วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๓๔ / วันที่ ๖ เม.ย. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันศุกร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเศษ ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เช่นเคยครับวันนี้เราใช้เฟสบุ๊คคุยกัน และเพื่อที่จะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks นะครับ



๑) เวลาใส่บาตร บางทีเห็นพระที่มาทีหลังตัดหน้าแซงเณรที่ยืนเข้าแถวอยู่ก่อนแล้ว พระท่านทำถูกหรือไม่?

สำหรับวินัยเข้าใจว่าไม่น่าจะมีนะ ที่บอกว่าพระมีอำนาจบาตรใหญ่กว่าเณร ชนิดที่เณรมาเข้าคิวก่อนแล้วก็จะตัดหน้าได้ คงไม่มีแน่ๆนะ เอาตามคอมม่อนเซนส์เลย คือไม่จำเป็นต้องไปดูล่ะว่าข้อถูกต้องตามบัญญัติมีอย่างไร เอาความรู้สึกทางใจเป็นตัวตั้งได้เลย

พระพุทธเจ้าเวลาที่ท่านบัญญัติวินัยเล็กๆน้อยๆอาบัติเบาทั้งหลาย ท่านจะไม่ได้อาศัยความรู้สึกของพระเป็นตัวตั้ง แต่อาศัยความรู้สึกของโยมเป็นตัวหลัก คือมีคำเรียกกันว่าถ้าหากว่าพระทำตัวไม่สมสมณสารูป หรือว่าเป็นโลกวัชชะคือเป็นที่ติเตียนของชาวโลก แล้วอย่าว่าแต่ท่านจะไม่สนับสนุนท่านจะบัญญัติวินัยห้ามทันที ข้ออะไรเล็กๆน้อยๆบางทีไม่ได้เป็นความผิด ไม่ได้เป็นบาป ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงด้วยซ้ำ

ยกตัวอย่างเช่นการพรากของเขียว จริงๆแล้วท่านรู้อยู่ว่าวิญญาณในพืชไม่ใช่วิญญาณชนิดเวียนว่ายตายเกิด ฆ่าไปก็ไม่บาป ไม่ได้บาปเหมือนกับการฆ่ามนุษย์หรือฆ่าสิ่งมีชีวิตที่วิญญาณมันมีจิตเกิดดับ แล้วพอหลังจากจุติจิตเกิดแล้วมีปฏิสนธิตามมาด้วยกรรมด้วยวิบากที่เคยทำไว้ก่อนทันที แต่พืชไม่มีกรรมอะไรแบบนั้น ไม่มีการเกิดใหม่แบบนั้น เพราะฉะนั้นการที่จะไปพรากของเขียวหรือว่าไปทำให้พืชล้มหายตายจาก มันไม่ได้เป็นบาปเป็นกรรม แต่ชาวบ้านในยุคนั้นในท้องถิ่นนั้น เขาเชื่อก้นว่า ฆ่าพืชมันเท่ากับฆ่าสัตว์ฆ่าสิ่งมีชีวิต ท่านก็ไปบัญญัติวินัยไว้เลยว่าภิกษุห้ามพรากของเขียว พูดง่ายๆว่าห้ามทำให้ต้นไม้ได้ล้มหายตายจาก

