วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๑๑๕ / วันที่ ๑๕ ต.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันจันทร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/dungtrin ก็จะมีสเตตัสขึ้นมาให้ไถ่ถามนะครับ ในเวลาสามทุ่มของวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เป็นประจำ



๑) รู้สึกว่าตัวเองมีความยึดมั่นถือมั่นในตำแหน่งหน้าที่การงานและหน้าตามากค่ะ แคร์ความคิดคนอื่น กลัวคนมองเราไม่ดี ทุกข์ในชีวิตส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้ ควรจะแก้ไขพัฒนาตัวเองอย่างไรดี แต่กับเรื่องเงินทองกลับไม่ค่อยยึดติดเลยนะ รู้สึกสละได้ง่ายมาก แล้วก็อภัยคนอื่นได้ง่ายด้วย?

ก็ดีแล้วนะ ขอให้มองอย่างนี้ก่อนว่า ชีวิตเรานี่นะอยู่ฝ่ายสว่าง อยู่ฝ่ายที่เป็นกุศลมากกว่าที่จะอยู่ฝ่ายอกุศลนะ อย่างเรื่องของการให้ทาน มีน้ำใจสามารถที่จะให้ทาน จะเป็นทรัพย์สินหรือจะเป็นความโกรธแค้นนี่ สามารถสละคืนให้กับความว่างในธรรมชาติได้

อันนี้ก็ถ้ามองเป็นจิตนะ ก็จะเห็นว่า จิตมีความเป็นอิสระจากกิเลสพอสมควรนะครับ เราจะรู้สึกว่าจิตของตัวเองนี่ ถ้าเทียบกับคนอื่นแล้วนี่มันมีความแห้งกว่า มันมีความรู้สึกสะอาดกว่านะ ของคนอื่นนี่มันจะแฉะ มันจะเปียก แล้วก็มันจะค่อนข้างออกแนวสะสมขยะทางอารมณ์ไว้เยอะ ถ้าหากว่าเรามองนะว่าคนนี่จะสะสมขยะทางอารมณ์กันมากที่สุด ก็จากความโกรธแค้น แล้วก็ความรู้สึกชิงชังกันนะ ก็ถือว่าของเรานี่ไม่สกปรกเท่านั้นแน่นอนนะครับ

เพราะเหตุผลคือ สามารถให้อภัยคนอื่นได้ง่าย ส่วนใหญ่พวกให้อภัยง่ายนี่นะ จะถูกมองเป็นพวกใจอ่อนนะ ขี้สงสาร หรือว่าเป็นประเภทที่ อย่างไรล่ะ คือ เหมือนกับมาขออะไรได้ง่ายๆ อะไรแบบนั้นน่ะนะ คือทำอย่างไรกับเราก็ได้ แล้วเดี๋ยวค่อยไปขอโทษเอา ซึ่งถ้ามองแบบคนทางโลก เขาจะมองว่านั่นเป็นคนที่ยอมเสียเปรียบนะ แต่ถ้าหากว่าเรามองอย่างคนทางธรรม ก็จะมองว่านี่เป็นคนที่มีโอกาสได้เปรียบกว่าคนอื่นทางความสว่าง ทางความสูงส่งของจิตวิญญาณนะ แล้วก็ที่สำคัญที่สุด เราสามารถข้ามพ้นความสูงส่งของจิตวิญญาณไปได้ ด้วยการที่จะไม่ยึดติดถือมั่นในตัวในตน เพราะอะไร?

เพราะว่าที่จะยึดติดถือมั่นในตัวในตนนี่นะ สำคัญเป็นอันดับแรกๆเลยก็คือ การผูกใจเจ็บ การผูกใจโกรธ การอาฆาตแค้นกัน ถ้าหากว่ายังละเรื่องหยาบๆร้อนๆแบบนั้นไม่ได้นี่นะ ไม่มีทางล่ะที่ตัวตนมันจะไปไหน เพราะตัวตนนี่มันผูกยึดอยู่กับตัวนี่ มีตัวฉันที่เป็นผู้ถูกกระทำ และตัวฉันนี้จะต้องไปแก้แค้นเอาคืนให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่สมศักดิ์ศรีนะ เหมือนเสียศักดิ์ศรีไป ยังยึดติดกันในเรื่องของได้เปรียบเสียเปรียบ หรือว่าเรื่องศักดิ์ศรีใครโตมากโตน้อยนี่ อันนี้ก็เรียกว่า มีอัตตาที่เหนียวแน่นนะครับ

