วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๑๑๙ / วันที่ ๒๔ ต.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันพุธที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/dungtrin


๑) ดูจิตเป็นอนัตตา ดูอย่างไร?

(ถาม – หนูยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของอนัตตา หนูไม่เคยเห็นจิตว่ามันเกิดดับ แต่เคยเห็นมันเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่ง แล้วตกใจนิดหน่อย แต่ไม่เคยเห็นอนัตตา อยากทราบว่าต้องนำเรื่องอนัตตาประกอบการดูด้วยหรือเปล่า?)

ถ้าเอาตามแนวการฝึกแบบ ‘สติปัฏฐาน ๔’ นะครับ ในส่วนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูแล้วจะก่อให้เกิด ‘อนัตตสัญญา’ หรือความรู้สึกว่าเป็นอนัตตานะ ก็คือจะต้อง ‘เห็น’ ว่าตาประจวบกับรูปนะ แล้วเรารู้ว่าปฏิกิริยาทางใจเกิดเป็นความยึดมั่นถือมั่น หรือว่าเกิดเป็นความเห็นกิเลสประเภทใดขึ้นมานะ หรือว่าหูประจวบกับเสียง แล้วเกิดปฏิกิริยาทางใจอย่างไรนะ เกิดความยึดมั่นถือมั่นแค่ไหน

เอาอย่างงี้ ง่ายๆเลย ท่องง่ายๆนะว่า ที่เราจะเห็นว่าเป็นอนัตตาได้ จะต้องรู้สึกถึงปฏิกิริยาทางใจ ว่าเป็นยึด หรือไม่ยึดนะ เห็นทั้งความยึดแล้วก็ไม่อยากจะยึด ถ้าหากว่าเห็นไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะรู้สึกขึ้นมาว่า อาการของใจที่มันเข้าไปต่อติด มันเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเนี่ย สักแต่เป็นแค่ปฏิกิริยาทางใจชั่ววูบชั่ววาบเท่านั้น ถ้าหากว่าเราสามารถเห็นได้นะ