การที่เราสามารถจะอาศัยหลักการที่พระพุทธเจ้าคำนึงถึงความรู้สึกของญาติโยมเป็นตัวตั้ง อันนี้ก็น่าจะบอกได้เลย ฟันธงได้เลยว่า คงไม่มีการบัญญัติวินัยสนับสนุนนะว่าถ้าพระมาทีหลังให้ได้ก่อน เหมือนกับมีศักดิ์มีสิทธิ์อำนาจบาตรใหญ่อะไรนะครับ ตัวพระวินัยนอกจากเราจะอาศัยเป็นเครื่องแสดงว่าภิกษุไม่สมควรทำอะไรแล้ว เรายังสามารถใช้ดูใจตัวเองได้ด้วยว่า สิ่งไหนที่ความรู้สึกแบบคนธรรมดาทั่วไปจะใช้เป็นตัววัดได้ว่าพฤติกรรมใดไม่เหมาะสมกับความเป็นภิกษุ ถ้าเป็นสมัยก่อนชาวบ้านชอบฟ้องพระพุทธเจ้าเห็นอะไรนิดๆหน่อยๆ อย่างเช่นเห็นพระทั้งๆที่อยู่ในอาวาสอยู่ในวัด แต่ว่าเปลือยร่างอาบน้ำกัน ก็มีการเอาไปฟ้องแล้ว แล้วก็มีการบัญญัติวินัยด้วยนะครับว่า ถ้าอยู่ในวัดหมายถึงไม่ได้อยู่ในเขตกำบัง ก็จำเป็นจะต้องมีผ้าไม่ใช่เปลือยกายล่อนจ้อนให้คนเห็นได้ นี่คือคำตอบอยู่ในตัวเองนะครับว่าเราทำบาปหรือเปล่า

ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะเตือนสติพระโดยทางใดทางหนึ่งไม่ว่าจะทางตรงทางอ้อมให้ท่านประพฤติสำรวม ประพฤติอยู่ในความเป็นผู้มีคุณวิเศษสูงเหนือกว่าฆราวาสได้ควรทำ ถ้าหากว่าไม่บอกไม่กล่าวหรือว่าไม่เตือนสติท่านเลย บางทีท่านก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งที่เหมือนอย่างเราๆนี่นะ วันหนึ่งก็นุ่งเหลืองห่มเหลืองแล้วก็เข้าพิธีบวชบอกว่าเป็นพระ แต่ว่ายังไม่ได้มีพฤติกรรมหรือว่าลักษณะภายนอกที่ดูน่าเลื่อมใสน่ากราบไหว้

ที่ผู้ถามทำไปก็ถือว่าถูกแล้ว นอกจากจะทำให้ท่านเกิดสติละอายไม่มีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความมีอำนาจบาตรใหญ่ เป็นที่ขัดหูขัดตาชาวบ้านแล้ว เราก็ยังถือว่าเกื้อกูลกับเณรด้วย ให้เณรเห็นเป็นตัวอย่างว่าสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นมันเป็นแบบนี้ เพราะว่าถ้าหากเราไปส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการแซงคิวอย่างถูกต้อง ใครมาหลังแต่ว่าเป็นพระใหญ่กว่าได้ไปก่อน เณรก็จะจำไว้แบบนั้นเช่นกันแล้วก็เอาไปทำ

คนที่เป็นเด็กคนที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่มาสั่งสอนกันแล้วจะเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาได้ แต่มันเห็นพฤติกรรมที่เป็นแบบอย่างของโลกรอบตัว ผู้ใหญ่รอบตัวว่าเขาเป็นกันอย่างไรโดยหลัก ถ้าหากว่าโลกนี้เต็มไปด้วยผู้ใหญ่ที่วางอำนาจวางก้าม แล้วก็ได้ดิบได้ดีมีหน้ามีตา แล้วก็ได้รับการรับรอง แถมได้รับการรับรองจากพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาด้วยว่านี่คือสิ่งถูกต้อง เด็กในวันนี้ก็คือผู้ใหญ่ที่จะพยายามวางก้ามในวันหน้าแน่นอน แต่ถ้าหากว่าผู้ใหญ่รอบตัวของเด็กเต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจมีมารยาทก็มีแนวโน้มว่าเด็กจะมีความเกรงอกเกรงใจแล้วก็มีมารยาทตามนะครับ



๒) จิตตั้งมั่นน้อย ขอคำแนะนำที่ทำให้จิตตั้งมั่นได้ในชีวิตประจำวัน?

