สวัสดีปีใหม่ไทยครับทุกท่าน วันนี้วันศุกร์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเศษ ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks นะครับ
หลายท่านอาจจะฟังรายการคืนนี้จากแหล่งพักผ่อนหรือบ้านต่างจังหวัด สำหรับผมก็ยังอยู่กรุงเทพฯเหมือนเดิม ผมชอบถนนหนทางช่วงนี้มากโดยเฉพาะแถวหน้าบ้านผมจะโล่งเป็นพิเศษ บรรยากาศสมเป็นวันหยุดยาวดี ก็ขอให้ทุกท่านฉ่ำเย็นกายด้วยน้ำใสนะครับ แล้วก็เย็นชื่นใจด้วยธรรมอันงามโดยถ้วนหน้า ธรรมแท้เมื่อประดิษฐานอยู่ในใจใครจริงแล้ว เขาก็ย่อมประสบแต่ความสุขความเยือกเย็นเหมือนมีใจใหม่ที่ดีกว่าไปตลอดชีวิต ก็ของใหม่กับวันใหม่ให้ความรู้สึกดีได้ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ถ้าหากว่ามีใจที่ตั้งมั่นอยู่ในกุศลมีความสว่างมีความเยือกเย็นที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วมันดีกว่ากัน เพราะว่าตื่นขึ้นมากี่วันๆที่เหลือในชีวิตมันก็จะรู้สึกใหม่รู้สึกดี รู้สึกว่ามันไม่ต้องกระสับกระส่ายหรือว่ามีความรุ่มร้อน เหมือนอากาศในช่วงเดือนเมษายนที่เดิมเขาใช้ไว้เป็นวันปีใหม่วันสงกรานต์สาดน้ำกันก็เพราะว่ามันร้อน แต่ว่าช่วงนี้ ๑๐ ปีที่ผ่านมาเอาแน่เอานอนไม่ได้ วันที่ ๑๓ ของหลายๆปีมีฝนตกลงมานะ เหมือนกับเทวดาท่านจะช่วยสาดน้ำให้มนุษย์ด้วยการมาสาดน้ำกลางสายฝน ซึ่งปีนี้โอเค คือก็รู้สึกว่าจะไม่มีฝนลงมา ก็อาจจะแตกต่างจากปีที่แล้วๆมา ผมสังเกตอยู่ ๒ ปี เอาเฉพาะช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา ก็จะมีฝนตกมาทั้งวันที่ ๑๓ ทั้งวันก่อนหน้า ก็รู้สึกว่าปีนี้จะเหมาะกับความเป็นวันสงกรานต์ขึ้นมาบ้างตรงที่ไม่มีฝนแล้วก็อากาศค่อนข้างจะอบอ้าวนิดหนึ่ง มันแล้วแต่ที่ด้วยนะเพราะถ้าหากว่าคุณอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างจะอากาศดีอากาศเย็นก็อาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้อบอ้าวเหมือนในกรุงเทพฯ ในกรุงเทพฯบอกได้เพราะผมอยู่ในกรุงเทพฯตอนนี้นี่นะยังอบอ้าวอยู่พอสมควร
๑) วิรัติศีลคืออะไร? มีพุทธวจนะเกี่ยวกับการวิรัติศีลไว้อย่างไร?
คำว่า วิรัติ แปลว่า งดเว้น คือ ตัวการวิรัติหมายถึง เจตนาที่จะเว้นขาดจากข้อห้ามประการต่างๆ พอนึกถึงคำว่าวิรัติจะต้องนึกถึงคำว่าการสำรวมกายสำรวมใจไม่ให้เข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งที่มันมีมลทินมันมีความแปดเปื้อน จริงๆถ้าเอาตามความรู้สึกของผม เอาความรู้สึกส่วนตัวก็แล้วกันนะ อย่างคำว่าวิรัติจะเป็นสำหรับคนที่อยู่ในช่วงต้นๆที่จะฝึกถือศีลฝึกพัฒนาให้ศีลธรรมของตัวเองมันมีความสะอาด มันมีความก้าวหน้า เพราะว่าตัวคำว่าวิรัติเอง ผมดูแล้วมันให้ความรู้สึกว่าเราต้องระวังอยู่ เราต้องมีความประพฤติในแบบที่คอยระวังว่าใจของเราจะไปข้องแวะกับสิ่งแปดเปื้อนหรือว่ามีอะไรที่มากระทบให้หวั่นไหวแล้วเราจะเป๋หรือเปล่า
ตัวการวิรัติเหมือนกับพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไปอยู่ในเขตที่ไม่ปลอดภัยเขตอันตราย อย่างพวกที่เข้าไปในเขตอโคจรเรียกว่าไม่ระวังเรียกว่าไม่มีวิรัติ แต่พวกที่อาจจะเกิดความอยากขึ้นมาอยากโน่นอยากนี่ในแบบที่มันผิด หรือว่าเฉียดหรือว่าล่อแหลมกับความผิด แล้วห้ามใจตัวเองอดกลั้นไว้ อันนั้นคือความหมายของวิรัติ ซึ่งในความรู้สึกของผมมันจะยังมีอาการจุกอกอยู่นิดหนึ่ง มันจะยังมีอาการฝืนใจอยู่หน่อยหนึ่ง นี่คือมุมมองส่วนตัวนะ เพราะถ้าหากว่าเป็นคนที่สบายๆกับศีลแล้วมีศีลมีธรรมที่อยู่ตัวที่ไม่ต้องระวังรักษาแล้ว แม้แต่ความคิดอยากจะไปยุ่งกับเรื่องแปดเปื้อนทั้งหลายเรื่องมีมลทินทั้งหลายมันก็ไม่เอา เรียกว่าไม่เอาตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้วไม่ใช่ว่าจะต้องมาพยายามระวังรักษาเนื้อรักษาตัวกัน