ถ้าหากว่าสละได้ง่าย อภัยคนอื่นได้ง่ายนี่ก็มีอัตตาที่น้อยลงแล้วชัดเจน แล้วก็เรื่องทรัพย์สินเงินทองก็เหมือนกันนะ ถ้าหากว่าเราสละได้ง่ายก็เหมือนกับสละความตระหนี่ สละความยึดติดอะไรที่มันพะรุงพะรังออกไป แล้วก็พร้อมจะไปสละในขั้นประณีตกว่านั้นนะ คือความรู้สึกในตัวตน

เอาล่ะที่นี้มาถึงคำถาม คือคำถามจะมุ่งเน้นไปเรื่องของความยึดมั่นถือมั่น ในตำแหน่งหน้าที่การงานแล้วก็หน้าตา เอาล่ะเรามีทุนนะ คือสามารถที่จะสละเรื่องความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความชิงชังได้ แล้วก็เรื่องของทรัพยทานนี่นะ เราสามารถทำได้ง่ายๆ แต่ว่ามาติดในเรื่องของตัวตนที่อยู่ในเรื่องของหน้าตา เรื่องของส่วนสูงทางตำแหน่งนะครับ แล้วก็เรื่องของความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติของฆราวาส

ถ้าหากว่าฆราวาสไม่มี ความทะเยอทะยาน ไม่มีความมุ่งหวังนะอยากจะก้าวหน้าขึ้นไปเป็นลำดับในสายการงานนี่ โอกาสที่จะเฉื่อยชามีอยู่สูงมาก อันนี้เราต้องแยกดีๆนะ คือในทางธรรมนี่นะ เราก็อาจจะเจริญสติหรืออาจจะมีการพิจารณาธรรมในแง่มุมต่างๆไป แต่ในทางโลกนี่ ถ้าหากว่ามันยังมีความยึดมั่นถือมั่นตำแหน่ง หรือว่ามีเรื่องของเกียรติยศ เรื่องของความอยากจะโปรโมตไปเรื่อยๆ อะไรแบบนี้นี่ ก็ให้ถือว่าเป็นธรรมดา เป็นปกติก่อน

นี่มองในแง่ของชาวโลกนะครับ มองในแง่ที่ว่าเรายังเป็นฆราวาสอยู่ เรายังอยู่ในฐานะที่ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนะ ถ้าหากว่าไปพิจารณาเป็นธรรมะไปหมด หรือว่าไม่อยากมีหน้ามีตา ไม่อยากได้ตำแหน่ง ไม่อยากได้ความก้าวหน้าเลยนี่ ส่วนใหญ่ก็จะลงล็อกเดียวกันคือ เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายก้ำๆกึ่งๆนะ คือทั้งเบื่อทั้งอยาก อยากจะอยู่ก็อยากจะอยู่ อยากจะไปก็อยากจะไป แล้วมันก็เลยไม่ได้ ยักแย่ยักยันน่ะ ไม่ได้เอาอะไรสักอย่างหนึ่งนะ

ทีนี้ถามว่ามันจะลงตัวกันได้อย่างไร ระหว่างโลกกับธรรม ระหว่างความรู้สึกนะ ที่มันยังยึดมั่นถือมั่นในตำแหน่งหน้าที่การงาน กับความรู้สึกอยากจะสละอุปาทานในตัวตนเพื่อให้ถึงมรรคถึงผล เพื่อให้ได้มีโอกาสกับท่านบ้างนะ ได้ลิ้มรสความสุขอันเป็นวิเวกนะ ความสุขอันเป็นวิมุตติ ความสุขอันเป็นสิ่งไร้มลทินนะครับ ถ้าหากว่าเราอยากจะได้ทั้งสองอย่างจะทำอย่างไร ก็คือก่อนอื่นเลยนะ ให้เซตลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง ใจของเรานี่นะต้องผูกอยู่กับงานก่อน ต้องท่องไว้ดีๆนะว่าเราเป็นฆราวาส ถ้าหากว่าใจผูกอยู่กับงานแล้วก็หลงใหลไปกับหน้าที่การงาน อันนั้นขอให้มองว่าเป็นเรื่องปกติก่อนนะครับ

