เรามีชะตากรรมใหม่ที่ขีดขึ้นมาได้เอง เขียนขึ้นมาได้เองว่าจะเอาอย่างไร จะให้มันเป็นไปตามแบบเดิม เข้าแผนเดิมที่วิบากเขาออกแบบไว้หรือว่าเราจะทำอะไรๆให้มันดีขึ้น

หรือสิ่งที่เราจะยกตัวอย่างได้ชัดเจนขึ้นอีกนิดหนึ่ง ถ้าเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาอย่างในโจทย์ ในคำถามที่บอกว่ายังไงๆมันก็ไม่มีทางจะให้ดีขึ้นอยู่แล้ว มีแต่จิตใจหดหู่ มีแต่จิตใจที่มันไม่มีกำลังใจ ถ้าหากว่าเราโดนบีบคั้นด้วยข้อบังคับต่างๆของชีวิตของชะตากรรม แต่ละวันเจอแต่คนด่าว่า สมมตินะ ไม่ได้หมายถึงผู้ถามนะ บอกว่า ‘โง่เหลือเกินวะ ทำไมถึงทำแค่นี้ทำไม่ได้เนี่ย’ ซึ่งเด็กบางคนโตมากับเสียงด่าแบบนี้ แต่ถ้าหากว่าจะเอาตามสันนิษฐานก็คือว่าเด็กคนนั้นน่าจะท้อแท้กับชีวิตแล้วก็ยอมที่จะทำอะไรตามคนอื่นเขาบงการหรือว่าไม่ยอมคิดเอง คือไปมองว่าตัวเองโง่ ไปเชื่อว่าตัวเองโง่ แล้วก็ไม่เกิดการพัฒนาใดๆขึ้นมาเลย

แต่ถ้าหากว่าถูกบีบคั้นด้วยคำด่าแล้วเด็กคนนั้นมีครูที่ดีพอจะให้คำแนะนำว่า ‘เออ ก็ลองเอาชนะคำด่าดูสิ พยายามที่จะเปลี่ยนคำด่าให้กลายเป็นแรงผลักดัน ให้กลายเป็นตัวส่งเสริมที่จะให้เราเอาชนะแล้วก็ขวนขวาย มีมานะที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นฉลาดขึ้น แล้วก็มีความรู้มากกว่าคนที่เขาด่าว่าเรา สักวันหนึ่งคนที่เขาด่าว่าเราจะต้องยอมรับให้ได้’ ถ้าได้ครูดี ถ้าได้กำลังใจดีแล้วก็มีแก่ใจขวนขวายด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่าได้กำลังใจอย่างเดียวนะ แต่มีความขวนขวายด้วยตัวเองว่าจะเอาชนะคำปรามาส เอาชนะคำลบหลู่ให้ได้ วันหนึ่งก็อาจจะเป็นไปตามความมานะใหม่ๆ เลือกด้วยการตัดสินใจครั้งใหม่น่ะแหละ ในชาติใหม่น่ะแหละว่าเราจะฉลาด เราจะไม่โง่ วันต่อวันเมื่อสะสมความฉลาดขึ้นไปก็จะเห็นศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์

คำว่ามนุษย์ที่แตกต่างจากภพภูมิอื่นๆก็คือว่าเป็นสถานีเปลี่ยนแปลง สามารถที่จะเลือกไปไหนก็ได้ สมมติมาจากทางใต้แต่จะเลือกไปทางตะวันออก ไปทางตะวันตก ไปทางเหนือ ไปทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้มันสามารถที่จะเลือกได้หมดเลย สถานีมนุษย์เป็นสถานีของการเลือกที่จะเปลี่ยน ไม่ใช่สถานีที่จะต้องก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมอย่างเดียว สถานีที่จะต้องก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมอย่างเดียวมีแต่สถานีนรก สถานีเดรัจฉานหรือไม่ก็สถานีเปรต อันนั้นพยายามอะไรให้มันดีขึ้นได้ด้วยตัวเองไม่ได้ต้องมีคนอื่นช่วย ช่วยมาจากมิติอื่นด้วย ช่วยในทางลึกลับลี้ลับด้วย ไม่ใช่ช่วยในทางธรรมดา มนุษย์โลกเราเป็นสุคติภูมิ เป็นที่ๆไม่ต้องก้มหน้าก้มตารับชะตากรรม จำไว้นะ ตรงนี้เป็นบทสรุปที่สำคัญของพุทธศาสนา