ยกตัวอย่างสำหรับผู้หญิงก็ละกัน เอาง่ายๆ เห็นกระเป๋า เห็นเสื้อใหม่ๆนะ ลดราคา ๕๐% รู้สึกตาลุกขึ้นมานะ แต่เดิมไม่เคยอยากได้สินค้าตัวนี้ขึ้นมาก่อน พอเห็น ๕๐% ขึ้นมาปุ๊บอยากได้ทันที อย่างนี้เนี่ยก็เรียกว่า ตาเห็นรูป ตาไปประจวบกับเลข ๕๐% แล้วเกิดอาการยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาว่าต้องเอาให้ได้นะ อยากได้ อยากมีขึ้นมา เพราะว่ามันถูกใจนะ มันโดนใจ เนี่ยลักษณะแบบนี้เนี่ยนะ ถ้าเราสามารถรู้สึกได้ก่อน ตั้งแต่ตอนที่เห็น ๕๐% แล้วใจเนี่ยมันมีความอยากทะยานเข้าไป ยึดเข้าไปนะ เห็นได้แล้วก็รู้สึกได้ว่า เอ๊ะ เลข ๕๐% กับอาการยึดมั่นถือมั่นเนี่ยมันเกิดขึ้นพร้อมกัน คือตาเห็นรูปปุ๊บนะมันเกิดอาการแล่นไป อยากจะจับจองเป็นเจ้าของทันที สักแต่เป็นอาการทางใจเท่านั้น ๕๐% เนี่ยจริงๆไม่ได้ทำให้สินค้าเปลี่ยนแปลงเลย ไม่ได้ทำให้คุณภาพของมันเพิ่มขึ้น แต่ว่าทำให้เรารู้สึกว่าได้เปรียบนะ ทำให้เรารู้สึกว่านะ ฉันซื้อได้ถูกกว่าคนอื่นอีกเยอะแยะที่ซื้อไปก่อนหน้า อย่างนี้ ด้วยอาการทะยานของใจนะ ถ้าหากว่าเราเห็นอยู่เสมอๆ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเลข ๕๐% อะไรแบบนี้ แต่เห็นแม้กระทั่งว่าเสื้อผ้า หรือว่าอาหาร หรือว่าจะเป็นรองเท้า จะเป็นของอะไรก็แล้วแต่เนี่ย ที่เห็นได้ด้วยตา หรือได้ยินได้ด้วยหูนะ แล้วเกิดความทะยานแล่นไป เห็นอาการทะยานแล่นนี้บ่อยๆจนกระทั่งเกิดความรู้สึกขึ้นมาในครั้งหนึ่ง ในครั้งที่ร้อย ในครั้งที่พันที่เห็นนะว่า เอ๊ะนี่สักเป็นแต่ภาวะ อาการทางใจที่มันทะยานแล่นออกไป จริงๆแล้วมันไม่ได้มีค่า มันไม่ได้มีความหมายของวัตถุที่มันเพิ่มขึ้น หรือว่าที่มันจะดีหรือไม่ดีแค่ไหน มันเป็นแค่อาการทางใจของเราแล่นออกไปเอง พอเห็นอย่างนี้มากๆเข้าบ่อยๆเข้า ในที่สุดแล้วนะ ใจเกิดความรู้สึกว่า ของเนี่ยไม่ได้น่ามี ไม่ได้น่าเอาอยู่โดยตัวของมันเอง มีแต่อาการทางใจ หรือปฏิกิริยาทางใจของเราเท่านั้นที่เกิดขึ้น เห็นอย่างนี้นะ ในที่สุดปฏิกิริยาทางใจที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ที่มันแล่น ที่มันโจนทะยานออกไป ที่มันมีอาการเหมือนจะต้องเอาให้ได้เนี่ย กลายเป็นความรู้สึกเฉยๆ แต่เฉยในที่นี้ไม่ใช่เฉยแบบเฉยชา หรือว่าเฉื่อยชานะ แต่เป็นอาการเฉยอันเกิดจากความรู้ว่าปฏิกิริยาทางใจมีไปก็เท่านั้น นี่ตรงนี้ ในที่สุดแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ตาประจวบกับรูปนะ ปฏิกิริยาทางใจก็จะออกมาเป็นว่า นี่มีความรู้ว่าใจไม่มีปฏิกิริยาไปในทางแล่นออกไป มันสักแต่เห็นว่า เออ! ใจมันว่างๆ มันโล่งๆอยู่ โล่งอยู่ด้วยอาการรู้ โล่งอยู่ด้วยอาการเห็น หรือแม้แต่ได้ยิน หรือแม้แต่ได้กลิ่น หรือแม้แต่ได้แตะต้อง หรือกระทั่งสุดยอดเลยก็คือว่า พอความคิดเกิดขึ้นกระทบใจ แล้วใจไม่มีปฏิกิริยานะ แทนที่ว่าคิดอย่างนี้จะอาฆาตแค้น คิดอย่างนั้นจะเกิดความอยากได้ คิดอย่างโน้นจะเกิดความกังวลไปถึงอนาคตข้างหน้า มันมีแต่ปฏิกิริยาออกมานะว่า สักแต่รู้ว่ามีความคิดกระทบใจ แล้วไม่มีปฏิกิริยาเป็นชอบเป็นชังออกมานะ ตรงนี้เราก็จะรู้สึกว่า เออมันสักแต่มีอะไรมาประจวบกับใจ มีอะไรมากระทบเข้ากับแก้วตา มากระทบกับหู แต่สักแต่เป็นเรื่องที่ตามันไปกระทบเอง หูมันไปกระทบเอง ไม่เกี่ยวกับเรานะ ไม่เกี่ยวกับตัวของเราที่จะไปยึดมั่นถือมั่นอะไร นี่ตรงนี้มันก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ทั้งหลายทั้งปวงมันแค่เป็นอนัตตานะ มันไม่ได้มีอะไรอยู่จริงๆ มันไม่ได้มีความน่ายึดมั่นถือมั่นอยู่จริงๆ พอความยึดมั่นถือมั่น พอ ‘อุปาทาน’ มันดับไป มันไม่เกิดขึ้น ‘อนัตตา’ มันก็ปรากฏของมันอยู่แล้ว