จากนั้นถ้าทำงานเต็มที่แล้ว โอกาสที่จะเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือเกิดความรู้สึกว่า นี่เป็นแค่สิ่งที่มันมาแล้วมันก็ไปนะ ตำแหน่งเก่าๆผ่านมาเพื่อให้เหยียบเป็นบันไดขั้นต่อไป เดี๋ยวมันก็ต้องผ่านไป ขึ้นไปเรื่อยๆตามจังหวะของชีวิต ตามจังหวะของการทำงานนะ เราก็มองจากตรงนั้นก็ได้ว่า อะไรๆที่กำลังจำเจอยู่ กำลังน่าเบื่ออยู่ กำลังรู้สึกอึดอัดอยู่นะ ในที่สุดมันก็จะต้องเปลี่ยนไป คือมองเป็นภาพรวมนะ ไม่ว่าจะทำงานอะไรอยู่ในปัจจุบัน แล้วเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย เกิดความรู้สึกว่ามันเหนื่อยนะ นี่ตรงนี้เราก็มองว่า เดี๋ยวมันก็จะต้องต่างไป พอเราเลื่อนขั้นขึ้นไปหรือว่ามีหน้าที่ที่จะถูกโยกย้าย หรือว่าจะสลับสับเปลี่ยนอะไรก็แล้วแต่ มันอาจจะหนักขึ้นก็ได้ มีอะไรที่หนักขึ้นรออยู่ หรือไม่ก็อาจจะเบาลงนะ

ไม่ว่ามันจะจะเบาลงหรือว่าจะหนักขึ้น นั่นก็คือจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป เราสามารถเห็นเป็นขั้นบันไดชีวิตได้แบบนี้นะ แล้วก็ คือมารวมลงที่ความรู้สึกน่ะ ไม่ใช่ว่าจะมองกันเป็นความเปลี่ยนแปลงแบบว่านะ ปีหน้าจะได้โปรโมตเป็นอะไร หรือว่าจะมีใครขึ้นมาแซงหน้าหรือเปล่า อะไรทำนองนั้นนะ แต่มองที่ความรู้สึก มองที่ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นเป็นปกติน่ะ ในปีนี้รู้สึกอย่างไร รู้สึกเบื่อหน่าย รู้สึกว่าอึดอัดกับการงาน หรือมีความรู้สึกกระตือรือร้นเป็นพิเศษ

ส่วนใหญ่นี่นะ คนที่จะมีความยึดติดถือมั่นกับตำแหน่งหน้าที่การงานนี่ โดยหลักจะมีความรู้สึกกระตือรือร้นนะ ถ้าหากว่าเรารู้สึกกระตือรือร้น ให้มองว่าความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกฝ่ายดี ฝ่ายที่เกื้อกูลในหน้าที่การงาน เรามองไปว่าความกระตือรือร้นนี่ มันอยู่ได้นานกี่ปี หรืออยู่ได้นานกี่เดือน พอมองเป็น คือพอมีความเคยชินที่จะสังเกตเข้ามาว่า ความกระตือรือร้นของเรานี่ มันอยู่ได้นานแค่ไหนนะ เออ จากสเกลแรกนี่ที่เป็นเดือนเป็นปีนี่ มันจะค่อยมองมาเป็นวันๆ วันนี้กระตือรือร้นมาก วันต่อมากระตือรือร้นน้อยลง หรือว่าอาทิตย์หน้านะ มันกระตือรือร้นมากขึ้นกว่านั้น อีกราวกับว่ามีไฟลุกท่วมตัวเลยนะ มีเหตุต่างๆจูงใจให้โฟกัส ให้อยู่กับปัจจุบันและอนาคตอันน่าตื่นเต้น แต่บางช่วงนี่ติดขัดไปหมด แม้แต่ความรู้สึกที่เราอยากจะผลักดันสิ่งต่างๆให้มันลุล่วงไป มันก็คล้ายๆกับมอดตัวลง

คล้ายๆกับมีความรู้สึกเหมือน คนที่ปีนเขาอยู่แล้วมีอะไรรบกวนเยอะเหลือเกิน ไม่อยากปีนต่อ ทำไปแบบซังกะตาย แต่ก็เหมือนกับจะต้องนะ ไหนๆขึ้นเขามาแล้ว ก็ต้องขึ้นต่อไปจนกว่าจะถึงยอดเขา