โดยสรุปก็คือ ถ้าเกี่ยวกับเป็นพุทธพจน์นี่คงต้องไปกูเกิลหาเอานะ ผมไม่ค่อยมีความจำเกี่ยวกับเรื่องพุทธพจน์ที่ท่านตรัสถึงการวิรัตินี่เท่าไร แต่โดยความเข้าใจส่วนตัวก็แล้วกัน ตัวการวิรัติมันก็เหมือนกับผมจำไว้ง่ายๆว่า เหมือนกับรัดเนื้อรัดตัวไว้รัดใจไว้ไม่ให้มันหลุดออกไปสู่ความพินาศหรือว่าหลุดออกไปร่วงลงเหวหรือว่าหลุดออกไปเข้ารกเข้าพงเข้าป่าเข้าเขาแบบนั้น
๒) ออกกำลังกายมีผลให้จิตใจแจ่มใสร่างกายแข็งแรง
ขอแสดงความยินดีด้วยนะ ออกกำลังกายมาสัปดาห์ละ ๓ วันครบ ๒ เดือนแล้ว จิตแจ่มใสร่างกายแข็งแรงดี ก็น่าจะอย่างนั้นแหละไม่น่าแปลกใจ คนเรานี่นะเรื่องน่าแปลกใจก็คือร่างกายแล้วก็จิตใจอ่อนแอแล้วก็มาบ่นว่า ทำไมถึงได้มีสภาพชีวิตที่มันย่ำแย่อย่างนี้ ปวกเปียกอย่างนี้ แต่ต้นเหตุของความแข็งแรงรู้ๆกันอยู่แต่ไม่ทำก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจ แต่ถ้าใครบอกว่าออกกำลังกายมาอย่างสม่ำเสมอได้ ๒-๓ เดือนหรือครบปี แล้วมีสุขภาพดีจิตแจ่มใสร่างกายแข็งแรงไม่น่าแปลกใจ อันนี้เป็นเรื่องน่ายินดีด้วยอย่างยิ่ง
๓) มีพระธาตุเสด็จมามากมายตอนไปทำบุญที่วัด เรื่องนี้มีจริงหรือ? ควรทำอย่างไรดี?
เรื่องของพระธาตุนะก็มีมาหลายกระแสแล้ว ถ้าหากว่าไปพบพระธาตุเสด็จที่ไหน แล้วก็เกิดความรู้สึกที่เป็นมงคลหรือว่ามีความเลื่อมใสศรัทธาหนักแน่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากขึ้นก็ดีเหมือนกัน แต่บางทีอย่างล่าสุดก็เพิ่งมีข่าวไปเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่ในวัดในกรุงเทพฯมีคนไปขึ้นกันเยอะเลย บอกว่าพระธาตุเสด็จมาแล้วก็มาจับได้ทีหลังว่าเป็นการปล่อยพระธาตุมาด้วยเครื่องมือไฮเทค เป็นเรื่องหลอกลวงกันไป
เอาอย่างนี้ก็แล้วกันคือผมเองที่บ้านก็มีพระธาตุนะ คนให้มาไว้นานมากแล้วตั้งแต่สมัย ๒๐-๓๐ ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมจำความรู้สึกของตัวเองได้ว่าเมื่อได้รับพระธาตุที่อ้างกันว่าเป็นพระธาตุนี่นะ คือใจตอนนั้นอยากได้มาก แล้วก็มีความรู้สึกเหมือนกับอยากกราบอยากบูชาพระพุทธเจ้าหรือสิ่งแทนพระพุทธองค์อะไรก็ได้ที่จะเตือนให้เกิดความรู้สึกว่าพระพุทธองค์มีอยู่จริงแล้วก็ยังอยู่กับเรา ยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีตอนได้พระธาตุมามันมีความปีติปลาบปลื้ม แล้วก็เอามาใส่ผอบที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาซื้อได้ในช่วงนั้น แล้วก็มีความสุขมากทั้งวันบางทีแทบจะไม่ได้ทำอะไร ถ้าหากว่าเป็นวันว่างนะนั่งอยู่กับโต๊ะหมู่บูชานะครับ แล้วก็ตาจับจ้องพระพุทธรูปบ้างหรือว่าผอบพระธาตุบ้างก็มีความสุขเหลือเกิน ก็มีความรู้สึกว่าถ้าหากเรามีชีวิตอยู่แล้วก็มีความมั่นใจมีความอุ่นใจว่า พระพุทธเจ้าหรือว่าร่องรอยของพระองค์ท่านยังอยู่กับเรา แล้วก็รู้สึกอบอุ่นใจไม่เคว้งคว้าง
แต่ต่อมาพอได้อ่านพระพุทธพจน์ สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เองเลย ท่านตรัสว่าต่อให้จับสบงจีวรของท่านอยู่ จับสไบที่ท่านห่มครองอยู่ตลอดเวลา ท่านก็ไม่บอกว่าได้ชื่อว่าอยู่ใกล้ท่าน นี่ไม่ได้พูดถึงพระธาตุ นี่พูดถึงตัวพระองค์ท่านเองเลย แล้วก็คนที่มีโอกาสมีวาสนาอยู่ใกล้ท่านหลายคนก็ได้แต่เฝ้าชมรูปโฉมท่าน มีปีติจริงมีกุศลจิตจริงมีกุศลธรรมจริง แต่ไม่มั่นคงไม่ใช่ที่พึ่งที่ถาวร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าการที่เราได้มีอะไรบางอย่างไว้แทนพระองค์ก็ดี อย่างเจดีย์ที่สังเวชนียสถานท่านก็ตรัสไว้นะว่าผู้ที่ได้ไปเยี่ยมได้ไปสักการะนะครับ ก็จะถึงสวรรค์เป็นผู้ที่มีสิทธิ์ได้ถึงสวรรค์ กรรมนั้นมีสิทธิ์ได้ถึงสวรรค์ เพราะว่าเป็นการไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นการไปปลูกสร้างศรัทธา ให้มีความปักหลักมั่นคงในจิตใจของเรา แต่สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเราได้อย่างแน่นอนถาวรคือการปฏิบัติธรรม