คำว่า ‘อนัตตา’ คืออะไร? ทั้งหลายทั้งปวงนะ สภาพธรรมมาประชุมมาประกอบกัน ไม่สามารถไปชี้ว่าตัวใดตัวหนึ่งเนี่ยมันเป็นตน มันเป็นของเรา มันสามารถบังคับเอาได้ มันจะครอบครองเป็นเจ้าของได้ ความรู้สึกทางใจนั้นมันจะเห็นหมดเลยว่า ทั้งหลายทั้งปวงมีแต่กระทบแล้วเด้งดึ๋ง กระทบแล้วเด้งดึ๋งนะ ไม่มีการกระทบแล้วมีก่อปฏิกิริยาทางใจเป็นความรู้สึกว่า นี่เราอยากได้ นี่เป็นของเรานะ ความรู้สึกอันเนื่องด้วยเราหรือเกี่ยวข้องกับตัวเราเนี่ยพอมันหายไปสักอย่างเดียว เหลือแต่ใจเปล่าๆ เหลือแต่ใจที่มันรู้อยู่เห็นอยู่ ‘ว่าง’ อยู่อย่างเป็นอุเบกขา ว่างอยู่อย่างรู้นะว่า เออ! ไม่มีตัว มีแต่อนัตตานะครับ นี่แหละตรงนี้แหละนะที่... เอาว่ากันด้วยเรื่องการปฏิบัติเลยละกัน อย่าเอาแค่นิยาม นิยามเปล่าๆเนี่ยบางทีท่องกันได้ง่ายๆนะ บอกว่าอนัตตาคืออะไรๆที่มันมาประชุมกันชั่วคราว แล้วก็จะต้องเสื่อมสลายไป ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน บังคับเอาไม่ได้ แต่ที่จะเกิดความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนี่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนนะว่า ต้องดูใน ‘อายตนปัพพะ’ ในสติปัฏฐาน ๔ ฝึกตามนั้นได้ก็จะเกิดความรู้สึกว่ามันเป็นอนัตตาจริงๆ แต่ถ้าหากว่าจะฝึกโดยความเป็น... คือเห็นอนิจจังนะ หรือว่าเกิด ‘อนิจจสัญญา’ พระพุทธเจ้าก็ให้ดู ‘ขันธปัพพะ’ นะครับ เดี๋ยวลองไปดูรายละเอียดในมหาสติปัฏฐานสูตรที่ผมเขียนเนี่ยนะ เข้าใจว่าคุณใจดีน่าจะเคยเห็นนะครับ หนังสือมหาสติปัฏฐานสูตรสามารถที่จะดาวน์โหลดมาอ่านได้ฟรีๆทั้งเล่มนนะ (หมายเหตุ – ดาวน์โหลดได้ที่นี่ http://dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=category&id=105&Itemid=278)



๒) อัลไซเมอร์เกิดจากกรรมอะไร?

อันนี้ตอบตรงนี้ก่อนเลย อัลไซเมอร์เนี่ยบางทีมันเป็นเรื่องของทางกายภาพด้วยนะ มันไม่ใช่ว่าจะมีกรรมที่ทำให้เป็นอัลไซเมอร์อย่างเดียว

บางคนเนี่ยพอขาดสารอาหารไปหล่อเลี้ยงสมอง หรือว่ามีความเครียดมากเกินไป สมองทำงานผิดปกตินะ มันก็สามารถเป็นอัลไซเมอร์ได้ก่อนวัยอันควรนะครับ คือหลงๆลืมๆ กะป้ำกะเป๋อนะ เพราะว่าระบบประสาทมันรวนนะ

ส่วนใหญ่แล้ว... คือที่เขาค้นคว้าวิจัยกันอยู่เนี่ย มันยังไม่สามารถได้ข้อสรุปชัดเจนว่า ทำไมบางคนเป็น ทำไมบางคนไม่เป็น แต่ส่วนใหญ่นะก็จะไปโทษในเรื่องของระบบประสาทมากกว่าอย่างอื่น

แต่ถ้าหากว่าจะเอาเรื่องจิตเรื่องใจนะครับ เท่าที่ผมสังเกตดู ก็คือ คนที่จะมีสิทธิ์เป็นอัลไซเมอร์ หรือว่าพวกสมาธิสั้น ความจำไม่ค่อยดีนะ หรือความจำเก่าๆมันลบเลือนหายไปเนี่ยนะ โดยมากจะเป็นพวกที่มีอะไรยุ่งๆอยู่ในหัวตลอดเวลานะ แล้วก็เป็นอะไรยุ่งๆแบบที่ไม่มีสาระ ไม่สามารถจะต่อกันได้ติดนะ คือสับไปเรื่องโน้นทีเรื่องนี้ที โดยที่ไม่มีระบบความคิดที่ชัดเจน ไม่มีระบบความคิดในแบบของคนที่จะระลึกอะไรได้แบบเชื่อมโยงนะ อยากคิดเรื่องไหนก็คิดเลยนะ แล้วระบบวิธีคิดเนี่ยมันเป็นอย่างนั้น มั่วๆอยู่อย่างนั้น เป็นปีๆ หลายๆสิบปีเข้านะ ในที่สุดแล้วพอระบบความคิดมันพัง คือต่อกับอะไรไม่ติด ก็ไม่สามารถที่จะระลึกถึงอะไรที่ผ่านๆมาได้นะ อันนี้เท่าที่ผมสังเกตดูเอาเองนะครับ คืออย่าเพิ่งฟังเป็นข้อสรุปว่าอัลไซเมอร์เกิดจากสาเหตุนี้นะ นี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งก็แล้วกัน ว่าถ้าหากพูดถึงเรื่องกรรม พูดถึงเรื่องของวิบาก เอาสิ่งที่มันเกิดขึ้นในชาตินี้เป็นหลักก็แล้วกันว่าระบบความคิดเนี่ยนะมันไม่ดีพอ