ก็แสดงให้เห็นว่าเหตุของความมีจิตตั้งมั่นในแต่ละสัปดาห์มันมีอยู่น้อย ถ้าแบ่งเป็นวันเราอาจมีอยู่ห้าวันที่มีเหตุของจิตที่ฟุ้งซ่านซัดส่ายแล้วมีสองวันที่เป็นเหตุของความตั้งมั่น แต่ในความเป็นจริงเราแบ่งกันเป็นวันๆเลยครับ เราแบ่งกันเอาใช้สิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆในรอบ ๒๔ ชั่วโมงเป็นตัววัดได้เลยว่าเราสร้างเหตุของความตั้งมั่นหรือว่าสร้างเหตุของความฟุ้งซ่านซัดส่ายมากกว่ากัน

ถ้าหากตื่นนอนมานะไม่มีจุดมุ่งหมายหลักไม่มีความรู้สึกที่เกี่ยวเนื่องกับเมื่อวานว่า เราควรจะทำอะไรต่อยอดจากเมื่อวาน เราควรจะทำอะไรในเช้านี้เป็นประจำทุกวัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นธรรมดาตามธรรมชาติของจิตก็คือ จิตจะคิดล่องลอยเลื่อนลอยไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็มีความรู้สึกที่ไม่แน่นอนในแต่ละเช้าว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตดี แต่ถ้าหากว่าเรารู้เลยว่า มีวินัยเลยตื่นเช้าขึ้นมาเราตั้งใจจะไปสวดมนต์หรือไม่ก็ตั้งใจที่จะไปออกกำลัง ไม่ว่าการสวดมนต์หรือว่าการออกกำลังมันจะทำให้จิตของเรามีที่หมายมีทิศทางมีความชัดเจนว่าตื่นขึ้นมาแล้วไม่ใช่ชีวิตที่เลื่อนลอย แต่เป็นชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย

แล้วการสวดมนต์ก็ดีหรือว่าการออกกำลังกายก็ดี ล้วนแล้วแต่มีพัฒนาการได้ อย่างเช่นถ้าหากว่าเราสวดมนต์ทุกวันแล้วเราสำรวจตัวเองดู ในแต่ละวันแต่ละเดือนแต่ละปีที่ผ่านไป จิตใจของเราในช่วงเช้ามีความสุขมีความสงบมากขึ้นหรือเปล่า จะพบถ้าหากว่าเรามีความตั้งอกตั้งใจ เรามีความเต็มพร้อมบริบูรณ์ที่จะสวดมนต์อย่างมีความกระตือรือร้นนะครับ มีกำลังใจที่เต็มเปี่ยมที่จะสวด ในที่สุดแล้วเราจะเห็นตัวเองค่อยๆมีหลักของความสงบในแต่ละเช้ามากขึ้นเรื่อยๆ มีหลักของความอิ่มใจ มีหลักของความรู้สึกสว่าง มีหลักของความรู้สึกที่ดีเป็นกุศลเป็นบุญให้กับตัวเอง มันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเหมือนกับทุกเช้าขึ้นมา ตื่นขึ้นมามันมีความสุขเป็นปลายทางเสมอ มันมีความสุขเป็นจุดมุ่งหมายเสมอ

หรืออย่างออกกำลังกายเราก็สามารถรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งแข็งแรง หรือว่ามีกำลังวังชาของร่างกาย มีความกระชุ่มกระชวย ถ้าหากว่าเช้าไหนไม่ได้ออกกำลังกายมันเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง มันเหมือนร่างกายอ่อนแอลง หรือว่ามีสภาพไม่เต็มร้อยไม่เต็มพร้อมที่จะเคลื่อนไหวที่จะออกจากบ้านด้วยกำลังวังชาด้วยสติสัมปชัญญะที่ครบพร้อมบริบูรณ์ นี่ตรงนี้มันเป็นสิ่งที่เราสามารถเห็นเลยนะ ตื่นเช้าขึ้นมาอาการของใจเราพร้อมที่จะซัดส่ายหรือว่าพร้อมที่จะตั้งมั่น มันเห็นๆเลย