ความรู้สึกต่างๆนี่นะ ที่มันเกิดขึ้นระหว่างการทำงานอย่างกระตือรือร้นนี่สามารถถูกสังเกตได้ สามารถถูกรู้ ถูกมอง ถูกเห็น ทั้งสเกลใหญ่แล้วก็สเกลเล็ก จนกว่าจะเกิดความรู้สึกว่า ความกระตือรือร้นนี่นะ มันไม่เที่ยง ตามการปรุงแต่งของการงานในหน้าที่หลักๆแต่ละวันนั่นแหละ คือดูแค่นี้ก่อน ดูเอาแบบหยาบๆ ดูเอาแบบง่ายๆ ดูเอาแบบที่เราจะรู้สึกว่าทั้งโลกกับทั้งธรรมนี่ มันมาผสมอยู่ด้วยกันตรงนี้แหละ ตรงที่เรายังตั้งหน้าตั้งตา ตั้งใจทำงาน แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นความไม่เที่ยงที่เกิดขึ้นในภาวะภายใน

ถ้าใครรู้สึกว่า เอ้ย ไปสังเกตความกระตือรือร้นคงไม่ไหวหรอก เพราะไม่ค่อยกระตือรือร้นนะ จะเฉื่อยชาเสียมากกว่า ก็เอาความเฉื่อยชานั้นก็ได้มาสังเกตดูนะ ปีนี้เฉื่อยชามากหรือเฉื่อยชาน้อยกว่าปีก่อน แล้วค่อยๆย่อยลงมา ถ้ามันมีความเคยชินจริงๆที่จะคิด ที่จะคำนึงถึงความเฉื่อยชาของตัวเองนี่นะ มันจะย่อยลงมาเป็นสเกลเล็กนะ ในระดับของอาทิตย์ ในระดับของวัน แล้วในที่สุดในระดับของชั่วโมง มันจะเห็นว่าทำงานอะไรแล้วเกิดความเฉื่อยชามาก ทำงานอะไรแล้วเกิดความเฉื่อยชาน้อยนะ

แล้วก็ด้วยการจัดสังเกตอยู่อย่างนั้นเอง มันก็จะรู้สึกถึงความไม่เที่ยงของความเฉื่อยชานะ เห็นว่ามันแล้วแต่การปรุงแต่งของงานในแต่ละลักษณะที่เราชอบใจหรือไม่ชอบใจ ที่มันมีอุปสรรคมากหรือมีอุปสรรคน้อย ที่มันมีรางวัลล่อใจอยู่ หรือไม่มีรางวัลล่อใจอยู่เลยนะ ปัจจัยต่างๆมันจะปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกเฉื่อยๆ หรือว่าเกิดความรู้สึกว่า เออ มันมี ค่อยมีไฟขึ้นมาหน่อย

ถ้าเห็นความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในหน้าที่การงานของเราได้ อย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการหลงไปติด ติดแบบชนิดถอนไม่ออกนี่นะ หรือว่าความรู้สึกเกี่ยวกับหน้าตาว่า หน้าฉันจะต้องใหญ่กว่าคนอื่นนะ ทั้งหลายทั้งปวงนี่นะ มันจะค่อยๆลดลงเอง นั่นเพราะว่าโฟกัสของจิตนะ แทนที่มันจะมุ่งไปข้างนอกอย่างเดียว มันสามารถย้อนกลับเข้ามา มีความเคยชินที่จะรู้ ที่จะดูข้างในด้วยนะครับ นี่แหละ ตรงนี้คีย์สำคัญอยู่ตรงนี้

ถ้าหากว่าเอาแต่พุ่งออกไปข้างนอกอย่างเดียว อย่างไรมันก็ต้องหลงติดแน่นะ จะรู้ธรรมะ จะท่องสูตรอะไรมาได้แค่ไหนก็ตาม อย่างไรๆมันก็ไปทางโลกท่าเดียวนั่นแหละ แต่ถ้าหากว่ามีความเคยชิน ที่จะสร้างจุดสังเกตเข้ามาที่ความรู้สึกภายใน อันนี้อย่างไรๆนะ ไม่ว่าจะรู้ธรรมะน้อยหรือมากแค่ไหน ในที่สุดเราจะเห็นนะครับว่า จิตค่อยๆถอนออกมาจากอาการยึดมั่นถือมั่น แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เสียงานด้วย



