วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๘๓ / วันที่ ๒๙ ก.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันอาทิตย์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงครับ วันนี้ก็เป็นวันพิเศษที่เคยเกริ่นไว้แล้วนะว่า วันเสาร์ อาทิตย์ก็อยากจะลองดูเหมือนกันว่าจะมีคนที่สนใจ หรือว่าอยากฟังในช่วงนี้กันมากน้อยแค่ไหนนะครับ ก็เลยลองดูวันนี้นะ สลับวันกับพรุ่งนี้ วันจันทร์ก็จะงดนะครับ กลายเป็นวันนี้แทน แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีอะไรแน่นอน สำหรับวันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือวันจันทร์นะครับ แต่วันพุธกับวันศุกร์ ก็จะเป็นสามทุ่ม ตามปกติ

ทีนี้ ขอดูผลนิดนึงว่าหลังจากทดลองไปแล้วเนี่ย มีการตอบรับแค่ไหน แตกต่างกันอย่างไร ระหว่างคนที่วันอาทิตย์อยากจะอยู่บ้านพักผ่อน หรือว่าไปเที่ยวสบายๆ หรือว่ายังมีกลุ่มคนที่ฟังอยากจะอาศัยเวลาช่วงเย็นๆ หรือว่าช่วงไหนก็แล้วแต่ที่ เดี๋ยวอาจจะมีฟีดแบกกันมาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็บอกกล่าวกันนะครับว่า วันนี้ไม่ใช่ว่ามีอะไรผิดปกติเป็นพิเศษมากมาย เป็นเรื่องของการทดลองอย่างที่เคยเกริ่นไว้แล้วนะครับ

เพลงช่วงต้นรายการที่ผ่านมา ก็เสียงของปาน ธนพร ถ้าใครจำไม่ได้ เสียงต่างไปเยอะเลย นี่ถ้าไม่บอก หลายๆคนคงต่อให้เป็นแฟนปาน ก็คงจะไม่ทราบนะครับ ก็เป็นบทเพลงปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุทธ หรือบทเพลงแห่งสรภัญญะชัยชนะแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะครับ ก็อย่างที่หลายคนคงทราบแล้วว่า เป็นคำสรภัญญะที่ประพันธ์โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนะครับ สำหรับเวอร์ชันนี้ก็จะเรียบเรียงโดยคุณวงศ์วริศ อาริยวัฒน์ แห่ง Climax Sound ครับ ถ้าหากว่าต้องการจะฟังเวอร์ชันเต็มนะ ผมเอาไปให้เป็นทางเลือกดาวน์โหลดแล้วที่ http://soundcloud.com/dungtrin



๑) หนูยังไม่สามารถตอบแทนพ่อแม่อย่างสูงสุด ให้ตัวท่านมีสัมมาทิฏฐิ เป็นที่พึ่งให้กับตัวเอง ปัญหาคือ เพราะว่าอยู่ต่างประเทศ แล้วก็มีแนวโน้มที่จะอยู่อีกสักระยะหนึ่ง เนื่องจากอาจได้รับโอกาสในการทำงาน ปกติหนูจะโทรคุยกับท่าน หนูรู้ว่าท่านรับรู้ว่าหนูเปลี่ยนไปมากๆ หนูพยายามพูดแต่สิ่งดีๆ เย็นๆ เข้าหูท่าน ท่านก็พูดจากลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส ต่างจากก่อนที่หนูจะมีธรรมะ เราจะคุยกันด้วยโทสะเสียมาก แต่ท่านก็ไม่ได้รู้ว่าหนูเปลี่ยนไปเพราะธรรมะ คำถามคือหนูกังวลเรื่องนี้มาก หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ จะกลับไปเยี่ยมท่านซึ่งระยะเวลาก็แค่เดือนเศษๆ?