แล้วทีนี้ออกจากบ้านเรามีความเคยชินในการเดินทางจากบ้านไปที่ทำงานอย่างไร คนส่วนใหญ่จะคิดเรื่องเลื่อนลอยไปเรื่อย เริ่มต้นขึ้นมามักจะเป็นว่ารถติดจัง เมื่อไหร่จะถึงที่ทำงานสักที พอบางทีมันชาจิตใจมันด้านชาไปแล้ว ไม่รู้สึกรู้สาว่าจะต้องมาตั้งคำถามอะไรในเมื่อเหมือนกับออกมาต้องอยู่ในนรกบนถนนทุกวัน มันด้านชาไปซะแล้ว ก็กลายเป็นความรู้สึกเหมือนกับจิตใจมันวนอยู่กับความฟุ้งซ่านเบื่อหน่าย แล้วก็พร้อมที่จะเตลิดไปไหนก็ได้ที่มันไม่ใช่อยู่ในรถ ไม่ใช่อยู่บนรถส่วนตัวหรือว่ารถประจำทางที่เรานั่งมา แล้วมันไปไหน?

ส่วนใหญ่ถ้าหากว่าสายตาไม่มีที่หมาย จิตใจไม่มีทิศทาง มันก็ไปถึงสวรรค์ถึงวิมานนั่นแหละ ที่เขาเรียกว่าวิมานในอากาศ เราก็สร้างไปเรื่อย สิ่งที่ชอบใจ สิ่งที่สามารถจะพาเราหนีออกไปจากความเบื่อหน่ายในชั่วขณะการเดินทางได้ เราเอาหมด

หรือไม่ถ้าหากว่าจิตใจของเรากำลังผูกพันอยู่กับสิ่งที่ชอบใจหรือสิ่งที่ชิงชัง มันก็จะเอามามัดแน่นรัดแน่นยิ่งขึ้น ถ้าหากว่าเราอาฆาตแค้นคนที่ทำงานอยู่ เราก็คิดล่วงหน้าเดี๋ยวไปถึงที่ทำงานเราจะฉะมันอย่างไร เราจะมาต่อกรกับเขาที่เมื่อวานเราเสียท่าไป เราคิดไม่ทันวันนี้คิดทันแล้วคิดออกแล้ว เดี๋ยวจะไปด่ามันอย่างไร นี่มันจะอยู่ในหัวมันจะอยู่ในใจ หรือไม่ก็ถ้าหากว่าเราไปปิ๊งใครเข้า มันก็จะเฝ้าวนเวียนคิดถึงใบหน้าใบตาแล้วก็น้ำเสียงของเขา จนกระทั่งไม่เป็นอันไปนึกถึงอะไรอื่น นี่เรียกว่าเราออกจากบ้านเราอยู่บนเส้นทางระหว่างบ้านกับที่ทำงานด้วยความมีปัจจัยพร้อมที่จะทำให้ฟุ้งซ่านซัดส่าย

หรือไปถึงที่ทำงานหรือกลับบ้านนะ ลองสำรวจตัวเองมีเหตุมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เรามีความตั้งมั่นได้บ้าง ถ้าหากว่าพบว่าไม่มีเหตุปัจจัยในชีวิตประจำวันที่จะทำให้จิตตั้งมั่น ก็อย่าหวังว่าในตอนกลางคืนจะแบ่งเวลาสักสิบนาที ครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง ไปทำให้จิตมันเกิดความตั้งมั่น เกิดความสงบ