๒) ช่วงนี้รู้สึกจิตมันมักจะหลบๆ ทำเฉยเมยนิ่งๆ เหมือนไม่ค่อยอยากจะรับรู้อะไร อีกทั้งปล่อยเพลิน หลงลืมสติไปมาก คงเป็นเพราะตัวขี้เกียจ ทิ้งการปฏิบัติไปนาน ทั้งในรูปแบบและในชีวิตประจำวัน ชีวิตเมื่อก่อนนี่เจ็บป่วยทรมานมากช่วงหนึ่งเลย แล้วก็ให้ความสำคัญมุ่งไปกับการออกกำลังและการรักษาตัว แต่ตอนนี้แข็งแรงขึ้นมากแล้ว ผมไม่ได้ภาวนาก็เลยไม่กล้าไปพบครูบาอาจารย์เลยครับ ห่างไปเรื่อยๆ ขอคำแนะนำว่า ถ้าจะกลับมาเริ่มเอาจริงใหม่?

เอาตรงนี้ก็แล้วกันนะครับ คือการที่เราเคยปฏิบัติมานานนี่นะ แล้วหยุดไปช่วงหนึ่ง จะด้วยสาเหตุติดขัดอะไรก็แล้วแต่ จะเรื่องของสุขภาพ จะเรื่องของหน้าที่การงานที่ยุ่งเหยิง หรือจะเรื่องของชีวิตส่วนตัว ที่มันมาดึงเราไปนะครับ ก็ขอให้มองว่าเวลาที่เรากลับมานับหนึ่งใหม่นี่ เรานับหนึ่งก็จริง แต่ว่าด้วยกำลังขา ด้วยกำลังแขน แล้วก็ด้วยประสบการณ์ของคนที่เคยนับห้า นับหก มาแล้วนะ

นับหนึ่งใหม่นี่ มันเป็นนับหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกจะได้ไม่ต้องไปติด จะได้ไม่ต้องไปมัวแต่นะ คิดหลงว่า เราถึงขั้นห้า ขั้นหกมาแล้ว แต่เป็นอิสระพอที่จะรู้สึกว่า เออ กลับไปเป็นเด็กน้อย กลับไปเป็นเด็กประถมนะ หรือกระทั่งเด็กอนุบาลที่ไม่ประสีประสาอะไรกับเส้นทางนี้ แต่ด้วยประสบการณ์ที่เคยเก๋ามาก่อน ด้วยประสบการณ์ของคนโตมาก่อน มันจะมีความรู้สึกเป็นเด็กโข่งที่ได้เปรียบกว่าเด็กอนุบาลหรือว่าเด็กประถมทั่วไปนะครับ คนอื่นนับหนึ่งแบบไม่รู้ประสีประสาแล้วก็หลงวน แต่เรานับหนึ่งแล้วพร้อมที่จะก้าวไปถึงสอง สาม สี่ ได้โดยง่ายด้วยเวลาอันสั้น

วิธีที่จะก้าวออกจากก้าวแรกได้ง่ายที่สุดนะ ก็ทำตามคำพระพุทธเจ้านั่นแหละนะ สังเกตอยู่ว่า ขณะนี้เราหายใจเข้าหรือหายใจออกอยู่ หายใจยาวหรือหายใจสั้นอยู่ จนกระทั่งมันเกิดการรับรู้ขึ้นมาว่า เออ ไอ้ที่หายใจอยู่นี่นะ มันเป็นลมหายใจ มันเป็นลักษณะของธรรมชาติที่มีอาการพัดเข้าแล้วก็พัดออก ส่วนจิตนี่ของเราที่มันรู้ มันดูอยู่ นี่เป็นต่างหากนะ ถ้าหากว่าถึงความรับรู้ตรงนั้นได้นี่ ตรงนี้แหละมันต่อติดแล้ว นี่เขาเรียกว่านับหนึ่งใหม่จริงๆนะ นับหนึ่งใหม่ตรงที่หายใจเข้า หายใจออกอย่างธรรมดานี่ แล้วก็มีสติรู้ว่า กำลังนี่เป็นอย่างนี้อยู่นะ อาการพัดเข้าเป็นอย่างนี้ อาการพัดออกเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวก็ยาว เดี๋ยวก็สั้น นี่มันเริ่มเหมือนกับเด็กประถมทั่วไป เริ่มเหมือนกับเด็กอนุบาลทางวิปัสสนาทั่วไป