เรื่องการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่นี่นะ เอาแค่ว่าเราพูดเย็นๆกับท่านนะ พูดอะไรดีๆเข้าหูท่าน แล้วทำให้ท่านเกิดความรู้สึกเย็นตาม ไม่เจ้าโทสะเหมือนแต่ก่อนเนี่ย แค่นี้นับว่าเป็นการทำบุญกับท่านแล้วนะ ยิ่งเรามีเจตนาที่จะ เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจของท่าน จากร้อนให้กลายเป็นเย็น จากคนไม่ค่อยมีเมตตา ให้กลายเป็นคนมีเมตตา เริ่มต้นจากคนที่เค้าอยากจะมีเมตตาด้วยมากที่สุดในชีวิตก็คือลูก ลูกสาวนะ ถ้าหากว่าลูกสาวทำตัวเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวน ที่น่ารักน่าเอ็นดูนะครับ แล้วก็ให้ความรู้สึกกับพ่อแม่ว่าเป็นลูกที่ให้สัมผัสที่อ่อนโยน ให้สัมผัสที่มีความนุ่มนวล ให้สัมผัสที่เกิดความรู้สึกสว่าง มันรู้ได้ด้วยใจ

โทรคุยกันทีไรคุณพ่อ คุณแม่เกิดความรู้สึกสว่างขึ้นทุกครั้ง แค่นี้นะด้วยเจตนา ด้วยความรู้สึกรับรู้ว่าเราทำให้พ่อแม่เป็นอย่างนี้ได้ ถือว่าได้บุญอย่างยิ่งใหญ่แล้ว แล้วถ้าหากว่าจะพัฒนาต่อเป็นการให้พวกท่านได้มามีศรัทธา มามีความเข้าใจที่ถูกต้องในธรรมะ มันไม่ยากเลย มันพลิกแค่นิดเดียวคือ แค่คุยให้ท่านฟังว่า เราเย็นลง เราดีขึ้น เรามีความสว่างสดใสขึ้นเนี่ย ด้วยเหตุเพราะว่าศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วก็ศึกษาวิธีฝึกจิต เจริญสตินะ

ถ้าหากว่าเราอยู่เมืองนอกเนี่ย ไม่ได้ลำบากอะไรที่จะส่งลิงก์ให้ท่าน ถ้าท่านเล่นอินเตอร์เน็ตเป็น หรือถ้าหากว่าท่านไม่นิยมเล่นอินเตอร์เน็ต เราก็อาจจะให้ใครที่อยู่เมืองไทยช่วยส่งซีดีธรรมะให้ท่าน มีซีดีพระป่าครูบาอาจารย์มากมาย ที่เราฟังแล้วรู้สึกว่ามันเชื่อมโยงกันได้ มันสามารถที่จะทำให้คนร่วมสมัยฟังโดยไม่รู้สึกว่าจะต้องไต่บันได้สูงเกินไป ก็ส่งให้ท่านเถิด ถือว่าได้เจตนาที่จะทำให้ท่านเกิดศรัทธาแล้ว ถือว่ามีความตั้งใจที่จะทำให้ท่านได้มีความตั้งมั่นอยู่ในทาน ตั้งมั่นอยู่ในศีล ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ ตัวเจตนานั้นสัมฤทธิ์ผลมากน้อยแค่ไหน อย่างน้อยที่สุดมันเริ่มต้นขึ้นที่จิตใจของเราแล้ว แน่นอนนะครับ

แล้วก็จะมีผลต่อยอดไปถึงขั้นที่ว่า พอกลับเมืองไทยแล้ว เราจะพาท่านไปกราบไหว้พระป่าครูบาอาจารย์ หรือว่าไปทำสังฆทานที่วัดใกล้ๆ จะด้วยวิธีใดๆก็ตามนะ ที่ทำให้ท่านเกิดความติดใจ ที่จะตระเวนออกไปทำบุญกับลูกสาว ไปแล้วมีความสุข ไปแล้วมันมีความรู้สึกเย็น ไปแล้วมันมีความรู้สึกดี เหมือนได้สั่งสมอะไรเพิ่มขึ้น เนี่ยนะเราทำไปเรื่อยๆนะ แค่ตั้งใจไว้ เอายังไม่ต้องกลับมา ยังไม่ต้องรีบร้อน แค่นี้ถือว่าได้ทำกรรมแล้วในทางที่เป็นบุญ ในทางที่เป็นมหากุศล ในทางที่ตอบแทนท่านอย่างถูกทาง ตามหลักของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสว่า วิธีที่จะตอบแทนพ่อแม่อย่างสมน้ำสมเนื้อมีทางเดียวคือ ทำให้ท่านศรัทธา ตั้งมั่น แล้วก็มีความตั้งมั่นในทาน มีความตั้งมั่นในศีล อันนี้เราก็เริ่มกรุยทางไว้แล้วแหละ

