วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๕ / วันที่ ๔ ก.พ. ๕๕


สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันเสาร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงครับ เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการ ก็เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks นะครับ

ถือเป็นวันแรกที่รายการดังตฤณวิสัชนาออนแอร์ในช่วงสาย และอย่างที่ทราบว่าสภาพแวดล้อมของการออนแอร์รายการนี้เป็นแบบเปิด ไม่ได้อยู่ในห้องปิดอย่างในสถานีวิทยุมาตรฐาน จึงถือว่ามีความเสี่ยง ที่ในช่วงสายแบบนี้จะได้ยินเสียงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เป็นหมาแมวข้างบ้านนะครับ ถ้าได้ยินก็ขอให้คิดเสียว่า มานั่งอยู่ในห้องรับแขกบ้านผมจริงๆก็แล้วกัน

เสียงเพลงตอนต้นรายการนะครับ คือเพลง กราบหลวงตา ขับร้องโดย ปาน ธนพรเรียบเรียงดนตรีโดย คุณเกรียงไกร เตรียมชาญชูชัยดาวน์โหลดเวอร์ชันเต็มได้จาก http://www.dungtrin.com ครับ

เพลงนี้มีดนตรีสองเวอร์ชัน อีกเวอร์ชันนึง คุณณธนา หลงบางพลีเป็นคนทำนะครับ ก็เป็นสองอารมณ์ของเพลงนะครับ ที่ดนตรีเนี่ย เป็นตัวที่ทำให้เรารู้สึกถึงความแตกต่างว่า จินตนาการของคนที่ทำดนตรีเนี่ย ตีความหมายเนื้อร้องทำนองอย่างไรนะครับ

ที่มาที่ไปของเพลงนี้ ก็คงอย่างที่หลายคนทราบนะครับว่า เมื่อสิ้นหลวงตาเนี่ย ศิลปินหลายคนก็อยากมีส่วนทำดนตรีเทิดพระเกียรติของท่านนะครับ ซึ่งก็รวมทั้งปานด้วย เย็นวันนึงปานโทรมาบอกว่า อยากให้ผมแต่งเพลงถวายหลวงตา เพราะปานเองก็คุ้นเคยกับลูกศิษย์สนิทขององค์ท่านนะครับ ทีแรกผมเข้าใจผิด นึกว่าจะเอาเลยในวันสองวัน เพื่อไปเปิดในงานแบบไม่เป็นทางการ ผมก็เลยรีบร้อน ไม่ได้กินไม่ได้นอนเลยนะครับ แต่งกันทั้งวันทั้งคืน เผอิญก็ว่ามีใจอยู่เต็มเปี่ยม ก็เลยแต่งด้วยใจออกมาได้เร็วหน่อยนะครับ เอาล่ะครับ เดี๋ยวผมจะลองรีเฟรชเลยนะครับ

วันนี้ก็เป็นวันหยุดของทุกคนนะครับ ก็คิดว่าน่าจะอยู่บ้านอยู่ช่องกัน แต่ถ้าหากว่าไม่ได้อยู่บ้าน ก็ไม่เป็นไร ดาวน์โหลดฟังกันทีหลังได้นะครับ

สวัสดีทักทายกับทุกท่านนะครับที่เข้ามาคอมเมนต์กันแล้ว ในหน้าวอลล์ของ http://www.facebook.com/HowfarBooks



) การที่มีคนมาชอบเรา หรือรู้ว่าคนที่เราชอบ ชอบเราตอบ และมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้ อยู่ๆเราก็รู้สึกกลัวปนรังเกียจขึ้นมา ไม่อยากคุย ไม่อยากเจอขึ้นมาเฉยๆ จนทำให้เราหนี หรือพูดไม่ดีกับเค้าไป มักจะเป็นแบบนี้กับทุกคนเลย อยากทราบว่าเป็นเพราะอะไร? เพราะวิบากเก่าหรือเปล่า? ควรทำอย่างไรดี?

ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้กันอยู่เรื่อยๆอยู่แล้วนะ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติซะทีเดียว
คือบางที ปมในใจของคนเรามันมีอยู่เยอะ ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงด้วย
ผู้ชายก็เป็นนะ และไม่ใช่น้อยๆด้วย

หลายคนที่ผมรู้จัก ก็เริ่มมีอาการทำนองนี้มาตั้งแต่ยังวัยรุ่นนะครับ ไม่จำเป็นต้องไปผ่านประสบการณ์ไม่ดี หรือว่ามีความคิดเลวร้ายอะไรซ่อนอยู่

แล้วบางทีไม่ใช่เรื่องของวิบากเก่าอะไรด้วย มันเป็นเรื่องของปมในใจ ที่มนุษย์เรา มันมีความซับซ้อน เราอยากได้อะไรที่มันดีๆ แต่เราก็กลัวที่จะเจอความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากกว่าเราไปเกิดความรู้สึกที่ฝังใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตคู่ หรือเรื่องของการอยู่ร่วมกับใครสักคน พูดง่ายๆว่า กลัวเค้าจะเข้ากับเราไม่ได้ กลัวเราจะเข้ากับเค้าไม่สำเร็จ

ถ้าหากว่ามีปมอะไรอยู่ในใจก็แล้วแต่ ซึ่งเราไม่สามารถอธิบายตัวเองได้
มันจะแผลงฤทธิ์ตอนที่เกิดความรู้สึกว่า มีสิทธิ์ละ มีทางที่จะเป็นแฟนกันจริงๆแล้ว มีทางที่จะอยู่กันได้จริงๆแล้ว

ถ้าลองสังเกตดู ตอนที่เราเกิดความรู้สึกกลัว จะเป็นตอนที่เรามักจะคิดไปเอง หรือว่าอยู่เฉยๆ แล้วมันเกิดความรู้สึกไม่อยากที่จะมีขึ้นมา

ความรู้สึกแบบนี้ ถ้าหากมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งนะครับ ก็พอบอกได้ว่า ข้างในใจเราจริงๆ มีปมที่ค่อนข้างจะแน่นหนา อาจจะผูกกันหลายซับหลายซ้อน อาจจะมีม่านอะไรบางอย่างที่กั้นเราไว้ หรือว่ากำแพงหนาๆที่กั้นเราไว้ระหว่างเรากับชีวิตคู่

ถ้าหากว่าเราไม่ได้มีความทุกข์กับการอยู่คนเดียวเป็นโสดมากนะ
อยากให้ลองคิดอย่างนี้ก็แล้วกันว่า อย่างที่หลายคน อาจจะเคยเห็นผมเขียนว่า ตอนที่เราไม่มีคู่ เรารู้แน่ๆว่าทุกข์เพราะความเหงา
แต่เราไม่สิทธิ์รู้เลยนะครับว่า พอมีคู่แล้ว จะทุกข์เพราะอะไรบ้าง

การที่เราไม่แน่ใจ การที่เรายังไม่รู้สึกว่าใช่ การที่เรายังมีความรู้สึกหวั่นไหว การที่เรายังมีความกลัว อันนั้นมันยังไม่ใช่ความผิด ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบาปเป็นอกุศล

แต่ถ้าหากว่าเรายังฝืนดันทุรังต่อไป แล้วไปทำให้ใครเค้าเกิดความเจ็บปวด ยกตัวอย่างเช่น ตกลงปลงใจว่า โอเค เป็นแฟนกันละ
จากนั้นไม่นาน เราบอกเค้าดื้อๆว่า ไม่อยากมีแฟนแล้ว อยากกลับไปเป็นโสด อยากเป็นอิสระ มักจะใช้คำนี้กันมากเลย อยากกลับไปเป็นอิสระอีกครั้ง ถามว่าแฟนทำผิดอะไร บอกว่าเธอไม่ได้ผิดอะไรเลย แล้วฉันก็ไม่อยากจะใช้คำว่าเธอดีเกินไปด้วย แต่ฉันอยากจะเป็นอิสระ นั่นแหละ ถึงจะเรียกว่าเป็นการ สร้างเวรขึ้นมาแล้ว

อาจจะไม่ได้จงใจสร้างบาป ไม่ได้จงใจว่าอยากจะทำร้ายให้เค้าเจ็บช้ำน้ำใจ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็มีการ สร้างความผูกพันกันขึ้นมา จองตัวกัน เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เป็นแฟน เดินไปไหนมาไหนด้วยกัน ต้องทำอะไรให้กัน จูงมือกันได้ มันผูกพันไปแล้ว แล้วเราไป ตัดความผูกพันตรงนั้น  ‘ความผูกพันนั้นจะกลายเป็น เวรขึ้นมาทันทีนะครับ