แต่ว่าพอจิตมันเข้าถึงการรับรู้ว่า เออ ตัวของมันเองนี่มีหน้าที่รับรู้อยู่ มีหน้าที่ดูอยู่ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ดูอยู่ ไม่ใช่เป็นลมหายใจเสียเอง นี่ตัวนี้นะมันจะต่อติด มันจะเห็นว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ เออ อิริยาบถนั่งลักษณะมันเป็นอย่างไร มันมีความรู้สึกเหมือนหลังตรงนะ คอตั้งนะ แล้วก็ในอาการหลังตรง คอตั้งอยู่นี่ รู้สึกว่ามันมีความโปร่ง มันมีความเบา หรือว่ามันมีความทึบ นี่มันจะรู้ทาง แล้วพอรู้ทางนี่นะ มันก็จะสังเกตออกว่า ลักษณะความรู้สึกโปร่ง ลักษณะความรู้สึกทึบแน่น หรือว่าจะมีความสุขมาก จะมีความสุขน้อย อย่างไรก็ตามนี่ มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นี่ตัวนี้นี่นะ ถ้าเริ่มติด สตาร์ทติดแล้ว แค่ห้านาทีนี่บางทีมันก้าวพรวดเลยนะ แซงจากที่เคยได้ขั้นห้า ขั้นหก ไปเป็นขั้นเจ็ด ขั้นแปดเสียอีกนะ บางคนเป็นอย่างนั้นนะ

เพราะอะไร เพราะว่ารู้แล้วนะว่าเคยผ่านมาอย่างไร แล้วก็ตัดความหลงตัวแบบผิดๆไปนะ ในคราวก่อนนี่ ถึงขั้นห้า ขั้นหกนี่ ชอบไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเขาว่า นี่ฉันขั้นห้า ฉันขั้นหกแล้วนะ ฉันสามารถให้คำแนะนำกับขั้นสอง ขั้นสามได้นะ ฉันมีคำชมจากครูบาอาจารย์มาแค่นั้น แค่นี้นะ นี่มันจะสลัดทิ้งไป เพราะว่ากลับไปเริ่มต้นใหม่ มันมีความรู้สึกเหมือนกับ เออ เราไม่ได้มีอะไรน่าชมเชยเลย เราไม่น่า เราไม่มีอะไรที่น่าประมาทเลย นี่ข้อดีของการกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ของคนที่ผ่านขั้นห้า ขั้นหกมาแล้ว



๓) ชีวิตความรักลุ่มๆดอนๆ มาตลอดค่ะ อาจจะเพราะเคยผิดศีลข้อกาเมฯ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ศึกษาธรรมะอย่างแท้จริง มาระยะหลังสามปีนี้ ประกาศจะถือศีลห้าอย่างเคร่งครัด โดยแฟนที่คบกันอยู่ในปัจจุบันตอนนี้ ก็คบหามาได้แปดปีแล้ว แต่รู้สึกว่ากำลังเล่นกับไฟอยู่ คือพอดีได้ไปเจอเพื่อนผู้ชายตอน ม.๓ สมัยที่เคยเรียนกันนั้นน่ะ ตอนอยู่ ม.๓ เป็นแฟนกันระยะสั้นๆแบบเด็กๆ ยังไม่ได้ไปถึงขั้นได้เสียกัน แต่ก็เคยกอดจูบกันบ้าง ด้วยภาระหน้าที่ทำให้ห่างกันไป แต่ไม่ได้เจอกันกว่ายี่สิบปี มาช่วงสามปีนี้ได้เจอกันในเฟสบุ๊ค เราจำกันได้ แล้วก็เขาส่งข้อความมาบอกว่า ยังรักอยู่ ซึ่งทำให้หนูหวั่นไหวมาก แล้วก็ความรู้สึกตรงกันค่ะ แต่หนูก็หยุดไม่ได้คุยนะ ไม่ได้เจอกัน มีการกดไลค์ในเฟสบุ๊คบ้าง แต่ในใจไม่ได้คิดในทางชู้สาวแล้ว แล้วหนูก็ปฏิบัติธรรมรักษาศีลห้าได้บริสุทธิ์จริงๆ แต่มาเมื่อเดือนที่แล้ว มีเหตุที่ทำให้ต้องเจอกัน เนื่องจากหนูอย่างได้ของสิ่งหนึ่ง แล้วเขารับอาสาจะดูให้ โดยซื้อมาแล้วยังไม่ได้ถามความเห็น หนูเกรงใจมาก เลยต้องให้เงินเขา พร้อมกับไปรับของ แล้วก็เลยต้องทำให้เจอกันนี่นะ เลยทำให้ต้องคุยกันมากขึ้น เนื่องจากหนูมีงานทำกราฟิก ที่เกี่ยวกับกราฟิก เป็นงานใหม่ แล้วเขาก็ดันเป็นครูสอน ซึ่งหนูก็ไม่รู้มาก่อน ทำให้ช่วยเหลือเรื่องการงาน และความสัมพันธ์มันก็เริ่มขึ้น หนูเล่าให้เขาฟังว่า เอ้อ คือเปิดเผยน่ะ ไม่มีการปิดบังกันนะว่า บอกว่าตัวเองมีแฟนแล้วนะ แล้วก็เขาก็ไม่อยากทำให้บ้านแตก แต่หนูยังไม่ได้ผิดศีลห้า ในใจรักเขาเข้าแล้ว แฟนปัจจุบันก็ดีคืออยู่ด้วยกันแล้วนะ แต่ไม่ได้แต่งงานกันนะ ก็ล่าสุดเจอกัน สรุปแล้วนะ จะขอคำแนะนำว่า จะทำอย่างไรกับกรณีนี้ดี?