๒) ผมเป็นคนที่มีปัญหาในการทำงานในด้านความสัมพันธ์กับลูกน้อง ลูกน้องมักไม่ค่อยทำตามคำสั่ง มักชอบลาออกแบบทิ้งกลางคันบ่อยๆ มันมีเหตุปัจจัยอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องกรรมเก่าหรือเปล่า? แล้วจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร?

ในเรื่องเกี่ยวกับการมีลูกน้องไม่ดีหรือว่าบริวารไม่ดี ทางพุทธศาสนาก็ให้ความสำคัญไว้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของการที่เราไม่เคยเฉลี่ยบุญให้ผู้อื่น เรื่องเกี่ยวกับบริวารนะ อันนี้พูดคลุมก่อนนะเดี๋ยวค่อยวกกลับเข้ามาที่ตัวโจทย์นะครับ คำว่าบริวารดีหมายความว่าเป็นผู้ที่มีความเมตตา มีความกรุณา มีความต้องการ มีความปรารถนาที่จะเฉลี่ยบุญให้ผู้อื่นหรือว่ามีความยินดีในบุญ ในความเจริญในความเป็นกุศลของผู้อื่น คือ คำว่ายินดีในบุญของผู้อื่นมันเหมารวมหมดเลย กินความได้ครอบคลุมทั้งในเรื่องของการเห็นคนอื่นได้ดีแล้วส่งเสริม กับการที่เห็นคนอื่นยังไม่ได้ดีแล้วเราก็ไปช่วยช้อนขึ้นมา หรือไม่ก็เรามีดีอยู่เราก็ไปเฉลี่ยให้คนอื่น ยกตัวอย่างเช่น ที่คนไทยมักเข้าใจผิดกันก็คือว่ามาบอกบุญด้วยการที่ว่าเราไปทำบุญอะไรมาก็มาบอกว่าช่วยกันอนุโมทนาแล้วกันนะ เสร็จแล้วไม่เล่าอะไรเลย ไม่พูดถึง ไม่จาระไน ไม่บรรยายบรรยากาศงานบุญอะไรทั้งสิ้น คนฟังเขาก็ฟังแล้วแห้งแล้ง อย่างนั้นไม่ได้เรียกว่าเป็นการเฉลี่ยบุญ

แต่ถ้าหากว่าเรามาพูดให้ฟัง เล่าให้ฟังเกิดอะไรขึ้น เราไปทำดีอะไรมาแล้วทำให้เขามีจิตใจที่แช่มชื่น มีจิตใจที่ยินดีตามเราไปด้วย ไม่ใช่อวดบุญไม่ใช่การมารีดไถเพื่อนพ้องน้องพี่แต่ว่าเป็นการมาทำให้เขาเกิดความชื่นชมเกิดความยินดีในบุญที่เราได้ทำพลอยทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากจะเอาเป็นแรงบันดาลใจแบบนั้นบ้างอย่างนี้เรียกว่าเฉลี่ยบุญ ถ้าหากว่าเขามีกำลังใจขนาดที่ว่าอยากทำแบบเราเลย ร่วมกับเราแล้วเอ่ยปากทำเอง อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นการปลุกกำลังใจของเขาได้เต็มที่แล้ว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลยให้ได้บุญเท่ากับเราหรือถ้าจะเอาแบบเต็มที่ที่สุดก็คือว่ามีการสร้างโบสถ์ สร้างศาลาแล้วเรามาเปรยให้ฟังแต่ไม่ใช่มาบอกนะว่า เอาซองมายัดใส่มือแล้วบอกให้ทำเท่านั้นเท่านี้อะไรต่างๆ อย่างนี้มันไม่ใช่การเฉลี่ยบุญ มันเป็นการมาโปรยบาปมาโปรยยาพิษให้เขาเกิดอกุศลจิต เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกันนะ ว่าถ้ามีการก่อสร้างอะไรต้องเป็นภาระเขาเหรอ ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมทำจะเรียกว่าเป็นคนบาปอะไรแบบนั้น มันกลายเป็นเรื่องของการยัดเยียดบาปให้ผู้อื่นไป