ก็ขอแนะนำว่า ถ้าหากยังกลัวที่จะมีใครอยู่ รู้สึกว่ายังไม่เจอคนที่ใช่จริงๆ ที่จะทำให้เรายอมสละสิทธิ์ความโสดไปนะ ก็เอาเป็นว่า มามีความสุขกับชีวิตในแง่อื่นๆที่ไม่ต้องมีใครอยู่เคียงข้างก็แล้วกัน

ถ้าพูดถึงวิบาก จริงๆมันก็มีอยู่นะ ถ้ามองในแง่ของกรรมวิบาก บางคนรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถ โดยเฉพาะผู้หญิง ไม่สามารถลงให้กับผู้ชายได้ แล้วถ้าหากว่า ไม่เจอผู้ชายที่เหนือกว่าจริงๆ ทำให้ตัวเองยอมเป็นผู้หญิงได้จริงๆ ก็รู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะไปเป็นกรรมสิทธิ์ของใครนะครับ

หรืออย่างถ้าหากว่าเคยอธิษฐานไว้ อันนี้มีอยู่จริงๆ ในกรณีที่สมมติว่าเคยปฏิบัติธรรมมา จนกระทั่งเรียกว่าหวังแต่นิพพานอย่างเดียวในชีวิตก่อน ไม่อยากที่จะครองคู่จริงๆ ก็อธิษฐานด้วยกำลังของบุญที่สั่งสมมาแล้วทั้งชาติในการปฏิบัติธรรมภาวนารักษาศีลได้บริสุทธิ์ว่า ไม่ว่าชาติไหนภพไหนจะต้องเกิดอีก เนื่องจากยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ขออย่าให้มีคู่ ขอให้ได้แคล้วคลาด เพื่อที่จะได้อยู่คนเดียว ปฏิบัติธรรมไปได้ด้วยความเบากาย สบายใจ อันนี้ก็มี แล้วมันก็เป็นแรงห้ามอยู่ โดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้ที่มาที่ไป เกิดใหม่ก็ลืมหมดว่า เคยอธิษฐานอะไรไว้ รู้แต่ว่าพอจะมีแฟนทีไร ก็มีเหตุติดขัด หรือไม่บางทีไม่มีเหตุติดขัด ใจเรามันก็เมินชาซะเฉยๆ เกิดความเย็นชากับเพศตรงข้ามซะเฉยๆ อยากจะอยู่สงบๆคนเดียวมากกว่า อะไรแบบนี้ แต่ค่อนข้างจะน้อย

ส่วนใหญ่จะอยากมี แล้วก็มีปมในใจที่ซับซ้อนบางอย่าง ที่อธิบายไม่ได้
หาสาเหตุไม่เจอ ไปปรึกษากับจิตแพทย์ก็แล้ว ไปคุยกับคนโน้นคนนี้ก็แล้ว ก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ รู้แต่ว่า พอจะคบหาใคร มันเกิดความกลัวขึ้นมาทุกที ซึ่งก็ต้องดูเป็นกรณีไปนะว่า จะมีปัญหาซับซ้อนในแง่ไหน

บางคนกลัวเรื่องของการอยู่ร่วมกัน ก็ต้องหัดอยู่ร่วมกับคนอื่น

ถ้าหากว่ากลัวที่จะถูกครอบงำ หรือถูกครอบครอง ถูกกดขี่ทางเพศ ก็ต้องพยายามที่จะไปคบหากะใคร ที่เค้าไม่ทำให้เรารู้สึกว่าผู้ชายเลวร้ายเสมอไปนะครับ มันต้องเจอใครสักคน ถ้าไม่เจอ ก็อยู่คนเดียวเถอะ

ผู้หญิง จริงๆแล้วต้องระวังเนื้อระวังตัวกันมาก เพราะว่าถ้าเลือกใครผิดแล้ว ก็เหมือนจะโดนรังแกก็ได้ โดนทิ้งก็ได้ โดนทำให้อับอายขายหน้าอะไรต่อมิอะไรต่างๆ ความกลัวของผู้หญิงจึงมากกว่าผู้ชายเป็นธรรมดา แต่ผู้ชายก็กลัวกันเหมือนกัน