ขอให้คำนึงนะ อย่างเช่นที่คนจะปลีกวิเวกนะ พักงานแล้วก็ไปสู่สถานที่ปฏิบัติธรรมแล้วก็มักจะพูดตรงกันว่า โอ้โห! พอไม่ได้อยู่ในเมือง พอห่างออกมาจากความวุ่นวาย หรือว่าหน้าที่การงานซึ่งเป็นภารกิจหลักแล้ว จะรู้สึกว่าภาวนาง่ายมาก สมาธิตั้งมั่นได้ง่าย หรือว่ามันมีความรู้สึกชุ่มฉ่ำ ไม่เหมือนกับตอนอยู่ในเมืองเลย อันนั้นเป็นเพราะอะไร? เพราะตื่นเช้าขึ้นมามันมีจุดหมาย มันมีความรู้สึกผูกพันเป็นภาระว่าเรามาอยู่ที่นี่ เราจะต้องทำตัวดีๆต้องทำตัวขยัน ต้องสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิเดินจงกรม ใจมันมีเครื่องตั้ง ใจมันมีที่หมาย ใจมันมีความสว่างเป็นเครื่องผูกจิตอยู่นะครับ ก็แน่นอนแหละ แม้กระทั่งการกินการอยู่การอะไรต่างๆใจเราก็ไม่สะเปะสะปะไม่มีทิศทางชัดเจนไปหมด นั่นแหละคือเหตุปฐมเหตุของความตั้งมั่นทางใจ

ถ้าถามว่าจะทำอย่างไรดีที่จะทำให้หนึ่งสัปดาห์มีความตั้งมั่นของจิตบ่อยขึ้นกว่านี้? ก็ต้องบอกตัวเองครับว่าตื่นเช้าขึ้นมาเอาเลย ต้องมีเหตุปัจจัยของความตั้งมั่นต้องมีเหตุปัจจัยของความรู้สึกดีๆ ความรู้สึกที่สงบ ไม่ใช่ความรู้สึกที่มันพร้อมจะกระจัดกระจายออกไป หาอะไรก็ไม่ทราบ ถ้าหากว่าจะคิดหวังว่ามีอุบายสักอย่างหนึ่งทำแล้วแค่อย่างเดียวหรือสองอย่างจิตจะกลับตั้งมั่นได้ ในหนึ่งสัปดาห์มีจิตตั้งมั่นสักห้าวันหกวัน แล้วไปเป๋แค่วันสองวัน คิดแบบนี้มันก็จะไปพบผลลัพธ์แบบเดิมๆคือไม่รู้ล่ะว่าจะไปปฏิบัติรูปแบบไหน หรือว่าใช้อุบายใด อย่างอะไรก็ตามที่เราจะไปยึดถือว่ามันเป็นทางลัด เราก็จะพบคำตอบเดิมๆนั่นคือมันดีขึ้นมาเดี๋ยวหนึ่ง ตอนตื่นเต้นตอนที่ใจกำลังถูกบีบให้มีความตื่นเต้นกับของใหม่ ตรงนั้นมันก็จะได้ผลสักวันสองวันเสร็จแล้วก็เข้าอีหรอบเดิม เพราะว่าเหตุปัจจัยที่แท้จริงของจิตมันเป็นไปในทางฟุ้งซ่านซัดส่ายไม่ใช่สงบตั้งมั่นนะครับ

สรุปก็คือ ถ้าไม่ถามถึงอุบายการภาวนาหรือเจริญสติโดยเฉพาะ ขอแนะนำให้สำรวจตัวเองว่าในแต่ละวันเรามีจิตผูกอยู่กับสิ่งที่พร้อมจะทำให้ตัวของเราซัดส่ายฟุ้งซ่านหรือว่ามีความผูกติดอยู่กับสิ่งที่ดี สิ่งที่จะทำให้จิตมีความตั้งมั่นมีความมั่นคง มีความคงเส้นคงวานะครับ



๓) เจ็บเพราะรักบ่อยครั้ง เป็นเพราะเคยไปให้ความหวังผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่?