เขาเคยมีการวิจัยนะที่ต่างประเทศเนี่ย บอกว่าคนที่เล่นหมากรุก คนที่จะต้องใช้สมองในส่วนของจินตนาการ และระบบความคิดแบบตรรกะนะควบคู่กันไปอยู่เรื่อยๆเนี่ย จะไม่เป็นอัลไซเมอร์ คือโอกาสที่จะเกิดอัลไซเมอร์เนี่ยต่ำมาก อย่างนักหมากรุกบางคนอายุ ๘๐-๙๐ เนี่ย ความจำนี่เปรี๊ยะเลย เขาก็เลยเกิดความสนใจมาวิจัยกันว่า มันเกี่ยวข้องกันหรือเปล่านะ ว่าถ้าหากว่าจะใช้สมองแบบเต็มที่ ใช้สมองแบบเป็นระบบทั้งตรรกะ และวิธีใช้จินตนาการควบคู่กันไป เขาบอกว่า... ปรากฏว่ามันมีนัยสำคัญนะครับ มันมีความเชื่อมโยงกันระหว่างคนที่ใช้สมองอย่างถูกต้อง กับคนที่ใช้สมองแบบเลื่อนเปื้อนเลื่อนลอยนะ หรือไม่ก็บรรทุกข้อมูลมากเกินไปในแบบที่มันไม่ค่อยเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน คือเก็บๆๆ จำๆๆ แล้วก็มาคิดๆๆนะ เอาแต่คิดในแบบที่มันไม่ค่อยจะเป็นระบบเท่าไหร่นะ

บางคนก็บอกว่า เอ๊ะ! นี่บางรายเขาก็ใช้ความคิดแบบเป็นระบบนะ อย่างโรนัลด์ รีแกน (Ronald Reagan) เนี่ยนะ ที่รู้กันว่าเป็นอัลไซเมอร์นะ อันนั้นเขาก็น่าจะคิดอย่างเป็นระบบนะ แต่จริงๆแล้วถ้าหากว่าเรามาดูที่ระบบความคิดคนเนี่ยนะ บางทีเราไปคาดหมายเอาจากงานที่เขาทำไม่ได้ บางทีเนี่ยต้องดูวิธีที่เขาคิดด้วยว่า เครียดเกินเหตุหรือเปล่านะ อย่างบางคนเนี่ย งานเยอะ งานหนัก ข้อมูลมาก แล้วก็ไปเพ่งๆๆเอานะครับ คือตั้งใจคิดมากเกินไป วิตกกังวลมากเกินไป พูดง่ายๆว่า เอาอารมณ์เนี่ยเข้ามาผสมกับตรรกะ แล้วก็จินตนาการ จนกระทั่งว่าอารมณ์เนี่ยมันเหนือกว่าอะไรทั้งหมดนะ มีแต่ความกังวล มีแต่ความคิดแบบ... สมมติว่าคิดเรื่องนี้จบไปแล้ว ย้อนกลับไปคิดอีก หรือไม่ก็เกิดความรู้สึกผิดที่คิดอย่างนั้นคิดอย่างนี้ แล้วก็ติดวนอยู่กับความรู้สึกผิดเนี่ยไม่เลิก

บางคนเนี่ยนะคือไปทำงานใหญ่ระดับประเทศเนี่ย โดยที่คล้ายๆไม่ได้เต็มใจ คือตัวตนเนี่ยไม่ได้เป็นอย่างนั้นอยู่ก่อนนะ แล้วเกิดความรู้สึกผิด เกิดความรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองอย่างรุนแรง แล้วก็คิดวน คิดไปคิดมานะ วนไปวนมา ในที่สุดแล้วระบบความคิดมันพัง มันเหมือนกับว่าถูกความรู้สึกผิด หรือความรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเดิมของเราเนี่ยมันครอบงำนะ ในที่สุดแล้วก็เลย มันเหมือนกับไปบล๊อกระบบความจำอะไรที่... คือวิธีนึกคิดเนี่ยมันไม่สามารถนึกเชื่อมโยงกับข้อมูลรายละเอียดได้ แต่ว่ามันไปติดอยู่กับความรู้สึกว่างๆ ไม่ใช่ว่างดีนะ แต่เป็นว่างไม่ดี ว่างในแบบที่เหมือนกับมีกำแพงกั้น มีอะไรมาบล๊อกไว้นะ แล้วพอติดอย่างนั้นบ่อยเข้า มีกำแพงหลายชั้นเข้าเนี่ย ในที่สุดเหมือนกับว่าไม่สามารถมองผ่านเข้าไปในอดีตนะ เข้าไปขุดข้อมูลความจำจากในอดีตสักอย่างเดียว ติดแต่กำแพงเนี่ย