การจับคู่ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดในบรรดาการจับคู่ของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทั้งปวงในจักรวาลเลย เพราะว่าแต่ละคนมีความซับซ้อน แต่ละคนมีปมฝังใจ แต่ละคนมีความรู้สึกเกี่ยวกับชีวิตของตนเองไม่เหมือนกัน

บางคนมีความรู้สึกชิวๆ เหมือนกับชีวิตถูกปูทางมาไว้อย่างดีแล้ว ก็มักจะไม่ค่อยกลัวอะไร รู้สึกว่าดำเนินชีวิตไปแต่ละเดือนแต่ละปี เดี๋ยวก็มีขั้นบันไดต่อๆไป ที่มันส่งให้ขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆได้เอง พวกนั้นก็จะไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่

แต่สำหรับคนที่เคยเจ็บปวดมาก หรือว่าสลับกับการมีความสุขมามาก พวกนี้จะกลัวเป็นพิเศษ

อันนี้จริงๆนะคือ ถ้ามีความทุกข์มามากซะทีเดียวเลย ก็จะกลัวน้อยกว่าคนที่เจอทั้งทุกข์มากและก็สุขมากควบคู่กันไปสลับกันไป เพราะว่ามันกลัวความผิดหวัง กลัวความผิดหวังอย่างรุนแรง และก็เป็นกำแพงที่หนา และก็หนักมากๆ กว่าที่จะผ่านไปได้



) ทำอย่างไร ถึงจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้เป็นส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน?

(ถาม – บางวันมีอารมณ์ที่จะขยันอ่านหนังสือเรียน มีอารมณ์ที่จะตื่นนอน มีพลังงาน มีความตื่นตัว แต่ส่วนใหญ่จะรู้สึกขี้เกียจ ซึม แล้วก็ง่วง ทำอย่างไรถึงจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้เป็นส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน?)

ส่วนใหญ่นะ ที่เห็นเลย บ่นแบบนี้ก็คือไม่ค่อยออกกำลังกายกัน อันนี้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์สุขภาพเลยนะครับ คนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย มันจะมีความง่วงเหงาหาวนอน พร้อมที่จะซึม พร้อมที่จะง่วง ไม่พร้อมที่จะตื่นตัว

แต่ถ้าหากว่าออกกำลังกายแล้ว ออกทุกวันเลย หรือว่าอย่างน้อยที่สุด บริหารร่างกายนิดๆหน่อยๆอะไรแบบนี้แล้ว ยังไม่ตื่นตัวอีก ก็ขอให้สันนิษฐานว่า การออกกำลังของคุณยังไม่มีความชัดเจนพอ เหมือนกับสักแต่ทำๆไป เพื่ออ้างว่าออกกำลังแล้ว

คนที่จะออกกำลังกายจริงๆ ต้องได้เหงื่อสักนิดนึง แล้วก็ต้องออกกำลังนานสักนิดนึง ถ้าหากว่าเล่นกีฬาในแบบที่จะต้องใช้ความว่องไวทางสายตาและประสาทสัมผัสได้ยิ่งดีเลย อันนั้นจะชัดเจนมากว่า ประสาทของเราจะถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวนะครับ พร้อมที่จะมีความกระปรี้กระเปร่า

มันไม่เกี่ยวกับว่าเราจะปฏิบัติธรรมได้ดีหรือไม่ดีด้วยนะ การที่จะมีอารมณ์ขยัน อยากตื่นนอนแต่เช้า มันขึ้นอยู่กับว่า เรามีอะไรทำหรือเปล่า?’ นอกจากร่างกายจะแข็งแรงแล้ว จิตใจของเรานะครับ จะต้องมีความชัดเจนใน เป้าหมายแต่ละวันว่า ตื่นขึ้นมาปุ๊บ มันนึกถึงอะไรก่อน?