ดีเหมือนกันนะ ที่ไม่พูดว่าเราได้ดีเพราะธรรมะ เราจะชวนท่านมาตามทางที่เราเห็นว่าได้ดีแล้ว ก็เพราะว่าถ้าไปแหวกหญ้าให้งูตื่นเนี่ย บางทีท่านอาจจะไม่รับเอาดื้อๆ เพราะว่าคนสมัยนี้นะ ต้องยอมรับนะ แอนตี้เรื่องของศาสนากันมาก กลัวถูกหลอก กลัวว่าจะเข้ารกเข้าพง กลัวว่านั่น กลัวว่านี่ มันสารพัดข่าวแหละ ที่มันเป็นอัปมงคลในแวดวงศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นก็ต้องเห็นใจท่านแหละว่า จะเริ่มต้นขึ้นมาต้องใช้วิธีนี้ดีที่สุดเลย คือทำให้ท่านพูดกับเราดีๆก่อน รู้สึกถึงความเย็นจากเราก่อน แล้วก็มีความรู้สึกเชื่อว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเราไปในทางที่ดีขึ้นเนี่ย มันต้องเป็นอะไรบางอย่างที่ท่านยังไม่เข้าใจ ยังเข้าไม่ถึง หรือยังไม่รู้จักดีพอ พอเอ่ยปากคำเดียว ไม่ว่าจะด้วยทางเมล หรือว่าทางโทรศัพท์ หรือว่าจะกลับมาบอกด้วยปากเปล่าก็ตามเนี่ย ท่านจะเชื่อนะว่า เราไม่ได้โม้ เราไม่ได้ชักชวนเพราะว่าเราไปลุ่มหลง หรือว่าไปคลั่งศาสนา หรือว่าไปถูกหลอก ใครเค้าหลอกมาอะไรแบบนี้ มันเอาความเย็นนำมาก่อน เอาความเชื่อ เอาเครดิตที่น่าเชื่อถือเป็นตัวกรุยทางก่อน อย่างนี้ถูกต้องที่สุดเลยนะครับ

เอาละ สรุปคือไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกลับมา ยกเว้นแต่ว่าเราเกิดความกลัว เกิดความกังวลนะว่า เดี๋ยวจะไม่มีเวลาเพียงพอ ซึ่งถ้าส่ออาการแบบนั้นก็ยอมแลกกับทุกอย่างได้ แต่ว่าถ้าไม่ได้รู้สึกว่า เอ่อ เวลามันจะเหลือน้อย แค่ไม่เท่าไหร่เนี่ย เราก็ใจเย็นนิดนึง แล้วก็หาโอกาสที่มันมีความพร้อมพอ ที่จะกลับมาในช่วงเวเคชันที่ยาวนิดนึง ไม่ใช่กลับมาประเดี๋ยวประด๋าว วัน สองวันมันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่



๒) ทุกครั้งที่ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพรหม จิตคิดไปว่าสิ่งศักดิ์สิทธ์ท่านอาจรับรู้ได้ เพราะจะรู้สึกว่ามีแสงหรือมีบางอย่างมากระทบที่กลางศีรษะ จนเกิดอาการไม่เป็นตัวของตัวเอง พอฝืนก็จะปวดและก็หนักศีรษะ อ่อนเพลียมากๆ จนต้องยอมทำตามอาการที่เกิดขึ้น คือจะมีปฏิกิริยาร่ายรำออกมา ทั้งๆที่รำไม่เป็น มีสติแต่บังคับไม่ได้ จนจิตบอกว่าเราคือนางรำในอดีตชาติ ถามว่าสภาวะที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร เกิดจากอุปทานไปเอง หรือระลึกได้จริงๆ และหากไม่ต้องการให้เกิดสภาวะดังกล่าวขึ้นมาอีกควรจะทำอย่างไร?