แต่ความหมายของการเฉลี่ยบุญคือทำอย่างไรให้เขามีใจยินดีที่จะสร้างบุญเป็นที่พึ่งของตัวเอง หรือไม่ก็เขากำลังเดือดร้อนแล้วเราไปช่วยให้เขาหายจากความเดือดร้อน อย่างนี้เรียกว่าเป็นการเอาบุญเอาความสุขไปให้เขา ผู้ที่มีบารมีในเรื่องของการเฉลี่ยบุญมากๆก็จะมีลูกน้องที่ดี ส่วนผู้ที่อาจจะไม่ได้สั่งสมบารมีในทางทำให้ผู้อื่นเป็นสุข ไปเบียดเบียนผู้อื่นเขาเป็นประจำหรือว่าไปทำให้ใครต่อใครเขาไม่ได้เจริญในเส้นทางความสุข เส้นทางของบุญ เส้นทางของกุศล มันก็จะมีผลให้บริวารอาจจะมีปัญหาหรือว่าบริวารเป็นพิษหรือว่าทำให้ลักษณะของผู้นำมันไม่เกิดไม่เปล่งประกาย ผู้ที่จะมีลักษณะของผู้นำเปล่งประกายออกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเลย บางคนน่ะสังเกตนะคือของคุณผู้ถามอาจจะมีประกายของผู้นำอยู่นะแต่ผมพูดโดยรวมนะว่าลักษณะที่จะทำให้เกิดคาริสม่าของผู้นำคือต้องเคยเป็นผู้มีน้ำใจเสียสละมาก่อน แล้วก็มีความริเริ่ม เป็นผู้ริเริ่มในการบุญการกุศล สามารถที่จะพาให้ใครต่อใครเกิดกำลังใจไปในเรื่องของคุณงามความดีได้ อันนี้แหละที่จะก่อให้เกิดคาริสม่าของผู้นำ

ทีนี้เราก็ลองมาพิจารณาคำตอบดู ที่มันเกี่ยวข้องกับโจทย์ ถ้าหากว่าเกิดเราต้องการให้ใครเขาทำตามคำสั่งหรือว่ามีความรับผิดชอบกับงาน อย่างหนึ่งที่มันอาจจะต้องมาสร้างกันใหม่ คงไม่พูดถึงเรื่องของของเก่า ก็คือว่าทำอย่างไรเราจะทำให้ลูกน้องหรือว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดจิตสำนึก ซึ่งต้องยอมรับตามจริงนะว่าคนในยุคนี้เรื่องของจิตสำนึกหรือว่าสามัญสำนึกมันค่อนข้างจะน้อย ลดน้อยถอยห่างไป มีแต่เจ้านาย มีแต่หัวหน้ามาบ่น เล่าสู่กันฟังนะว่าทำไมเด็กจบใหม่สมัยนี้หรือแม้กระทั่งคนที่ทำงานมาเก่าๆ มันมีความรับผิดชอบน้อยลงกันทุกที จะเอาตัวรอดกันอย่างเดียวจะโยนโทษให้คนอื่นท่าเดียว แล้วก็มีแต่ว่าภาระมาพยายามปัดให้คนอื่น พยายามที่จะส่งต่อให้คนอื่น ไม่ขวนขวาย ไม่เอาใจใส่ ขาดความรู้สึกว่าตัวเองต้องไปรับผิดชอบกับสิ่งที่ต้องทำ มันมีแต่คนบอกว่าขอรับประโยชน์แต่ไม่มีคนที่จะยกมือขึ้นมาส่งเสียงบอกว่าผมขอทำประโยชน์ ดิฉันขอเป็นประโยชน์กับองค์กร มันไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้ ทำอย่างไรถึงจะสร้างจิตสำนึกขึ้นมาได้นะ ตรงนี้ก็ต้องในเรื่องของการคัดคนเข้างานมันต้องเริ่มตั้งแต่ตรงนั้นเลยเพราะว่าพูดกันตรงๆคือจิตสำนึกสร้างไม่ได้นะ มันเป็นอะไรที่เราไปบังคับไปเค้นคอคนอื่นเขาไม่ได้