ก็นี้แหละนะ เป็นความ ไม่รู้ว่าจะบอกเป็นเรื่องนะมหัศจรรย์หรือว่าเรื่องที่มันควรจะระวังเป็นภัยชนิดหนึ่งนะครับ เรื่องของการติดต่อกันทางเฟสบุ๊คนี่นะ มันง่าย ที่เราคุยกันอยู่นี่ก็ผ่านเฟสบุ๊คนั่นแหละ เฟสบุ๊คนี่ถือว่าทำให้คนทั้งโลกมาเจอกันได้โดยไม่ต้องเดินทางนะ โดยไม่ต้องขยับอะไรมาก นอกจากปลายนิ้วนะ แค่เคาะคีย์ไม่กี่คีย์นี่ มันสามารถพาเราไปเจอเพื่อนเก่า

นี่ผมก็เจอเหมือนกันนะ ตั้งแต่สมัยนู่นเลย ประถมนะ มัธยม แล้วก็มหาวิทยาลัยก็มี คือ เพื่อนเคยมีเท่าใดนี่นะ มันเหมือนเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเจอได้หมด แล้วก็เพื่อนที่สนิทๆส่วนใหญ่ ก็ดูมีความคุ้นเคย มีความรู้สึกเหมือนว่า เรียกความทรงจำในช่วงวัยหนึ่งๆของเรากลับมาได้นะ ที่ลืมๆไปแล้วนี่ก็กลับมานะครับ หมายถึงความทรงจำนะครับ ซึ่งคนเรานี่จะมีความชอบอดีตหนหลังนะ คือถ้าหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อดีตที่มันมีความสุข มันมีความรู้สึกว่าไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อนเหมือนกับชีวิตปัจจุบัน ที่อาจจะมีความมีหน้าที่การงาน มีอะไรที่มันยุ่งยากมากขึ้น แล้วก็มีความทุกข์มากขึ้นนะครับ เพราะฉะนั้นกลับไปหาความสุขในวัยต้นๆ นี่ ก็จะชวนให้รู้สึกมีความสุขกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายคนเลยบอกว่า เพื่อนนี่หรือว่าคนรักนี่นะ ในช่วงแรกๆนี่ จะมีความน่าเสน่หา หรือมีความน่าติดใจมากกว่าคนที่มาคบกันหลังๆ

หลังจากที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาเยอะแล้วนี่นะ มันก็จะมีความรู้สึกเกี่ยวกับชีวิตแบบหนึ่ง ที่มันชินๆ มันเหมือนกับชาๆนะครับ ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร ไม่ได้แปลกใจกับอะไรแล้ว ไม่เหมือนกับความวาบหวามในช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น ในช่วงแรกๆที่ เออ มีความฝันมากกว่าอยู่ในโลกความจริงนะครับ มีความรู้สึกเหมือนกับไม่ต้องรับผิดชอบอะไรนะ แตกต่างจากตอนที่มันจะต้องรับผิดชอบ และอะไรหลายๆอย่างในชีวิต ที่ปรุงแต่งให้จิตเกิดความรู้สึกไปว่า อย่างนี้ดีกว่า อย่างนี้มีความสุขกว่า อย่างนี้เบาสบายกว่า สบายใจกว่านะ มันก็เป็นไปได้ที่ทำให้เราสามารถจะรู้สึกกับใครบางคนนะ ที่เคยคบหากันมา ที่เคยรู้สึกดีๆกันมานะครับ โดยเฉพาะ เราจะชอบมีนิยายกันว่านะ ถ้าเป็นคู่แท้ ถ้าเป็นคู่สร้างกันมานี่ ต้องเคยเจอนะ และก็ยังเจอ สามารถที่จะอยู่กันได้ตลอดไป