แยกตอบเป็น ๒ ประเด็น ประเด็นของอาการทางจิตกับทางกายที่เกิดขึ้น แล้วก็ประเด็นที่ ๒ คือว่าควรจะทำอย่างไร

ก็มีอยู่จริงนะ เรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องของสิ่งที่มองไม่เห็น ถ้าหากว่าเราไปฝืนลองดี หรือว่าไปลบหลู่ หรือว่าไปทำอะไรผิดๆขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ ก็จะเกิดความรู้สึกที่กลางหัว กลางศีรษะ กลางกระหม่อม หรือบางคนก็อาจจะมาที่หน้าผาก มันมีแรงกระทำอะไรบางอย่าง ที่มันกระทบต่อสมองที่เป็นรูปธรรมโดยตรง เป็นคลื่นอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เกิดอาการเสียว มีอาการอย่างเป็นรูปธรรมก็แล้วกัน

พูดอย่างนี้ จะอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า กระแสไฟฟ้าในสมองมันเข้มข้นขึ้นมาเป็นพิเศษ ในบริเวณที่เกิดความรู้สึกมากๆ หรือจะอธิบายตามหลักของจิตวิญญาณที่ว่า มีพลังอย่างใหญ่เข้ามาบีบ เข้ามาเค้น เข้ามารบกวนเนี่ย ก็ก่อให้เกิดความกดดัน หรือว่าก่อให้เกิดอาการที่มันผิดปกติทางใจขึ้นมา ใดๆก็แล้วแต่นะ มันมีอยู่จริง มันเป็นไปได้จริง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปหาทางพิสูจน์เอากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอไป ต่อให้ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่นะครับ เป็นผู้ที่มีบารมีธรรมมากๆ จะเป็นใครก็แล้วแต่ ที่คนทั้งแผ่นดินให้ความเคารพนับถือ ถ้าหากว่าเราไปพูดไม่ดี หรือว่าไปลบหลู่ท่าน ไปต่อว่าโดยไม่มีความรู้จริงเนี่ย ก็สังเกตช่วงแรกๆ มันจะมีอาการแปลบเสียว หรือมีอาการหน่วงๆ หนักๆ ขึ้นมาในหัวอะไรแบบนี้ แต่พอไม่สังเกตนะ คือยังดื้อที่จะด่า ว่าท่านต่อไปเรื่อยๆ มันก็จะกลายเป็นความชาชิน เหมือนกับมันหนักเป็นปกติอยู่แล้ว เหมือนกับมีความรู้สึกทึบๆเป็นปกติอยู่แล้ว จะด่าเพิ่มสักนิดสักหน่อยอะไร มันก็เลยไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่

ถ้ามองว่าเราจะมีท่าทีอย่างไรถึงจะดี อันนี้ขอตอบเป็นกลางๆ อย่างผมเองเนี่ย ทุกวันนี้ก็กราบไหว้ทำความเคารพแต่พระพุทธรูป ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า เพื่อให้จิตมีอาการระลึกถึงที่พึ่ง ที่พึ่งเดียวนะ ที่ตัวเองมีอยู่ในชีวิตนี้ก็คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะครับ นอกจากนั้น ก็เป็นพ่อแม่ แล้วก็ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอน อบรม หรือว่าให้กำเนิดผมมา