ก็เป็นสิ่งที่มันสามารถโยงกันได้ เกิดความสงสัยกันได้ เพราะว่าคนเราพอมันไม่รู้ว่าต้นเหตุของโชคชะตาหรือว่าชะตากรรมอะไรแบบหนึ่งๆที่เกิดขึ้นบ่อยๆซ้ำๆมันมาจากอะไร มันก็ต้องสันนิษฐานเอาว่าสงสัยจะเคยไปทำให้ใครเขาเจ็บมาอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็เอาเรื่องใกล้ตัวเรื่องที่สามารถระลึกได้มาเป็นตัวตั้งมาเป็นตัวเปรียบเทียบว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ไหม

การที่เขามาชอบเราโดยเราไม่รู้ตัวมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันไม่มีการรับรู้ตั้งแต่แรก มันไม่ได้มีกำลังใจในการที่จะไปพยายามหักคอเขา ไม่ได้มีกำลังใจในการไปหลอกไปล่อ หรือว่าไปให้ความหวังแบบผิดๆกับเขา มันก็คือเหมือนกับทำตัวน่าเอ็นดูธรรมดา ไม่ใช่ทำตัวน่ารักเป็นพิเศษ เขาเจอหน้าแล้วจะต้องมีประกายปิ๊งๆอะไรไปด้วยเจตนาให้เขาคิดถึงเรา ถ้าพูดน่าเอ็นดูธรรมดาหรือว่ามีไมตรีเหมือนกับคนที่อยากจะให้ผู้คนรอบตัวได้เกิดความสบายใจ ได้เกิดรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะธรรมดา เหล่านั้นเรียกว่าเป็นการวิวาสะสนทนาแบบธรรมดา ที่จะทำให้เกิดความรักใคร่เอ็นดูกันไม่ใช่เกิดความลุ่มหลงหรือว่ามาเกิดความหวังนะครับ

เพราะฉะนั้นเจตนาของเราที่จะคุยเพื่อที่จะผูกมิตร คุยเพื่อที่จะให้เกิดความรู้สึกด้านดีต่อกัน มันไม่ใช่บาปไม่ใช่กรรมแน่นอน เราไม่ได้เจตนา เราไม่ได้ตั้งความหวังไว้เลย ไม่ได้เล็งไว้เลยว่าจะให้เขามาชอบเรา แต่เขาชอบเอง นั่นต้องเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง

แต่ความไม่สบายใจของเราเกิดจากการที่เราผิดหวังจากคนรัก จะมีการระลึกนึกถึงเชื่อมโยงอย่างไรก็แล้วแต่ขอให้ล้างภาพตรงนั้นทิ้งไป มันไม่เกี่ยวกันไม่เกี่ยวเนื่องกัน ถ้าหากว่าบางทีเราไม่ได้ลงเอยกับใครคนใดคนหนึ่ง บางทีมันไม่ได้มาจากบาปกรรมที่เคยทำตั้งแต่หนหลัง บางทีมันเป็นเรื่องของความเข้ากันไม่ได้ มันไม่ใช่คนที่จะอยู่กับเราเหมือนกับมีความผูกติดกัน เรียกว่ารู้จักกันผูกพันกันในชั่วขณะสั้นๆหรืออาจจะเคยมีความผูกพันกัน ถ้าพูดถึงความผูกพันในหนหลัง อาจจะเคยเป็นอะไรดีๆต่อกันมา แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าคนนี้พิเศษกว่าคนอื่นหน่อยหนึ่ง แต่ไม่ใช่พิเศษขนาดที่จะร่วมหอลงโรง หรือว่าจะผูกพันผูกมัดกันไปได้ตลอดชีวิต มันเป็นแค่ความรู้สึกว่ามาทำอะไรดีๆให้กันชั่วขณะหนึ่งแล้วก็จากกันไป เราไม่ควรจะไปยึดมั่นถือมั่น