ท่านบอกว่าถ้าอยากจะบูชาท่านให้ปฏิบัติเป็นบูชา ปฏิบัติหมายความว่าท่านสอนอะไรมาก็ปฏิบัติตามนั้น ทั้งในเรื่องของการให้ทานมีน้ำใจ ในเรื่องของการรักษาศีลให้ใจสะอาด แล้วก็เจริญสติจนกระทั่งได้เห็นพระองค์ท่าน ท่านตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ถ้าหากว่าเราได้เห็นพระธาตุแล้วมีปีติแล้วก็ดี ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายเป็นเรื่องที่เป็นมหามงคลเป็นเรื่องที่เราสามารถจะบอกได้ว่าเป็นวันดีแต่อย่ายึด เพราะว่าสมัยนี้เราไม่รู้นะว่าองค์ไหนองค์จริงองค์ไหนองค์ปลอม องค์ไหนเสด็จมาตามธรรมชาติองค์ไหนเสด็จมาด้วยเครื่องมือไฮเทค เมื่อกี้ขออภัยด้วยที่อ่าน ออนแอร์ออกอากาศไปนะ คือผมก็ไม่ได้อ่านข้อความทั้งหมดก็มีชื่อสถานที่อะไรไปเรียบร้อย ผมไม่ได้พูดถึงว่าวัดไหนหลอกลวงหรือไม่หลอกลวง แต่ผมพูดกว้างๆว่าอย่าไปฝากใจไว้กับอะไรที่เป็นวัตถุภายนอก แม้แต่อย่างพระพุทธรูปที่ผมเคารพกราบไหว้บูชาอยู่ทุกวัน ผมก็รู้ว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ เป็นของที่สร้างขึ้นมาแต่ของที่สร้างขึ้นมาอะไรก็แล้วแต่ที่แทนพระองค์ได้ กระตุ้นใจให้เราระลึกถึงพระพุทธองค์ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น
ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะทำใจของเราให้เป็นธรรมะได้ สามารถที่จะปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องบูชาได้ อันนั้นแหละหลักประกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อให้ในภายหลังเราจะรู้ว่าเป็นของหลอกหรือเป็นของปรุงแต่ง เราก็ยังกราบไหว้ด้วยความเข้าใจอยู่ว่านั่นเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วยิ่งถ้าหากว่านั่นเป็นพระธาตุจริงๆก็ยิ่งดีใหญ่เลยนะ เรายิ่งได้สัมผัสถึงกระแสที่มีความสว่างมีความรุ่งเรืองมาก ของอะไรก็แล้วแต่ที่แทนพระพุทธองค์แล้วเรากราบไหว้ด้วยใจนะ มันจะมีความจริงจากใจเราเข้าไปอยู่ในวัตถุ เผื่อจะมีกระแสดึงดูดพุทธคุณมาลงที่วัตถุนั้นจริงๆ นี่ขอย้ำนะ ย้ำอีกครั้งหนึ่ง ย้ำแรงๆเลยว่าไม่ได้บอกนะว่านี่ของเก๊หรือของจริง แต่นี่พูดโดยกว้างเลยคำว่ากระแสพุทธคุณหมายถึงว่าพุทธานุภาพที่ยังคงอยู่ พุทธานุภาพนี่ถ้าใครเคยสัมผัสจะไม่สงสัย หมั่นระลึกถึงพระพุทธเจ้าเรื่อยๆ กราบไหว้โต๊ะหมู่บูชาของตัวเองเรื่อยๆพระปฏิมาจะสว่างรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าคนธรรมดาสามารถสัมผัสได้ด้วยใจว่ามีความสว่างมีความเบิกบานมีความชื่นบานมีความปลอดโปร่ง ต่อให้ห้องพระนั้นเดิมทีให้ความรู้สึกทึบๆให้ความรู้สึกเหมือนไม่น่าอยู่มาก่อน แต่เราเข้าไปกราบไหว้ทุกวัน เข้าไปสวดอิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ… ทุกวันย้ำๆทั้งเช้าทั้งเย็น ในที่สุดห้องนั้นมีความสว่างเบิกบานมีความปลอดโปร่งขึ้นมา มีความโล่งโถงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด อันนี้เป็นสิ่งที่น่าจะเป็นประสบการณ์ตรงกันของชาวพุทธทุกคน ที่ได้กราบไหว้บูชาได้สวดมนต์แล้วก็เกิดความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมา
แต่ถ้าคนที่เห็นเลยนะเห็นเรื่องของสิ่งที่มันมองไม่ได้ด้วยตาสัมผัสไม่ได้ด้วยตา จะเห็นชัดเจนเลยนะว่ายิ่งเรากราบไหว้ยิ่งเราบูชา ความเป็นพุทธานุภาพหรือว่าพุทธคุณก็จะมาลงที่วัตถุนั้นมากขึ้นเรื่อยๆไม่ต้องไปปลุกเสกที่ไหน ขอให้เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าจริงๆแล้วมีใจแน่วแน่เป็นสมาธิในการสวดมนต์ในการบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณจริงๆ มันเกิดเป็นความมหัศจรรย์ที่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจ แล้วก็สามารถรู้เห็นได้ด้วยความมีสัมผัสภายในพิเศษของแต่ละคนนะ ถ้ายิ่งมีสมาธิมากก็จะยิ่งมีสัมผัสตรงนี้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากว่าไม่ไปหลงอะไรที่มันเกินขอบเขตเกินความสามารถของตัวเองมากเกินไป เอาเฉพาะตรงที่ว่าเราได้ความอบอุ่นใจจากการสัมผัสพุทธานุภาพที่ออกมาจากเครื่องกระตุ้นให้ระลึกสัญลักษณ์ของความเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดเลยก็คือจะเหนี่ยวนำให้เราอยากจะเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานในใจของเราอย่างแท้จริงนะครับ ตรงนั้นแหละธรรมะจะติดตามเราไปทุกที่ทุกเวลา ซึ่งมันเป็นประโยชน์สูงสุด มันเป็นการบูชาธรรม บูชาพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีอะไรอื่นเหนือไปกว่านั้นอีกแล้ว
สรุปคือ หาที่ประดิษฐานให้แบบพระธาตุนะครับ แล้วก็บูชาตามปกติเอาไปไว้ที่โต๊ะหมู่บูชานั่นแหละ วางไว้เสมอกันกับพระปฏิมาก็ได้ หรือว่าจะลดลงมาชั้นหนึ่งก็ได้ เพราะว่าเป็นเครื่องแทนพระพุทธเจ้าเหมือนๆกัน
๔) ไปรู้ความรู้สึกหรือความคิดของคนอื่นได้ ควรกลับมาดูกายใจตัวเองหรือไม่ ควรทำอย่างไรดี?
พระพุทธเจ้าตรัสว่านะ ในสติปัฏฐาน ๔ ท่านตรัสไว้ ท่านไม่ได้ให้ดูกายใจของเราอย่างเดียวให้ดูกายใจของคนอื่นด้วย คือ ถ้าดูกายส่วนไหนของตัวเองเป็นก็ให้ฝึกไปดูกายของคนอื่นในส่วนนั้นด้วย เช่น ถ้าหากว่าเราสามารถรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกได้อย่างชัดเจนนะครับ มีความเคยชินมีอาการทางใจผูกอยู่กับลมหายใจเข้าออกเป็นปกติแล้ว เราจะสามารถรู้สึกขึ้นมาได้เองว่า เวลาคนอื่นเขาหายใจเมื่อไรที่หายใจเข้าเมื่อไรที่หายใจออก เขาหายใจยาวเป็นส่วนใหญ่หรือหายใจสั้นเป็นส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่จะหายใจกันไม่ค่อยจะเข้าท่าสักเท่าไร คนส่วนใหญ่หายใจแบบไม่ค่อยมีความสุขกัน เพราะว่ามัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิด สติเอาไปใช้ในเรื่องของการงานปัญหาชีวิตหรือว่าคนรัก อะไรก็แล้วแต่ที่มันไม่ค่อยเป็นประโยชน์ทั้งหลาย จิตคนเราไปผูกอยู่กับสิ่งเหล่านั้นเสียมาก แต่ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ที่ฝึกที่จะเอาใจของเรามาผูกอยู่กับอารมณ์ที่เป็นประโยชน์ อย่างเช่นลมหายใจ แล้วก็รู้หลักที่จะมอง รู้หลักที่จะดู ดูว่าเดี๋ยวมันก็เข้าเดี๋ยวมันก็ออก เดี๋ยวมันก็ยาวเดี๋ยวมันก็สั้น ไม่เที่ยง ถ้าหากว่าเราผูกอยู่กับสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างนี้เป็น เราก็จะเห็นว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าคนอื่นๆเยอะเลย แล้วก็มีความเบา มีความโล่ง มีความปลอดโปร่ง คิดน้อยในขณะที่คนอื่นคิดมาก