คือคนเราจะเชื่อเรื่องการอยู่กับใครสักคนหนึ่งนานๆนะ จะปรารถนาอยู่ในส่วนลึกว่า โดยเฉพาะผู้หญิงนะครับ อยากจะอยู่กับผู้ชายสักคนหนึ่งที่เป็นตัวเป็นตน แล้วก็อยากจะอยู่กับผู้ชายคนเดียวนะ ผู้หญิงทุกคนนะ จะมีความรู้สึกอย่างนั้น แต่ผู้ชายนี่จะรู้สึกอยากอยู่กับผู้หญิงหลายๆคน ซึ่งมันเป็นธรรมชาติความแตกต่างโดยดั้งเดิมของมนุษย์ แต่ว่านะปัจจุบันนี่มันเปลี่ยนไป อาจจะด้วยกลไกแบบเฟสบุ๊คด้วยก็ได้นะครับ คือทำให้เรารู้สึกว่า จะเป็นชายเป็นหญิงไม่สำคัญน่ะ ขอให้ได้มีการได้คบหา มีการได้พูดคุย มีการได้รู้จักเยอะๆเถอะ นี่ธรรมชาติของความรู้สึกมันเลยเพี้ยนไปนะ

ก็อยากจะบอกอย่างนี้ก็แล้วกัน คือถ้าเราอยู่กับใครแล้ว คนนั้นก็มีสิทธิ์ในตัวเรา แล้วในขณะเดียวกันเราก็มีสิทธิ์ในตัวเขานะครับ การที่ธรรมชาตินะหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ เฟสบุ๊คนะ ธรรมชาติของเฟสบุ๊คมันส่งอะไรมารบกวนจิตใจ หรือว่าส่งมาลองใจนะ เราก็ไม่ควรที่จะไปยอมแพ้นะครับ การโดนลองใจเป็นของดี ถ้าเราผ่านไปได้ทำให้เราแข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลองใจในแบบที่ทำให้เรารู้สึกว่า นี่ มีข้ออ้างที่สำคัญมากๆ มีข้ออ้างที่น่าเชื่อถือนะ น่าปักใจเชื่อ น่าให้เรารู้สึกว่า นี่แหละที่มันถูก ที่มันของแท้มากกว่านะ

คือการที่เรายังอยู่ในสิทธิ์ครอบครองของใครบางคนอยู่นะ เราต้องบอกตัวเองว่า ไอ้การลองใจนะ มันมาเพื่อที่จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่มาเพื่อให้เราหลงแล่นตามไป ยกเว้นแต่ โอเค เราจะมี ต่อไปอาจจะอีกนานๆนี่นะ เราไม่ได้อยู่กับคนปัจจุบันแล้ว จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ แล้วตรงนั้น ถ้าจะยังมีเหตุให้กลับไปหาคนเก่าอีก อย่างนั้นก็กลายเป็นเรื่องถูกต้องไป แต่ถ้าหากเรารู้อยู่แก่ใจ ว่าแฟนคนปัจจุบันยังดีๆอยู่ แล้วเราไปทำให้เขาเกิดความผิดหวังนะ ด้วยการตามใจตัวเอง แล่นตามของที่มาลองใจไปนี่ ตรงนี้นะเราทำผิดอะไรไปบางอย่างแน่ๆ ก็เป็นเรื่องของนะการทำใจนั่นเอง มุมมองนะครับ นี่คือการลองใจ ถ้าเราผ่านไปได้เราจะเข้มแข็งขึ้นนะ ขอให้เข้มแข็งก็แล้วกัน


เอาล่ะครับ คืนนี้ก็คงต้องล่ำลากันที่นาทีนี้ สวัสดีราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านนะครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น