อันนี้ก็ฟังเอาไว้ละกัน คือเรื่องจะแก้กรรมเรื่องอัลไซเมอร์นะ คือถ้าหากว่าเอาตามวิทยาศาสตร์เนี่ย มันน่าจะได้มากกว่านะ เพราะว่าคนที่เป็นอัลไซเมอร์ไปแล้วเนี่ย ส่วนใหญ่พูดไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วนะ ก็คือใช้ในเรื่องของยา เรื่องของวิตามิน เรื่องของการบำรุงสมองดีกว่า อย่างเขาบอกว่า จะมีอาหารประเภทไหนบำรุงสมอง แก้อัลไซเมอร์อะไรต่างๆเนี่ย ก็ทดลองดูให้หมดนะครับ เอาอย่างนั้นดีกว่า ผมว่ามันจะมีสิทธิ์มีภาษีมากกว่า



๓) ในการทำธุรกิจ จะทำใจอย่างไรให้อยู่ในสภาพปกติ เป็นอุเบกขา?

[ถาม – ในการทำธุรกิจที่ต้องใช้ทักษะการเจรจาต่อรอง เช่น การรับซื้อของเก่า ซึ่งลูกค้ามีทั้งคนที่ซื่อตรง คนที่มีเล่ห์เหลี่ยม คนที่ชอบเร้าอารมณ์ (คือหมายความว่าชอบเหมือนกับไปทำให้เกิดความอยากได้อยากมี อะไรทำนองนั้นหรือเปล่านะ) ก็ในการต่อรองนี่จะทำใจให้เป็นปกติได้อย่างไร?]

จะไม่ว่าการค้าการขาย การทำงานแบบฆราวาสเนี่ย ที่อยู่ๆเราจะมาตั้งใจทำให้ใจมันเป็นปกติ ทำให้ใจมันเป็นอุเบกขาเนี่ยนะ มันสวนทางกัน มันไม่ใช่วิสัยแบบฆราวาส

วิสัยแบบฆราวาสเนี่ยนะต้องมาเล่นกันที่กิเลส ต้องมาเร้ากิเลส มีความคาดหมาย มีความเก็งกำไร มีการอยากได้อยากมีอะไรเป็นธรรมดา นี่พระพุทธเจ้าถึงตรัสนะครับว่า ‘ฆราวาสเป็นทางมาของธุลี’

ถ้าหากว่าเราอยากจะมีใจเป็นอุเบกขาจริงๆนะ อันนั้นต้องบวชนะ คือเป็นฆราวาสเนี่ย โอกาสที่ใจจะเป็นอุเบกขาในการทำงานนี่ยากมาก แต่มันมีทางเป็นไปได้