พอสามารถที่จะเห็นอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ในตัวเรา แล้วสามารถเห็นความเป็นสุขเป็นทุกข์ของคนอื่นได้เหมือนๆกัน เห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่เห็นโดยความเป็นบุคคล ไม่ใช่เห็นว่าเขากำลังคิดอะไร ไม่ใช่เห็นว่าเขากำลังมีความสุขมีความทุกข์แค่ไหน แต่เราเห็นว่าทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งคิดมากคิดน้อยนั้นเป็นของไม่เที่ยง ไม่ต่างจากที่เราเห็นในตัวเราเองเลย เราเคยเห็นในตัวเราอย่างไร มันก็ไปปรากฏแบบนั้นไม่ต่างกันในตัวคนอื่น คือความต่างมันอาจต่างในรูปแบบเขาอาจจะมีความทึบมากกว่า เขาอาจจะคิดมากกว่า เขาอาจจะมีความร้อนมากกว่า แต่สิ่งที่เหมือนกันไม่แตกต่างกันเลยก็คือ ไม่ว่าภาวะอะไรเกิดขึ้นภาวะนั้นจะเสื่อมลงแปรไปหรือว่าเปลี่ยนระดับเปลี่ยนดีกรี เสมอ ไม่มีอะไรเลยไม่มีภาวะไหนเลยทั้งในเราในเขาที่เที่ยง นี่แหละที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสให้เป็นหลักการในสติปัฏฐาน ๔
เพราะฉะนั้นสรุปคำตอบก็คือ ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากว่าเราสามารถจะมีความรู้สึกตามจริงถูกต้องว่า กำลังเกิดภาวะอย่างไรในเราในเขา ให้เห็นเป็นความไม่เที่ยงแล้วจะปลอดภัยไม่มีอันตรายอะไรนะครับ แต่ถ้าเมื่อไรที่เรามีใจจดจ่อปักเข้าไปยึดเข้าไปว่า นั่นคือความคิดของเขานี่คือความคิดของเรา แล้วมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ว่านี่เรานั่นเขา อันนั้นแหละมันเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดอุปาทานไม่แตกต่างกับที่ใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ เกิดอุปาทานได้หมดนะ
๕) เจริญสติแล้วเห็นว่าจิตมีความจงใจหรือมีการบังคับจนเหนื่อย ขอคำแนะนำในการปฏิบัติด้วย?
การที่เราเจริญสติแล้วสามารถที่จะเห็นได้ว่ากำลังเกิดปรากฏการณ์ทางใจอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นอาการเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็นอาการจงใจเกินเหตุ หรือว่าไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกว่านี่เรากำลังไม่อยู่ในช่วงท็อปฟอร์ม ไม่อยู่ในช่วงที่ทำแล้วเจริญ ถ้าหากว่าเห็นไม่ตรงจริงนะ มันถูกหมดแหละ มันไม่มีอะไรต้องไปห่วงไม่มีอะไรต้องไปกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ถามบอกว่าช่วงนี้บังคับจนเหนื่อย ถ้าเห็นอาการบังคับจนเหนื่อย แล้วก็เห็นว่าตัวบังคับจนเหนื่อยนั้นมันไม่เที่ยงได้ ก็ถือว่าโอเค แต่ถ้าหากว่ารู้สึกว่าบังคับจนเหนื่อยแล้วตามมาด้วยความรู้สึกไม่อยากปฏิบัติแล้ว ไม่เอาแล้ว ปล่อยจิตปล่อยใจดีกว่า ตัวนั้นแหละที่มันเป็นการออกนอกทางของจริง ตัวนั้นแหละที่สติมันเริ่มจะเข้าสู่ช่วงเสื่อมของจริง แต่ถ้าเรารู้สึกเหนื่อยแล้วก็เห็นความเหนื่อยปรากฏแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวก็กลายเป็นความรู้สึกเฉยๆธรรมดาขึ้นมา กลับสดชื่นขึ้นมาได้ อันนี้แหละที่เรียกว่าเห็นความไม่เที่ยง
ในการปฏิบัติจริงๆนะ ตัวที่ตัดสินว่าเรากำลังเสื่อมหรือเจริญไม่ใช่ตัวภาวะ ภาวะมันบางทีแย่มาก มืดมาก หรือว่าหดหู่มาก หรือว่ามีอาการที่บางคนเหมือนกับว้าวุ่นด้วยซ้ำ ตัวภาวะเหล่านั้นยังไม่ได้ตัดสินว่าเราเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงแค่ไหน แต่ตัดสินตรงที่ว่าเรามีปฏิกิริยาอย่างไรกับมันต่างหาก ถ้าปฏิกิริยาของเรามันมีความขึ้นใจ มันมีความแน่นอนที่จะเห็นภาวะแย่ๆเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เห็นเข้าไปตรงไหนก็ได้ เป็นความฟุ้งซ่านก็ได้ เป็นความรู้สึกทุกข์ทรมานอึดอัดทุรนทุราย อะไรก็แล้วแต่ที่มันกำลังปรากฏอยู่ตามจริง ถือว่าใช้ได้หมด แต่ถ้าหากว่าเราไม่ขึ้นใจนะ แล้วก็เห็นความรู้สึกที่มันเหนื่อย เห็นความรู้สึกที่มันแย่แล้วไปแย่ตามมัน ตรงนั้นแหละที่มันคือการที่เราออกนอกทางการเจริญสตินะครับ
๖) คนมีบุญหมายความว่าอย่างไร?