ถ้าหากว่าเขามาเพื่อที่จะผ่านไปขอให้คิดเลยว่านั่นเป็นความไม่เหมาะสมที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่เหมาะสมที่จะเรียนรู้ความเจ็บปวดหรือว่าเรียนรู้ที่จะจากลาโดยไม่ต้องมีความบาดหมางต่อกัน มีความเป็นมิตรกันยิ้มให้กันได้ นี่ตรงนี้ต่างหากนะครับที่เราสมควรจะได้จากความผิดหวัง ไม่ใช่การมานั่งคิด การมานั่งคาดเดาเอาว่าเพราะทำกรรมอะไรมาเลยโดนหลอกอยู่เรื่อย หรือว่าเลยถูกทอดทิ้งไป บางทีมันไม่ได้เกี่ยวกันที่เรามานั่งคะเนเอาเอง

พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะว่าวิบากกรรมเป็นอจินไตย อจินไตยหมายความว่าคาดคะเนเอาไม่ได้ ด้นเดาเอาไม่ได้ มานึกๆคิดๆเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้ไม่ได้ มันยากกว่านั้น มันซับซ้อนกว่านั้น แต่คำว่าอจินไตยไม่ได้หมายความว่ารู้ไม่ได้หรือไม่มีให้รู้นะ ไม่ใช่นะ มันมีเรื่องให้รู้ มันมีเหตุให้รู้ เพียงแต่ว่าเรายังรู้ไม่ได้เท่านั้นเอง



๔) ถ้าอธิษฐานไว้ว่าขอให้เกิดเป็นคู่กันไปทุกชาติไป จะเป็นจริงตามนั้นหรือไม่? มีวิธีใดจะทำให้คำอธิษฐานนั้นหมดไป?

คำอธิษฐานเป็นแค่ทิศทางของจิต เป็นแค่การตั้งจิต เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน หรือว่าหัวขบวนรถไฟ ที่จะลากพาขบวนรถตู้ได้ไปตามทิศทางไหนเหนือใต้ออกตก อย่างนี้ถ้าหากว่าเรารักใครพอใจใครแล้วก็อธิษฐานร่วมกันด้วยใจเสมอกันนะว่า ขอให้เราทั้งสองคน ขอให้เราทั้งคู่จงได้เกิดใหม่แล้วก็ได้พบกันอย่างนี้อีก มีความรักกันอย่างนี้อีก สามารถครองคู่กันได้อย่างนี้อีกเรื่อยไปทุกภพทุกชาติ ตรงนี้เป็นคำอธิษฐานที่เกิดขึ้นจากใจทั้งสองฝ่ายจริงๆ ในขณะที่อาจจะคบกันได้สักปีหนึ่ง ยังไม่ได้อยู่กินด้วยกัน

แต่ปรากฏว่าหลังจากอธิษฐานเสร็จอยู่กินกันจริงๆมันมีความไม่พอใจ มันไม่เหมือนตอนที่ยังไม่ได้อยู่ร่วมกัน หลายสิ่งหลายอย่างเปิดเผยออกมา อ้าว! นี่เราไม่ได้ชอบจริง ไม่ได้อยากจะอยู่เป็นคู่ผัวตัวเมียไปทุกภพทุกชาติเหมือนกับที่เคยอธิษฐานไว้ อันนี้ก็อาจจะมาเกิดขึ้นทีหลัง

บางคู่มีนะตอนที่แรกรักก็มีอธิษฐานด้วยกันต่อหน้าพระเจดีย์ว่าขอให้เกิดมาพบกันเจอกันทุกภพทุกชาติ แต่พอแต่งงานไปหม้อข้าวยังไม่ทันดำนะ ก็สาปแช่งกูจะขอจองเวรไปทุกภพทุกชาติ หรือไม่ก็อย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลยไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน อันนี้เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่มันไม่รู้ว่าตกลงแล้วตอนรักกันเป็นอย่างหนึ่ง แต่ตอนอยู่ด้วยกันที่บอกว่าเอาแค่อยู่ด้วยกันให้รอดสักชาติเดียวก่อนเถอะ อย่าเพิ่งไปหวังว่าจะอยู่ด้วยกันทุกภพทุกชาติ เจอกันทุกภพทุกชาติแล้วจะประกาศความพอใจ มีการรับประกันความพอใจจากคำอธิษฐานมันไม่ใช่