ถ้าหากว่าเราไม่ใช่ฝ่ายที่คัดคน ที่จะดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็คือเป็นตัวอย่าง เป็นผู้นำในทางดี ในทางที่มีความรับผิดชอบ ในทางที่เข้มแข็ง ขวนขวาย กระตือรือร้น จนกระทั่งคนอื่นเห็น ลูกน้องเห็นแล้วเกิดแรงบันดาลใจมีพลังบันดาลใจที่จะเอาดีตาม อันนี้เป็นที่สุดที่จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่สุด ครอบคลุมที่สุด ถ้าหากว่าเราเป็นแรงบันดาลใจก็แล้ว เราขยันให้เขาดูก็แล้ว รับผิดชอบให้เขาดูก็แล้ว เขาไม่สามารถที่จะรับอะไรอย่างนั้นได้ อันนี้ก็ต้องยอมรับตามจริงไปว่ามันเป็นกรรมของแต่ละคนมันช่วยไม่ได้จริงๆนะ แล้วก็ในส่วนของเราเองเพื่อที่จะให้ในกาลต่อไปมีลูกน้องที่ดีกว่านี้นะ ก็คงต้องทำอย่างที่คุยกันไว้ อย่างที่ว่ากันไว้ตั้งแต่เริ่ม นั่นคือ หมั่นเฉลี่ยบุญแล้วก็มีความเป็นผู้ริเริ่มแล้วก็สามารถจะเป็นแรงบันดาลใจกระตุ้นให้คนอื่นอยากเอาดีบนเส้นทางสว่าง บนเส้นทางที่เป็นกุศลตามเรานะครับ



๓) จิตวิญญาณที่เป็นอสุรกายหรือเปรต เขาสามารถทำให้เราป่วยเป็นโรคต่างๆได้จริงหรือเปล่า แบบเจ้ากรรมนายเวรน่ะครับ? ถ้าจริงเราจะคุยหรือมีวิธีเจรจาต่อรองกับเขาอย่างไรบ้าง?

ถามว่าจริงหรือไม่จริงก่อน มีคำยืนยันอยู่ในคัมภีร์ อันนี้เป็นเรื่องของความเชื่อ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้ หมายความว่าที่ฟังๆอยู่นี่ ถ้าหากว่ามีแนวโน้มที่จะไม่อยากเชื่อ ไม่จำเป็นต้องเชื่อมันไม่ใช่เรื่องบาปเรื่องกรรมอะไร แต่ว่าพระพุทธศาสนาของเรามีบันทึกอยู่ว่าพระโมคคัลลานะซึ่งเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้ายของพระพุทธเจ้าเคยเดินจงกรมแล้วมีมารมาอยู่ในท้อง ท่านก็มีอาการทางกายมีอาการที่จะรู้สึกถึงความผิดปกติ แล้วที่มารมาเข้าท้องท่านก็มีกำลังมีความสามารถที่จะขับไล่ออกไปได้เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ผู้มีอภิญญาสูงส่ง แต่ขนาดพระอรหันต์ผู้มีอภิญญาสูงส่งถูกรบกวนจากสิ่งมีชีวิตต่างมิติต่างภพต่างภูมิได้ ถ้าหากเราจะเอาตามที่ปรากฏในการบันทึกของพุทธศาสนาก็คือว่ามีสิทธิ์ครับที่เราจะถูกรบกวนจากสิ่งมีชีวิตต่างภพต่างภูมิ