คนมีบุญก็คือคนที่เป็นมนุษย์ทุกคนที่มาเกิดในโลกนี้แหละ ถ้าหากว่ามาเกิดในโลกนี้แล้วได้เป็นสัตว์เดรัจฉาน อันนั้นเรียกว่าเป็นพวกมีบาป คือเคยเป็นคนแล้วมีบาปมาก่อนถึงได้มาเกิดแค่เป็นเดรัจฉาน แต่ถ้าหากว่ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ต่อให้อยู่เอธิโอเปีย ต่อให้กำลังจะตายอยู่ในป่าแอฟริกาที่ไม่มีเครื่องมือเครื่องช่วยชีวิต ก็เคยมีบุญมาก่อนทั้งสิ้น เพราะอะไร? เพราะว่าตามหลักของพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาที่ชี้ความจริงตามธรรมชาติที่ปรากฏตามธรรมชาติ ความเป็นมนุษย์ถือกำเนิดเริ่มต้นขึ้นมาจากจิตที่เป็นกุศล จิตดวงแรกในชีวิตเลย เป็นจิตที่มีกุศลเป็นจิตที่มีความสว่าง จิตที่มีความสว่างซึ่งถือกำเนิดเป็นดวงแรกของชีวิตมนุษย์ เขาเรียกว่าเป็นวิบากจิต เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากบุญเก่า หมายความว่า ถ้าชีวิตเก่าบุญไม่ถึง คือมีบุญน้อยกว่าบาป บาปมันมีกำลังมากกว่า มันก็พาไปเกิดในที่ต่ำ พาไปเกิดเป็นสัตว์บ้าง พาไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง พาไปเกิดเป็นเปรตบ้าง แต่ถ้าหากว่าทำบุญทำกรรมมาทั้งชาติ แล้วช่วงก่อนตายมันมีความสว่างมากกว่าความมืด กำลังของบุญมากกว่ากำลังของบาป นั่นแหละตรงนั้นมันจะสร้างความสว่างแบบหนึ่งขึ้นมา ในแบบที่จะทำให้เห็นนิมิตอะไรที่มันดีๆเห็นทางข้างหน้าที่จะไปอยู่ ที่จะไปเสวย ที่จะไปเป็น โดยความเป็นของดี โดยความเป็นของเจริญ โดยความเป็นของน่าอยู่น่าเอาน่ามีน่าเป็น พอจิตสุดท้ายในชาติที่แล้วเกิดขึ้นที่เรียกว่าจุติจิต จุติจิตก็คือจิตที่มีหน้าที่พาเคลื่อนจากภพเก่าไปสู่ภพใหม่ แล้วเมื่อมีปฏิสนธิจิต ตัวปฏิสนธิจิตก็คือจิตดวงแรกที่เริ่มต้นขึ้นในชาตินี้ ตรงนั้นถ้าหากว่ามันมีความสว่างมากพอที่จะเข้าท้องมนุษย์ได้ นี่แหละเรียกว่าเป็นการแสดงตัวของบุญเก่าที่มันมากกว่าบาป
ส่วนที่ว่าเกิดมาแล้วจะมีชะตาชีวิตที่ไม่ค่อยเข้าท่าเข้าทางมีชะตาที่ค่อนข้างลำบากอะไรยังไง อันนั้นก็แล้วแต่ว่าบาปเก่าที่ทำมาในอดีตชาติ มันจะมาแสดงตัวอย่างไรตามหลังมาตามลำดับ สรุปก็คือ ถ้าบอกว่าคนมีบุญ ก็ตัวคนนั่นแหละมีบุญกันทั้งนั้น แต่ถ้าเอาตามความหมายของคนไทยมักจะพูดถึงคนที่มีบุญญาธิการสูงๆ เกิดมารูปร่างหน้าตาดี ฐานะดี ชะตาชีวิตดี เนื้อคู่ดี เพื่อนดี บริวารดี เจ้านายดี ครูดี พ่อแม่ดี ทุกอย่างที่มันเป็นของดีนั่นแหละเป็นเครื่องหมายของความมีบุญทั้งสิ้น แต่ละคนต่อให้มีบุญขนาดไหนนะ ก็ไม่มีครบพร้อมหรอก มักจะขาดโน่นนิดขาดนี่หน่อย อย่างเช่นเกิดมาพ่อแม่ดี รูปร่างหน้าตาดี แต่เนื้อคู่ไม่ดีก็มี หรือว่าเกิดมาทุกอย่างเหมือนพร้อม แต่ว่าไม่มีความสุขในชีวิต ไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนอย่างนี้ก็มี ถ้าขาดอะไรไปนั่นก็แสดงว่ายังมีบุญมาไม่ครบไม่พร้อม คืออย่าไปจำกัดความว่าคนมีบุญจะต้องฟิกซ์เลยว่าจะต้องมีอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ บอกได้เลยทุกคนมีบุญ แต่มีมาไม่ครบมีมาไม่พร้อมมีมาไม่เท่ากัน แล้วก็ทำให้เกิดความแตกต่าง เกิดความหลากหลาย เป็นที่มาของความอิจฉาริษยากัน