ความพอใจที่แท้จริงหรือว่ากรรมที่ทำร่วมกันอย่างแท้จริงมันต้องเกิดขึ้นตอนอยู่ด้วยกัน นิสัยหรือธาตุแท้มันจะเผยออกมา แล้วก็การเผยออกมาหมดจดนั่นแหละ มันจะทำให้รู้ว่าอยู่ด้วยกันได้หรือเปล่าโดยธาตุนิสัย

กรรมที่ทำโดยการอยู่ด้วยกัน มันจะเป็นตัวชี้ชัดว่าได้เจอกันอีกหรือเปล่า อยู่ร่วมกันได้เปล่า ไม่ใช่คำอธิษฐาน คำอธิษฐานเป็นแค่ทิศทางเป็นแค่การกำหนดทิศทางว่าต่างฝ่ายต่างต้องการแบบนี้นะ แต่ต้องการคำยืนยันต้องการสิ่งที่เป็นหลักฐานที่สุด นั่นก็คือกรรมที่ทำร่วมกัน จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน ต้องมีศีลเสมอกัน ต้องมีจาคะเสมอกัน แล้วก็มีปัญญาเสมอกัน พ้นจากนี้ถ้าหากว่าไม่ได้มีอะไร ๔ อย่าง ๔ ประการนี้เสมอกัน มันไม่สามารถประกันได้ มันไม่สามารถที่จะเอาอะไรมาบอกได้ว่ามีความแน่นอนระหว่างเรากับเขาที่จะได้เจอกันร่วมกันหรือว่ารู้สึกดีต่อกันตลอดไป ไม่มีอะไรประกันได้เลย

แต่ถ้าหากว่า ๔ อย่าง ๔ ประการนี้ ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน พระพุทธเจ้ารับรองด้วยพระองค์เองเลยว่าจะต้องได้อยู่ร่วมกันทั้งชาตินี้และชาติต่อไป จะต้องได้เจอกันแน่ แรงเบี่ยงของกรรมที่ผูกกันมาอย่างเหนียวแน่นในด้านดีจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดกันและกันมาพบกันอีก ด้วยบุญที่เสมอกัน ด้วยบุญที่ทำมาด้วยกัน มันก็สันนิษฐานได้อยู่แล้วว่า ตายไปมันก็เกิดในระดับเดียวกัน แล้วก็ตายไปก็ต้องมีสายใยโยงใย แล้วก็ดึงดูดเหนี่ยวนำให้มาพบกัน แล้วก็สามารถที่จะร้อยรัดอยู่ด้วยกันด้วยความไม่รู้สึกอึดอัด

เพราะบุญเป็นความรู้สึกที่ดี บุญเป็นเหตุให้ความสุข ถ้าหากว่ามีบุญสัมพันธ์กันมาก็หมายความว่าอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข มีความรู้สึกใช่ มีความรู้สึกว่าพอใจตัวเองที่ได้อยู่กับคนๆนี้ อันนี้เป็นคำถามที่เกิดจากการสันนิษฐานของเรา ต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อนนะบอกว่า ถ้าหากไปอธิษฐานว่าให้เกิดมาคู่กันทุกชาติจะมีผลชาติหน้าจริงไหม? ตัวการอธิษฐานมันอาจจะมีผลนิดหน่อย เพราะว่าพอใจเล็งกันไว้ว่าจะจองกันจะตามไปเจอกันในชาติหน้า อย่างน้อยที่สุดก็จะมีแรงดึงดูดสักนิด… (สัญญาณเสียงขาดไป)



« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น