ไม่ใช่กำลังพยายามบอกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นไม่มีนะ แล้วก็ตรงกันข้ามเลย บอกชัดๆเลยว่า รู้ว่ามี แล้วก็เชื่อ แล้วก็ประจักษ์กับตัวเอง มีประสบการณ์ตรงมาแล้วหลายๆทาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างศาสนาก็ดีนะ จะเป็นคริสต์ จะเป็นอิสลาม หรือว่าจะเป็นฮินดู จะเป็นพรหม หรือพราหมณ์อะไรต่างๆ มี มีจริง แล้วก็เป็นสิ่งที่เราไม่ควรไปลบหลู่ เพราะว่าถ้าลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องสูง บางทีเนี่ย ท่านอาจจะไม่ได้มาหักคอหรอก แต่ว่าตัวเราเองจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำอัปมงคล ทำนองเดียวกันกับผู้หลักผู้ใหญ่ เราไม่รู้จักว่าเราเป็นเด็ก หรือว่าท่านเป็นคนที่มีความสูงส่งมากกว่า มีคุณวิเศษมากกว่า มีศีลธรรมที่เหนือกว่าอะไรแบบนี้ เอาความหม่นของเราไปพุ่ง ไปกระแทกความสว่างที่ยิ่งใหญ่กว่าเนี่ย ผลก็คือมันจะยิ่งกลายเป็นความมืด เปลี่ยนจากหม่นกลายเป็นมืด เปลี่ยนจากที่ว่าป้อแป้ๆไม่แข็งแรงอยู่แล้ว กลายเป็นเหลวเป๋วไปเลยอะไรแบบนี้นะ ก็หลักของธรรมชาติเค้ามีอยู่อย่างนั้น อยู่ดีๆเอาหัววิ่งไปโหม่งกำแพงเนี่ย มันไม่เหมาะแน่ๆ

ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นไม่มี แต่ว่าเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรจะยึดไว้ประจำใจอยู่แล้ว แล้วก็ในพระพุทธศาสนา ในพระคัมภีร์ก็มีบอกไว้หลายที่ว่า ไม่ควรที่จะยึดสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นเป็นที่พึ่ง นอกไปจากพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เพราะว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านแสดงตัวเป็นที่รู้ จับต้องได้แล้วก็เห็นได้ว่า ถ้าเชื่อท่านแล้วนับถือท่านแล้ว ยึดท่านเป็นสรณะแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเราบ้าง มันเหมือนกับเป็น ท่านเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมา มีเลือดเนื้อ มีร่างกาย มีชื่อ มีนามสกุลนะ ที่บันทึกไว้บอกได้ว่าท่านเป็นใคร โตขึ้นมาอย่างไร บรรลุธรรมอย่างไร แล้วก็สั่งสอนอะไร แบบนี้เนี่ย ความรู้สึกของเราชัดเจนว่า เรากำลังนับถือใครอยู่ แต่ถ้าหากว่าไปกราบไหว้ ไปทำความเคารพ หรือว่ายึดถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น แล้วก็จะต้องไปทำตามธรรมเนียม หรือว่าวิธีการของหลักความเชื่อแบบนั้นๆ บางทีเราไม่รู้เลยว่ามาปะปนกับวิธีการปฏิบัติ หรือว่าธรรมเนียมการกราบไหว้แบบของเราอย่างไร

ถ้าหากว่าเราเข้าใจเรื่องของความแตกต่างทางศาสนา ความแตกต่างทางความเชื่อ ซึ่งจะมีผลกับการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน มีผลกับการให้ความเคารพ ทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ แค่ความเข้าในนั้นก็จะทำให้เราเกิดความรู้สึกว่า ยึดไว้หนึ่งเดียวเพียงพออยู่แล้ว ไม่ควรที่จะไปทำการสักการะ หรือว่าบูชาสิ่งศักดิ์สิทธ์ในความเชื่อแบบอื่นๆอีก เนื่องจากบางทีเราอาจจะไม่รู้ก็ได้นะ ว่าท่านพอใจหรือไม่พอใจ ที่ให้ท่านเนี่ยมาตั้งอยู่ชั้นรอง หรือว่าให้ท่านเนี่ยมาอยู่ใต้พระพุทธรูปนะครับ ก็เป็นสิ่งที่เราอาจจะต้องเลือกเชื่อนิดนึง

เอาละ ก็คงพูดอะไรแบบตรงไปตรงมาชัดเจนได้แค่เพียงเท่านี้นะ เพราะว่าพูดไปมากๆ เดี๋ยวเข้าใจผิดกัน กลายเป็นว่าจะไปให้ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา หรือความเชื่อแนวทางอื่น



๓) เราไหว้ศาลพระภูมิได้ไหม มีคนบอกว่านับถือพุทธไม่ควรไหว้หรือยึดถือเป็นสรณะอีก?