คนเราถูกทำให้ลืมกันมาทั้งนั้นแหละ ลืมกันมาตั้งแต่เกิดว่า มาเกิดเป็นแบบนี้ได้อย่างไร พอเห็นโดยที่จำไม่ได้ว่าต่างคนต่างเคยไปทำอะไรมาไว้ ก็เห็นแต่ว่าเขามีมากกว่าเราเขามีน้อยกว่าเรา เกิดมานะเทียบเขาเทียบเราว่าเราเหนือกว่าเขาเราด้อยกว่าเขา แล้วก็เกิดเป็นความดูหมิ่นกันหรือว่าเกิดความอิจฉาริษยากัน มีอยู่แค่นี้แหละในสังสารวัฏ เรื่องที่น่ากลัวเรื่องที่น่าอิดหนาระอาใจมันก็ตั้งต้นขึ้นมาจากความไม่รู้ด้วยกันทั้งสิ้น ต่อให้เคยทำบุญมามากแค่ไหน ได้ชื่อว่าเป็นคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ขนาดไหน ในที่สุดก็วนเวียนอยู่กับความไม่รู้ แล้วคนมีบุญนี่นะทำบาปได้ยิ่งกว่า คือคนมีบุญมากทำบาปได้ยิ่งกว่าคนที่มีบุญน้อย เพราะอะไร? เพราะว่าเครื่องมือมีมากกว่า เครื่องมือที่จะทำบาปเหลือเฟือเลย อย่างถ้าหากว่าเกิดมาบุญหนักศักดิ์ใหญ่ขนาดได้เป็นกษัตริย์ กษัตริย์มีอำนาจขนาดไหน สั่งตัดคอคนได้เป็นเจ้าชีวิต หรือว่าลูกคนรวยเกิดมาไม่ต้องทำอะไรรวยเลย น่าอิจฉาใช่ไหม แต่ว่าหารู้ไม่ พอไปตามสถานที่อโคจรมองหน้ากันนิดเดียว ก็ยิงกันหรือเสียบกันแทงกันวิ่งไล่ตามกันออกมานอกร้านน่าอเนจอนาถ นี่แหละลักษณะของคนมีบุญนะไม่ใช่น่าอิจฉาหรอกแต่น่าเป็นห่วงมากกว่า
เอาเป็นว่าถ้าเรามีบุญแบบพอดีๆมีบุญในแบบที่ตรงทาง มีบุญในแบบที่จะสนับสนุนให้อยากพัฒนาจิตวิญญาณเข้าสู่เส้นทางของอริยะ หมายความว่าเราเป็นผู้เจริญแล้ว อริยะแปลว่าผู้เจริญแล้ว อย่างแท้จริง ผู้เจริญแล้วทางจิตทางวิญญาณ ผู้เจริญแล้วอันเกิดจากปัญญามีความเข้าใจว่า สิ่งที่ควรทำคืออะไรมากที่สุด? สิ่งที่ควรที่จะหนีคืออะไร? สิ่งที่ควรที่จะเอาคืออะไร? สิ่งที่ควรที่จะหนีก็คือการเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ สิ่งที่ควรจะได้มาอย่างแท้จริงก็คือนิพพาน นี่ถ้าหากว่ามีบุญพอจะเข้าใจตรงนี้ใจคลิกกับตรงนี้จริงๆ เชื่อมต่อกับตรงนี้จริงๆ นี่แหละถึงจะเรียกว่าคนมีบุญขนานแท้ ประเภทที่ว่าร่ำรวยหรือว่ามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่อะไรนั่นเป็นของชั่วคราว นั่นเป็นของน่าอิจฉาแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่คนน่าอิจฉาแท้จริงคือคนที่มีความรู้มีความเข้าใจในเรื่องของสวรรค์ เส้นทางสวรรค์และนิพพานอย่างแท้จริงนะครับ
๗) การให้อภัยมีผลดีอย่างไรต่อเราบ้าง?