ที่ว่าเราเกิดความอยาก เราเกิดความโลภ เราเกิดอาการเร้าใจนะ มีความรู้สึกเหมือนกับกิเลสเนี่ยมันถูกกระตุ้นให้แล่นไปข้างหน้า ให้หวังไปในกำไรอะไรต่างๆเนี่ยนะ มันก็ดีเหมือนกัน ทำให้ไม่เฉื่อยชา แต่ว่าหลังจากที่มันเกิดกิเลสแล้ว มันเกิดความรู้สึกว่า นี่เป็นส่วนเกินแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอามาใช้ทำงานแล้วเนี่ยนะ ตรงนั้นเราก็สามารถที่จะเจริญสติได้ คือ ‘เห็น’ นะว่ามีอาการวนๆ มีอาการร้อนๆ มีอาการที่เหมือนกับเราเข้าไปใน... เปรียบเทียบนะ คล้ายๆเข้าไปเฉียดใกล้กองไฟที่เต็มไปด้วยกลิ่นไหม้ เต็มไปด้วยไอร้อนนะ เต็มไปด้วยความรู้สึกที่มันกระวนกระวาย กระสับกระส่ายเนื้อกระสับกระส่ายตัว ถ้าหากว่าเราสามารถรู้สึกได้สักนิดหนึ่ง มันจะเป็นจุดเริ่มต้นให้สังเกต ว่าตอนใจไม่ปกติ ตอนใจมันเกิดกิเลส ตอนใจมันเกิดความเร่าร้อนนะ ตามแรงกระตุ้นของหน้าที่การงานที่มันเกี่ยวเนื่องด้วยกิเลส ลักษณะหน้าตามันเป็นแบบนี้ มันมีความอยู่ไม่เป็นสุข มีความรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยไอพิษร้อนๆ พอเห็นแล้วมันจะไม่จางหายไปทันทีนะ เพราะในขณะนั้นจิตเป็นอกุศลอยู่ มีลักษณะธรรมชาติที่ค่อนข้างทึบ ร้อน กระสับกระส่าย กระวนกระวาย แต่เราสามารถที่จะเห็นด้วยสติว่า หน้าตาของความเร่าร้อน หน้าตาของความกระวนกระวายเนี่ยมันเป็นแบบนี้ แว็บสองแว็บ ถ้าหากว่าเราเคยเจริญอานาปานสติมาก่อน การเห็นนั้นจะประกอบด้วยการสังเกตว่า เรากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก กำลังหายใจยาว หรือหายใจสั้น มันจะรู้เฉยๆนะ คือไม่มีอาการที่อยากจะไปทำให้ความเร่าร้อน ทำให้ความกระวนกระวายใจนั้นมันหายไป มันมีแต่อาการยอมรับว่า ลมหายใจนี้ของเรา เต็มไปด้วยความตื่นเต้น กระวนกระวาย หรือว่ามีความรู้สึกไม่สบายใจ เจอลูกค้าเขี้ยวๆ เจอลูกค้าที่คดโกง เจอลูกค้าที่มันมีเล่ห์เหลี่ยมนะ เลยทำให้ใจของเราเนี่ยมันถูกเร้าให้เกิดความผิดปกติไปในลมหายใจนี้ แต่พอลมหายใจต่อมา โดยที่ไม่ได้อยาก ไม่ได้อะไรทั้งสิ้น มันจะเห็นว่า อาการรุ่มร้อน อาการกระวนกระวายมันไม่เท่าเดิม ในแต่ละลมหายใจเนี่ย เราจะรู้สึกได้ว่า มันไม่เหมือนเก่า บางทีมันมากขึ้น บางทีมันน้อยลง แต่สาระก็คือว่า เราจะเห็นมันเปลี่ยนไป เนี่ยแหละตัวนี้แหละที่จะทำให้ใจค่อยๆกลับมามีสติ จำไว้นะไม่ใช่คาดหวังว่าจะให้ใจกลับมาเป็นปกตินะ เป็นไปได้ยากมาก ในการทำธุรกิจการค้า ในการทำเรื่องที่มันเร้ากิเลสต่างๆเนี่ย จะให้มันเรียบนิ่งเฉย เป็นเหมือนกับการเจริญสติ เดินจงกรมอยู่เนี่ย มันไม่ได้หรอก แต่เราสามารถเห็นมันเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเห็นมันเปลี่ยนแปลงหลายๆครั้งเข้า สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สติจะค่อยๆมีกำลังมากขึ้นๆ เมื่อสติมีกำลังมากขึ้นๆนะ บางทียังไม่ต้องสังเกตก็ได้ว่า กำลังหายใจเข้า หรือหายใจออกอยู่ แต่มันเห็นทันทีว่าสภาพความเร่าร้อน สภาพความกระวนกระวายเหมือนเข้าใกล้กองไฟที่มีความร้อน ที่มีกลิ่นไอการไหม้ของไฟเนี่ยนะ พอมันเกิดขึ้นปุ๊บเนี่ยเรารู้สึกทันที นี่มันเกิดขึ้นอีกแล้ว แล้วพอมันขึ้นเกิดขึ้นเนี่ยแล้วเราสังเกตรู้เข้านะ มันก็เปลี่ยนแปลงไป มันก็ปรับ มันก็ปฏิรูปไป ด้วยการเห็นว่ามันปฏิรูปไปเรื่อยๆ เห็นความไม่เที่ยงได้บ่อยๆ พอสติมันเต็มตัวขึ้นนะ มันจะเหมือนกับ ‘กิเลสยังเกิด แต่มันเข้าไม่ถึงใจ’

นี่ฟังดีๆนะ ตามลำดับนะ ตอนแรกๆเนี่ยจะเห็นแค่ว่ามันไม่เท่าเดิม แต่ว่ายังทำอะไรกับมันไม่ได้ ใจมันรู้สึกเลยว่ามันผิดปกติอยู่อย่างนั้นแหละ แต่พอเห็นว่ามันเปลี่ยนไปเรื่อยๆเข้า ในที่สุดสติมีกำลังมาก มันจะรู้สึกเลยว่ากิเลสเนี่ยห่อหุ้มจิตไม่ได้ มันจะเหมือนกับอยู่... ลอยอยู่นอกๆ แต่ใจเนี่ยตรงกลางๆเนี่ยมันยังว่าง มันยังสบายๆ มันยังมีความรู้ มันยังมีความอิ่ม มันยังมีความเต็มอยู่ ‘กิเลสเกิด แต่ว่าเข้าไม่ถึงใจ’ เพราะมีสติกั้น เพราะมีกำลังสติที่เข้มแข็งแล้วเนี่ยนะหนุนอยู่ บางทีมันก็อาจจะเข้าถึงใจ บางทีก็เข้าไม่ถึงใจ สลับๆกันไป ขึ้นอยู่กับว่าสติกับกิเลส อันไหนมีแรงมากกว่ากันในจังหวะหนึ่งๆ นี่อันนี้คือที่สุดที่เราจะทำได้นะครับ



๔) เราสามารถเบิกบุญเก่ามาบันดาลให้เราสมปรารถนาได้ไหม?