เอาผมเองนะ คือถ้าเป็นศาลพระภูมิ หรือว่าเป็นรูปศักดิ์สิทธิ์อื่น ที่คนอื่นเค้ากราบไหว้กัน อย่างเวลาผ่านผมก็ทำความเคารพนะ ยกมือไหว้นะ คือไม่ใช่ไปทำเป็นพิธี หรือว่ามีใจกราบไหว้อะไรเป็นพิเศษ แต่ว่าทำความเคารพด้วยใจที่มีความอ่อนน้อม ด้วยความรู้สึกว่าเราเป็นผู้น้อย ด้วยความรู้สึกว่าเราเป็นมนุษย์ แล้วถ้าหากว่าท่านจะมีความเป็นจิตวิญญาณที่สูงส่ง เหนือภพ เหนือภูมิของมนุษย์อยู่เนี่ย เราก็ได้ไหว้สิ่งที่มีคุณวิเศษ สิ่งที่ดีนะครับกว่ามนุษย์แน่ๆล่ะ

คือไหว้ด้วยใจแบบไหน ไหว้ด้วยความรู้สึกแบบไหน ตัวนี้เป็นตัวชี้ว่า เรายึดอะไรเป็นสรณะ ถ้ากราบไหว้พระพุทธรูปนะด้วยความเคารพสุดซึ้ง กราบไหว้ด้วยอาการที่ว่า เราจะมาสวดมนต์ถวายพระพร สวดมนต์สรรเสริญคุณของท่านเป็นประจำทุกวัน อย่างนี้เรียกว่ากราบไหว้ด้วยความยึดไว้เป็นสรณะ กราบไหว้ด้วยความมีใจระลึกถึงพระคุณของท่านว่า เราได้ดีมีสุขมาเนี่ย หรือว่ามีความเติบโตทางวิญญาณมา ก็เพราะว่า เราได้พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณ

แต่ถ้าหากว่าผ่านศาลพระภูมิแล้วยกมือไหว้ทำความเคารพ หรือบางคนนะอาจจะพิเศษหน่อย ผ่านศาลพระภูมิแต่ละแห่ง แล้วถึงกับบอกได้เลยศาลพระภูมินี้สว่างมาก ศาลพระภูมินี้ตุ่นๆ ศาลพระภูมินี้มีความรู้สึกน่าเลื่อมใสอะไรแบบนี้ แล้วไหว้ไปตามคุณธรรมของแต่ละศาลพระภูมิ สิ่งที่แฝงอยู่ในศาลพระภูมิ ด้วยอาการที่มีความเคารพ ด้วยอาการที่มีความยกย่องในคุณงามความดีท่านได้ นี่อย่างนี้ยิ่งดีเลย

เพราะว่าตามหลักของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ยังให้บวงสรวงเทวดาได้นะ คือหมายความว่าให้ทำความเคารพ แล้วก็ให้ระลึกถึงคุณของเทวดาว่ามีอะไรบ้าง ก่อนที่จะไปเป็นเทวดาท่านทำกรรมอะไรกันมา นี่อย่างนี้เป็นการเอาใจไปอยู่กับของจริง พูดง่ายๆก็คือ เส้นทางแห่งการเป็นเทพเนี่ย เราระลึกถึงอยู่ด้วยการเอาอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นตัวตั้ง สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่รู้สึกได้ด้วยใจนี่แหละ อย่างเวลาที่เราทำพิธีบวงสรวง หรือว่าเราไปกราบไหว้หรือยกมือไหว้ แค่เดินผ่านแล้วยกมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อมนี่นะ แล้วเกิดความรู้สึกอย่างไร มีความชื่นใจมากหรือมีความชื่นใจน้อย นั่นก็เรียกว่าได้กระทำเทวตานุสติแล้ว