ในแง่ของจิตใจเลย ก็คือว่าจิตใจมันจะไม่ยึดความมืดเอาไว้ ไม่ยึดความร้อนเอาไว้ เมื่อไม่ยึดความมืดไม่ยึดความร้อนก็เข้าสู่ภาวะดั้งเดิมของจิต คือมีความสว่างมีความประภัสสร มีความโล่ง มีความสบาย เปรียบเหมือนกับห้องว่าง ถ้าหากว่าไม่เอาของอะไรเข้ามา มันก็ว่าง มันก็โล่ง มันก็โปร่ง มันก็สบาย แต่เมื่อเราเอาของอะไรเข้ามาไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นของที่มีเชื้อโรคเป็นของที่มีอันตรายมีพิษมีภัย ยิ่งเอามากองมากเท่าไรห้องนั้นก็ยิ่งเป็นภัยต่อเรามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเราจำเป็นจะต้องอยู่ในห้องอยู่ทั้งวันทั้งคืนตลอด ๒๔ ชั่วโมง พิษภัยก็ซึมแทรกเข้าสู่หัวใจของเรามากขึ้นเท่านั้น
อันนี้ก็เหมือนกันครับจิตของเรามันเกิดดับเกิดดับอยู่ตลอดวันตลอดคืน เอาเป็นว่าเหมารวมเอาว่าเป็นจิตของเราดวงเดียวนี่แหละ ถ้าหากว่ามันเกิดดับเกิดดับด้วยความสืบเนื่องของอกุศลสัญญา สืบเนื่องด้วยพยาบาทสัญญา หมายความว่ามีความหมายมั่นจะแก้แค้นเอาคืนให้ได้ มีความผูกใจเจ็บไม่ยอมที่จะปลดปล่อยศัตรูออกไปจากใจของเรา มันก็เหมือนกับมีศัตรูอยู่ในใจของเราตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง มันจะดีไปได้อย่างไร มันจะปลอดโปร่งไปได้อย่างไร มันจะมีความสุขไปได้อย่างไร
ถ้าหากว่าพูดถึงผลดีที่เกิดขึ้นแบบเห็นได้ชัดเลยในปัจจุบันนี้ ก็คือเราปลดปล่อยเอาพิษเอาภัยเอาความมืดออกจากจิตใจ ปลดปล่อยความร้อนออกไปจากจิตใจ แต่ถ้าพูดถึงระยะยาวพูดถึงสิ่งที่มันเป็นผลข้างหน้า ก็บอกได้นะครับว่าเราให้อภัยไปแต่ละครั้งก็คือการปัดเวรปัดภัยออกจากเส้นทางของตัวเองไปนั่นแหละ เพราะว่าตามหลักของพุทธศาสนาไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเป็นภัยเป็นเวรที่ผูกกันมา เราจะเจอใครบางคนเสมอในชีวิตของคนๆหนึ่ง จะมีใครบางคนมาทำให้เราแค้น มีใครบางคนมาทำให้เรานึกถึงในทางไม่ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ลืม ต่อให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกันจะผ่านไปนานเป็นสิบปีแล้วก็ตาม อันนั้นพระพุทธศาสนาท่านให้ตัวอย่างไว้เยอะว่าเป็นการผูกเวรกันมา ถ้าหากว่าเราไม่ฝึกที่จะให้อภัย คิดหมดหยุมหยิมเล็กน้อยอะไรไม่อภัยเลย มันจะไม่มีแรง ไม่มีกำลัง เข้าไปให้อภัยเวรใหญ่ๆได้
การให้อภัยเล็กๆ รายเล็กรายน้อยรายย่อยทั้งหลาย เบี้ยใบ้รายทางทั้งหลาย อย่าคิดว่าไม่มีประโยชน์มันเป็นการสร้างกำลังมันเป็นการสร้างฐานของอำนาจ ที่ใจจะถอนออกมาจากอาการโกรธอาการแค้นอาการยึดอาการเหนี่ยวรั้งเอาภัยเข้าตัว ยิ่งเรามีความสามารถในการให้อภัยเรื่องเล็กเรื่องน้อยได้มากเท่าไร แนวโน้มก็คือเราจะมีความสามารถในการให้อภัยเรื่องใหญ่ๆได้ด้วย แต่ถ้าหากว่าการให้อภัยเรื่องเล็กเรื่องน้อยยังทำไม่ได้ จะให้ไปอภัยเรื่องใหญ่ ลืมไปได้เลยหมดสิทธิ์ คืออภัยเรื่องเล็กเรื่องน้อยได้ ยังไม่ได้เป็นประกันนะว่าจะอภัยเรื่องใหญ่ได้ แต่การไม่สามารถที่จะอภัยเรื่องเล็กเรื่องน้อยได้ อันนี้ประกันได้เลยว่าเรื่องใหญ่ก็ไม่สามารถที่จะอภัยได้เช่นกัน
แล้วเมื่อไม่สามารถอภัยเรื่องใหญ่ได้ มันก็หมายความว่าเรายังรักษาเวรรักษาภัยไว้ เกิดใหม่ลืมกันไปแล้วว่าเคยทำอะไรกันมา รู้แต่ว่าไม่ชอบหน้าเจอหน้าปุ๊บไม่ถูกโฉลกทันที เกลียดขี้หน้าขึ้นมาทันที อยากหาเรื่องขึ้นมาทันที หรือว่าเกิดเรื่องเล็กอยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่อยากทำให้มันตายไปเลย อยากทำให้มันเรียกว่า เรากับเขานี่อยู่ในโลกเดียวกันไม่ได้ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่สละโลกนี้ไป ลืมไปแล้วว่าเคยทำอะไรกันมา จำได้แต่ความเกลียด คือบาปเก่าๆที่เคยทำมาร่วมกันมันไปกระตุ้นเตือนลักษณะที่ให้ผลของกรรม มันเกิดใหม่แล้วเจอกัน มันจะบันดาลอกุศลสัญญาเก่าๆมันจะเนรมิตความรู้สึกเกลียดขึ้นมาโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ไม่มีใครมีความสามารถที่จะจำได้ สรุปก็คือ ถ้าอภัยได้ก็ไม่ต้องมีเวรไม่มีภัยในระยะยาวด้วย
เอาล่ะครับ คืนนี้ขอให้มีความสุขกับปีใหม่ไทยถ้วนหน้ากันทุกคน เจริญในธรรมนะครับ เดี๋ยวไว้วันจันทร์พบกัน
« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น