ถามว่าจะแก้อย่างไร จะเจรจาอย่างไร ทางที่ดีที่สุดก็คือ ถ้าหากว่าเราไม่ใช่ผู้มีอภิญญา ไม่ใช่ผู้มีพลัง เราก็อาจจะต้องใช้หลักเมตตาธรรมซึ่งเป็นเกราะกำบังภัยที่ดีที่สุดที่พระพุทธศาสนามีให้ อย่างเช่น เจริญสติ อาจจะสวดมนต์ สวดบทอิติปิโสเพื่อจะให้พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเข้ามาคุ้มครองปกป้องให้ใจออกไปในลักษณะของเมตตาแล้วก็ดึงดูดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเข้ามาเองโดยที่ไม่ต้องไปอัญเชิญ หรือบางทีพระพุทธเจ้าก็จะมีมนต์บางบทที่ท่านแนะนำให้สวดเพื่อที่จะผูกมิตรกับสิ่งที่เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นอสูรต่างๆ ก็เอาเป็นว่าถ้าหากบทสวดมนต์แบบไหนเป็นไปในทางเมตตา ไม่ได้ไปท้ารบกับใครเขา ไม่ได้ไปบอกว่าฉันก็มีดีนะ ฉันก็มีแบ็คอัพเก่งนะ ลองไปดูเอาเฉพาะคำแปลดูเลยว่าถ้าหากมีแต่การสรรเสริญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีแต่เรื่องของการผูกมิตรกัน อย่าเป็นภัยอย่าเป็นเวรต่อกัน อย่าเบียดเบียนกัน อันนี้เรียกว่าเข้าข่ายบทสวดของพุทธศาสนา แต่บทสวดใดก็ตามมีการอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา คือพูดง่ายๆว่าจะใช้ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมาปราบศัตรูให้หรือว่ากำจัดให้ศัตรูพินาศ อันนั้นพระพุทธเจ้าไม่เคยแนะนำไว้นะครับ



๔) การแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรคนที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกในทางลบ คิดว่าจะช่วยตัดกรรม ไม่เกี่ยวข้องกันอีก แต่ทำไมยังคงได้รับรู้เรื่องราวอยู่?

การแผ่เมตตาไม่ใช่การที่จะตัดกรรม ตัดกรรมจำไว้เป็นคีย์เวิร์ดนะ ตัดกรรมมันตัดไม่ได้ มันไม่ใช่ว่าเรามีอุปเทศวิธีหรือว่ามีหลักอุบายอะไรอย่างหนึ่งที่จะทำให้กรรมเก่ามันหมดการให้ผลได้ ผมขอยกตัวอย่างคร่าวๆง่ายๆสองตัวอย่างนะ อย่างเช่น พระพุทธเจ้ากับพระอัครสาวกสำเร็จมรรคผล บรรลุมรรคผล ได้เป็นพระอรหันต์ผู้เลิศในโลก ผู้เลิศในอนันตจักรวาลแล้ว ท่านก็ยังมีเจ้ากรรมนายเวรเก่าๆ พูดง่ายๆคนที่เคยผูกเวรกันมาในอดีต อย่างเช่นพระเทวทัต หรือว่านางจิญจมาณวิกามาตามราวีได้ ท่านยังถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนได้ หรือแม้แต่โรคกรรมอย่างเช่น พระพุทธองค์เคยต้องปวดพระเศียรข้างเดียวจากการที่ได้ไปเคยเป็นลูกชาวประมงแล้วแค่ยินดี คิดยินดีว่าพ่อแม่พี่น้องหอบปลา หอบอะไรได้จากทะเลมากมาย แค่นั้นพระองค์ยังต้องปวดพระเศียรข้างเดียวเมื่อใกล้จะดับขันธปรินิพพาน หรืออย่างพวกที่มักจะมีคำถามว่าเราจะส่งคนตายให้ไปดีได้มั้ย? ลองคิดง่ายๆนะ มีเปรตที่อยู่ในสมัยพุทธกาลอยู่บนเขาคิชฌกูฏ พระพุทธองค์ท่านตรัสว่าเปรตตนนี้เคยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่พุทธันดรที่แล้ว พูดง่ายๆว่าอยู่มาหนึ่งพุทธันดรหมายความว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนเปรตตนนี้ก็อยู่แล้ว อยู่มาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว แม้เวลาล่วงไป พระพุทธเจ้ามาอุบัติใหม่ เปรตตนนี้ก็ยังอยู่ ไม่ใช่ไม่อยู่นะ ไม่ใช่หายไป ขนาดที่พระพุทธเจ้ามีความสามารถที่จะโปรดสัตว์ให้บรรลุมรรคผลนับเป็นอนันต์นะ ช่วยวิญญาณที่ต้องทุกข์ได้ไปสบาย แผ่เมตตาให้ ยังมีวิญญาณบางประเภทที่ไม่สามารถจะช่วยได้ ติดอยู่อย่างนั้นมาเป็นพุทธันดร อย่างนี้ก็มี