(ถาม – พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ ๔ เป็นหลัก แล้วในเรื่องของการขอเบิกบุญเก่าของตัวเองมาใช้ เช่น อุทิศให้ผู้อื่น เทพ เทวดา เจ้าที่บ้าน ให้ตัวเองมีปัจจัย ๔ และสิ่งดีๆในชีวิต มีจริงไหม?)

เรื่องเบิกบุญเก่าเนี่ยนะ มันเป็นไอเดียที่ผมพึ่งมาได้ยินคนไทยด้วยกันนี่แหละมาพูดถึงนะ ก็เมื่อเร็วๆนี้เอง คืออย่าไปพูดมากเลย คนที่เชื่อมีอยู่เยอะนะ แล้วก็ไม่รู้ทดลองได้ผลหรือยังไงถึงได้ไปปักใจเชื่อกัน เอาเป็นว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยพูดถึงเรื่องเบิกบุญเก่านะ จะมาแบบ... เหมือนกับคิดว่าบุญเป็นเงิน แล้วเอามาใช้ก่อน อะไรต่างๆเนี่ย พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนนะครับ



๕) การที่เราตัดใจจากคนรักไม่ได้ เป็นเพราะกรรม หรือเพราะอะไร?

(ถาม – การที่เรารักแล้วตัดใจจากเขาไม่ได้ ถือว่าเป็นเวรกรรม หรือเป็นอะไร?)

มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้นนะ คืออาจจะมีครับ มีอยู่จริงๆนะ เหมือนกับว่าเคยผูกเวร หรือว่าผูกบุญกันมามาก คือทั้งบุญทั้งเวรเนี่ยนะมันมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้รู้สึกเหมือนกับสายใยที่มีระหว่างกันเนี่ยมันเหนียวแน่นเกินกว่าที่จะตัด ตัดไม่ตาย ขายไม่ขาด กี่ปีๆผ่านไปเนี่ยใจมันก็ยังนึกอยู่ ยังถวิลหาอยู่ บางทีมันไม่ใช่ถวิลหาในลักษณะพิศวาส บางทีมันมาในรูปของความผูกพัน มาในรูปของความห่วงใย หรือว่ามาในรูปของความเกลียดแค้นชิงชังนะ พอแค้นแล้วมันเหมือนกับเสพยาขมเข้าไป อีกแป๊บๆ เออนึกถึงอดีตที่มันหวานขึ้นมา หวานชื่นขึ้นมา สลับๆไป ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมใจของเราเนี่ยมันถึงเป็นไปได้อย่างนี้

ส่วนใหญ่เนี่ย พวกที่จะผูกกันเหนียวแน่นเนี่ย มันต้องผูกกันมาทั้งดีทั้งร้ายเนี่ยแหละ ซึ่งคนทั่วไปเนี่ยก็จะดีๆร้ายๆต่อกัน แต่ไม่ถึงขีดที่รุนแรงมาก แต่จะมีบางคู่ที่... มีจริงครับที่ผูกกันมาถึงขั้นแบบจะเอาเลือดเอาเนื้อ แต่ในขณะเดียวกันก็คิดถึงสวรรค์ร่วมกัน ว่าอยากจะไปสวรรค์ด้วยกัน หมายถึงว่าตายไปเนี่ยจะไปอยู่สวรรค์ด้วยกันนะ ก็เคยสาปแช่งว่า ขอให้ตกนรกหมกไหม้ ไปเจอกันในนรก อะไรอย่างนี้นะ คือทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย ไม่ว่าจะสวรรค์นรกเนี่ย มันก็มาจากความมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันนั่นแหละนะ ถ้าหากว่า มีความรู้สึกดีๆต่อกันมากๆก็ชวนให้นึกถึงสวรรค์ อยู่ใกล้ๆกันเนี่ยแหละมันเหมือนกับบริเวณรอบๆเนี่ยสว่างขึ้น มันมีความหวานขึ้น มันเหมือนกับมีความรู้สึกว่า เออเนี่ยถ้าหากว่าสวรรค์มีจริงก็คงจะประมาณนี้แหละ แต่พอไม่เข้าใจกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่เข้าใจกัน มีอาการอยากจะทิ่มแทงกันอย่างเดียวนะ ด้วยวาจา ด้วยกิริยา ด้วยการตบตี แบบนี้เนี่ยบริเวณรอบข้างเนี่ยมันก็อึงอล เหมือนกับมีอะไรที่เป็นพายุวุ่นวายพัด พัดไปพัดมาอยู่ คล้ายๆกับพายุร้อนแบบในนรก นึกว่ามีไฟที่มันลุกขึ้นมาจากพื้นดินได้นะ เห็นด้วยจากมโนภาพแบบนั้นทีเดียว นรกเกิดจากใจ สวรรค์ก็เกิดจากใจที่มันมีใส่กันนั่นแหละ ใจใส่กันด้วยความเย็นก็นึกถึงสวรรค์ ใจใส่กันด้วยความร้อนก็นึกถึงไฟนรก