อันนี้เพื่อความชัดเจนอีกนิดนึงคือ เดี๋ยวคนจะสงสัยว่าผมให้คำแนะนำแตกต่างจากคำถามที่แล้วอย่างไร อย่างกรณีของข้อที่สอง อาจจะมีใจผูกพันกับพวกเทพเป็นพิเศษนะ ด้วยความรู้สึกลึกๆที่มันอยู่ในใจ แต่ว่าของเราเนี่ย อาจจะแค่ด้วยความรู้สึกว่าอยากทำความเคารพ อยากทำการกราบไหว้ธรรมดา ไม่ได้ยึดว่าเป็นสรณะ ไม่ได้ยึดว่าจะต้องโยงใจไว้กับพวกท่าน แค่เดินผ่าน หรือว่านะมีการทำพิธีกันในบริษัท หรือว่าตามบ้านตามเรือนอะไรเนี่ย เราก็ยกมือไหว้แสดงความเคารพตามมารยาทอันดี ที่ผู้น้อยพึงมีต่อผู้ใหญ่แบบนี้ อย่างนี้นอกจากจะไม่เป็นไรแล้ว ยังได้บุญด้วย ได้บุญอันเกิดจากการเคารพ ทำจิตให้มันมีความอ่อนน้อมนะครับ อันนี้ พระพุทธเจ้าถือเป็นมงคลทีเดียว

แล้วก็นอกจากนั้นที่จะได้เป็นของแถมก็คือ ถ้าหากว่าเราทราบว่า เทวดาหรือว่าผู้ที่อยู่ตามศาลพระภูมิเนี่ย ซึ่งบางทีก็มาอยู่กันแบบเรียกว่า เอาตัวทั้งตัวมาอยู่ เอาร่างอันเป็นทิพย์มาอยู่ ถือว่าศาลพระภูมิเป็นวิมาน หรือบางท่านแค่ส่งจิตมาตามคำเชิญ ส่งจิตมาเฉยๆ ถ้าเราสามารถรู้ได้ ก็จะได้ถือเป็นโอกาสระลึกถึงนะว่า ทำกรรมอะไรจึงได้ไปอยู่ในที่สูงแบบนั้น



๔) ถ้าทะเลาะกันก่อนทำบุญแล้วต่างสำนึกผิดเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป จะมีวิธีบรรเทากรรมดำนั้นให้เบาบางลงไหม?

ก็อย่างนี้นะคือ ความสว่างในขณะทำบุญเนี่ย เราก็จะรู้ได้ด้วยใจว่า มันมีความหม่นหมอง มันมีความเปื้อนไปนิดนึง เพราะว่าถ้าอาการตั้งต้นที่จะทำบุญเนี่ย มันหม่นๆ มันมืดๆเสียแล้ว ก็คงจะทำบุญด้วยใจที่สว่าง ด้วยใจที่มันเป็นมงคลไม่ได้ แล้วถ้าหากว่าทำบุญร่วมกัน ด้วยใจที่มันเป็นมงคล ด้วยใจที่มันมีความสว่างไม่ได้เต็มที่นะ สายใยความผูกพัน มันก็จะพลอยมีมลทินไปด้วยนะครับ อันนี้เป็นกฎตายตัวเลย ทำบุญกันด้วยลักษณะอาการของใจแบบไหน ผลคือสายใยมันก็จะมีลักษณะแบบนั้นไปด้วย

อย่างเช่นที่ว่า ถ้าทำบุญไปด้วยและก็ทะเลาะไปด้วยบ่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้น แน่นอนเลยไปดูได้เลย ไม่ว่าจะคู่ไหนนะครับ มันจะมีแต่เรื่อง คืออะไรนิดอะไรหน่อย ไม่อยากให้อภัย จะยึดมั่นถือมั่นไปหมดนะครับ แล้วก็ทะเลาะกันได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือว่าเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่อยู่แล้วก็ขยายให้มันใหญ่โตขึ้นไป ส่วนเรื่องเล็ก เรื่องขี้ปะติ๋ว สามารถที่จะเป็นไฟลามทุ่ง ขยายใหญ่ได้แบบไม่จำกัด เนี่ยตรงนี้แหละที่ดูได้เลยว่า อาการของคนที่ไปทำบุญด้วยกันเนี่ย