นี่ก็เหมือนกันคือเรื่องของกรรมถ้าเราเข้าใจจริงๆเราจะรู้เลยว่ามันเป็นต้นกำเนิดของจักรวาลทั้งจักรวาลทีเดียว มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นนะ มันยิ่งใหญ่ขนาดที่ว่าเราอยู่ในโลกไหนก็ด้วยกรรม มีชะตาถูกกำหนดไว้ในต้นชีวิต กลางชีวิต ปลายชีวิตอย่างไรก็ด้วยกรรม หรือว่าเราจะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร สติปัญญาแค่ไหน ร่ำรวยมั่งมีเงินทองเพียงใด เหล่านั้นมันมีเรื่องของวิบากในอดีตมาเกี่ยวด้วยทั้งสิ้นเลย แล้วเรื่องของการผูกเวรกัน จำไว้นะครับ ที่จะทำลายเวรให้สะบั้นขาดจากกันได้ ต่างฝ่ายต่างจะต้องอโหสิให้แก่กันและกัน ต่างฝ่ายต่างจะต้องมีจิตใจยินดีร่วมกันที่จะไม่เอาเรื่องเอาราวกัน ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เวรผูกขึ้นด้วยสองฝ่าย สองฝั่ง เหมือนปมสองปมมันผูกเข้ากันไว้ ถ้าแก้ปมหนึ่งแต่อีกปมหนึ่งยังค้างอยู่มันก็ยังมีการผูกอยู่ดี มันไม่ไปไหนนะ หรือว่าสมมติว่าเราอยากจะได้อย่างใจคือไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องไปได้ยินได้ฟังหรือว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเขาหรือเธออีกแต่ว่ามันยังคงต้องถูกกระทบกระทั่งในการทำให้เกิดความระคายอะไรกัน อย่างนี้ก็เรียกว่ามันยังไม่หมดแรงส่งของเวรเก่าๆ ก็ต้องพยายามต่อไป ไม่ใช่แค่ท้อว่าเมตตาไปแล้ว คิดว่าแผ่เมตตาไปแล้วทุกอย่างจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่างจะจบ ไม่ใช่นะครับขอให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่าการแผ่เมตตาให้ศัตรูคู่เวรหรือผู้ที่ทำให้เราไม่สบายใจต้องทำกันทั้งชีวิตที่เหลือ ตลอดชีวิตมันถึงจะหมดในฝั่งเราได้แต่จะหมดฝั่งเขาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

เอาล่ะครับคืนนี้หมดเวลาแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะครับ ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น