ถ้าหากว่าเรามีอดีตความผูกพันกันมาหลายๆชาตินะ จะดีหรือร้ายก็แล้วแต่ความประทับเข้าไปในจิต หรือว่าความรู้สึกผูกพันเนี่ย จะกี่เดือนกี่ปีผ่านไป มันก็ยังผูกอยู่อย่างนั้น เหนียวแน่นอยู่อย่างนั้น การที่เราจะไปบอกว่าเคยทำอะไรกันมาบ้างเนี่ย ถ้าเป็นคู่รักกันจริงๆเนี่ยมันไม่ได้หรอก เพราะว่าเกิดตายมาเป็นอนันตชาตินะ เราไม่สามารถไปจาระไนได้หมดว่าเคยทำอะไรกับใครมาบ้าง แต่บอกได้อย่างหนึ่งว่าเคยอยู่กับใครเคยผูกพันกับใครมานานๆนะ ก็วัดจากความรู้สึกที่มันลืมไม่ลงนั่นเอง

ทีนี้ถ้าในแง่ของการเจริญสติ ทำยังไงจะจัดการกับความรู้สึกผูกพันเหนียวแน่นเกินไปอย่างนี้นะ ก็คือให้เห็นว่า ทุกครั้งที่มันมีความนึกถึง แล้วอยากจะแล่นไปหา อยากจะกลับไปคืนดี หรือว่าอยากจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีก อะไรต่างๆนานา ก็ให้มองว่าเป็นแค่ยางเหนียว ยางเหนียวทางจิต คือท่องไว้ ตอนแรกๆเนี่ยมันจะมองไม่เห็นแบบนี้หรอก ให้ท่องไว้ก่อนว่าเนี่ยเขาเรียกว่ายางเหนียว พอท่องแบบนี้บ่อยๆเข้านะ คือทุกครั้งที่เกิดความถวิลหาอย่างเหนียวแน่น ยางเหนียวทางวิญญาณ ยางเหนียวของจิตเหมือนกาว เหมือนเห็นกาว เหมือนเห็นกาวตราช้างอะไรที่มันไปยึดของสองสิ่งไว้ให้ติดกันเป็นตังเม อย่างนี้ก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาในที่สุดว่า อาการติด อาการยึด อาการโยง มันแค่เป็นอะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความทรมาน เมื่อทรมานใจแล้วมันมีอาการดิ้นรน มันมีความกระสับกระส่ายขึ้นมาชั่วขณะ อาจจะเป็นวัน อาจจะหลายชั่วโมง อาจจะหลายนาที ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดในอดีต ความทรงจำที่มันน่าประทับจิตเพียงใด พอพิจารณาอย่างนี้เห็นว่า สักแต่เป็นยางเหนียว พอมันท่องได้ พอมันนึกออก ‘สักแต่เป็นยางเหนียว สักแต่เป็นยางเหนียว’ แล้วเกิดเห็นอาการเห็นใจติดแน่นเป็นตังเมจริงๆ ก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาว่า เอ๊ะนี่ไม่เห็นมีอะไร มีแต่อาการโยงใย มีแต่อาการยึดติด ใจที่มีปัญญา ใจที่มีสติ ใจที่มีความสว่าง เป็นกุศล มันจะค่อยๆทำให้อาการยึดติดนั้นนะไม่น่าติดใจ ไม่ได้น่าทุรนทุราย ไม่ได้น่ากระวนกระวายอยากกลับไปหา คืออาการยึดติดมันไม่ได้ไปไหนนะ แต่สติที่เจริญขึ้นมามันเห็นว่า นี่สักแต่ว่าเป็นสภาพทางใจอย่างหนึ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา อาจจะด้วยกรรมเก่า อาจจะด้วยกรรมใหม่ที่ทำมาร่วมกัน สุดท้ายแล้ว ‘สติ’ ถ้าหากาว่ามีความเข้มแข็ง มีกำลัง คมคายจริงๆนะ มันแก้ได้ทุกอย่าง ขนาดความยึดติดว่า ‘กายนี้ใจนี้เป็นของเรา’ เนี่ย มันยังทำลายได้เลย มีมานานที่สุดเลยนะ เป็นอนันตชาติเลย ความรู้สึกว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวเป็นตน สติที่เจริญแล้วยังทำลายได้ กับแค่สายใยโยงระหว่างชายหญิงเนี่ยที่ผูกกันมานับภพนับชาติไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเนี่ยนะ ถือว่ายังจิ๊บๆ


เอาล่ะคืนนี้คงต้องล่ำลากันที่ตรงนี้ ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านนะครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น