แต่ตรงกันข้ามถ้าหากว่า หลายคู่เลยนะ ทดลองมาแล้วได้ผลนะ ถ้าก่อนหน้านี้ทะเลาะกันบ่อยๆ ลองดู ตกลงกัน ตั้งกติกากันไว้ว่าจะไปทำบุญร่วมกัน ด้วยอาการของใจที่มันสงบ ด้วยอาการของใจที่มันเย็น ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรชวนให้เกิดความรู้สึกขัดเคืองกัน เราจะให้อภัย วันนั้นนะ ขอไว้วันนึง เป็นวันพิเศษเลย แม้แต่ความคิดด้วยใจเนี่ย ก็จะไม่มีความขุ่นเคืองกัน ถ้าขุ่นเคืองไปแล้วก็แล้วไป แต่ว่าอย่าให้ออกมาทางปาก อย่าให้ออกมาทางสีหน้า อย่าให้ออกมาทางการกระทำ พฤติกรรมแบบประชดประชัน หรือว่าแง่งอนกันก็แล้วกัน ถ้าตกลงกันอย่างนี้แล้ว ทำได้กันเป็นสิบๆครั้งนะ จะพบเลยว่าการทำบุญเนี่ย ผลของการทำบุญก็คือ การทำให้ใจมีความสว่างร่วมกัน สายใยที่มันมีความสว่าง มันมีความเยือกเย็น ก็จะผูกใจให้คิดดีต่อกัน แล้วก็เกิดความรู้สึก เอ๊ะ อยู่ดีๆ มันอยากจะพูดดีต่อกันขึ้นมาเฉยๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่วันทำบุญนะ อันนี้ก็เป็นผล

สำหรับกรณีของเจ้าของคำถามนี้ คำตอบก็คือว่า อย่าไปกังวลกับที่พลาดไปแล้ว เพราะว่ามันไม่ได้มีผลผูกมัด คือตราบใดยังไม่ตายนะ เราสามารถแก้ได้เสมอ แต่ถ้าตายไปแล้วอันนั้นแก้ไม่ได้ มันต้องไปรับผลลูกเดียว คือถ้ายังไม่ตายเนี่ย เราแก้ตัวใหม่ได้ คิดซะว่าทะเลาะกันหนึ่งรอบตอนไปทำบุญเนี่ย ต่อไปอีกสิบรอบเราจะไม่ทะเลาะกันเลย เราจะพูดดีต่อกัน เราจะคิดดีต่อกันอย่างเดียว ไม่ว่าจะมีอุปสรรค ไม่ว่าจะมีอะไรมาชวนให้เกิดความขัดเคืองสักแค่ไหน เห็นมันเป็นมารให้หมด เห็นมันมาพิสูจน์ใจ มันมาท้าทาย มันมารบกวนให้จิตใจมันเป๋ แล้วก็ไปก่อเวรกัน เราจะต้องเอาชนะมันให้ได้

คิดง่ายๆอย่างนี้ก็แล้วกันว่า ของเดิมมันเหมือนบอระเพ็ดนะ แค่หยิบมือเดียว เราก็เติมน้ำใหม่เข้าไปเป็นสิบๆขันนะ ความขมตรงนั้น มันจะละลายเจือจางหายไปเองนะครับ และก็อาจจะกลายเป็นหวานได้ด้วย ถ้าหากเราใส่น้ำตาล เติมน้ำตาลเข้าไป


เอาละครับ ก็วันนี้ทดลองกันเพียงเท่านี้ คงจะต้องกล่าวล่ำลากันแล้ว สวัสดีครับ ขอให้มีความสุข มีความเจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านนะครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น