ถ้าหากไม่นึกถึงอะไรเลย หรือรู้สึกคลุมเครือๆ จิตใจมีความฟุ้งซ่าน ปั่นป่วน มีความเหม่อลอย มีความพร้อมที่จะฝันกลางวันไป แบบนั้นก็แน่นอนครับ มีความเป็นไปได้สูง ที่ในหนึ่งสัปดาห์จะตื่นขึ้นมาด้วยความขี้เกียจสักห้าวัน อีกสองวันถึงจะฟลุก เกิดมีอารมณ์ขยันขึ้นมา กระตือรือร้นขึ้นมา

การที่เราจะตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้า แล้วมีเป้าหมายในชีวิต ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ ไม่ใช่อยู่ๆตื่นขึ้นมาเช้านึง แล้วเกิดเป้าหมายในชีวิตขึ้นมาอย่างจัง ไม่ใช่! มันเกิดจาก การใช้ชีวิตที่ชัดเจนว่า เราทำอะไร? เราอยู่ไปทำไม? แล้วการอยู่ไปทำไม บางทีไม่ใช่เรื่องของการทำงานหาเงินเสมอไป แต่ทำในสิ่งที่ใจรัก

จำไว้ว่า สิ่งที่ใจรักเท่านั้น จะทำให้ใจเล็งไปที่นั่น แล้วก็รู้สึกว่าชีวิตมีอะไรบางอย่างให้ทำ ชีวิตมีเป้าหมายบางอย่างอยู่ ที่เราจะพุ่งตรงไป จะชนช้าหรือชนเร็ว แต่อย่างน้อยที่สุด ใจมันมีอาการพุ่งไป มันมีอาการแล่นไป มีอาการตั้งเข็มไปในทิศทางนั้น เห็นได้ชัดที่สุดก็ตอนเช้านี่แหละ ตื่นเช้าขึ้นมาเรารู้สึกอย่างไร? ชีวิตมีความเคว้งคว้าง หรือว่าชีวิตมีทิศทางที่พุ่งตรงไป

ถ้าหากว่าใจเรารักในการทำอะไรอย่างหนึ่งนะครับ ตื่นเช้าขึ้นมา ร่างกายจะปรับตัวให้พร้อมที่จะไปทำงานแบบนั้น อาจจะเป็นเรื่องของความกระปรี้กระเปร่าทางร่างกาย ที่เกิดจากการหลั่งสารที่เป็นสุข หลั่งสารที่พร้อมจะทำให้เกิดความกระตือรือร้น

ขอแนะนำว่า ถ้าหากไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่า ใจเรารักที่จะทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งนะครับ ให้รักที่จะ สังเกตว่า ในแต่ละเช้า คุณมีความรู้สึกมืดมน มีความรู้สึกมัวหมอง มีความรู้สึกเหม่อลอย มีความรู้สึกฟุ้งซ่าน มีความรู้สึกอย่างใด ก็ให้ยอมรับไปตามนั้น ยอมรับตามจริงว่ามันเกิดขึ้น

เมื่อสังเกตออกว่า จิตของเราในขณะตื่นนอนขึ้นมา มีความมัวหม่น มีความขี้เกียจ ไม่อยากที่จะลุกขึ้นไปทำอะไร เมื่อนั้นอย่างน้อยที่สุดนะ สติมันจะเกิดขึ้น แล้วเห็นความมัวหม่นมันอ่อนตัว อ่อนกำลังลง คือมันจะไม่ดับลงไปซะทีเดียวนะครับ มันจะไม่หายไป แต่อย่างน้อยที่สุด มันจะมีความรู้สึกเริ่ม เคยชินที่จะสังเกตเข้ามาในอาการขี้เกียจ ในอาการมัวหม่นของจิต

ทุกครั้งที่สังเกตเข้ามา คุณจะมีความรู้สึกเหมือนกับมีอาการตื่นขึ้นมาเล็กๆ มีอาการแทรกแซงของ กุศลที่เข้ามาเบียดบัง อกุศล มีความรู้สึกชัดเจนขึ้นมา แทนความมัวหม่นที่เพิ่งตื่นจากฝันนะครับ

แล้วจากนั้น ถ้าหากว่ามีลมหายใจให้สังเกตได้ ก็สังเกตลมหายใจต่อ สังเกตว่าลมหายใจเข้ามาแล้วสดชื่น สังเกตว่าลมหายใจระบายออกไปแล้วเกิดความรู้สึกว่าความอึดอัดกลางอกมันออกไป มันหายไป แบบนี้ในที่สุดแล้วคุณจะเกิดความ เคยชิน

สั่งสมความเคยชินจนกระทั่งว่า ตื่นเช้าขึ้นมามี สติ และถัดจากสติ จะมี  สมาธิ อันเกิดจากการรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกได้ เรียกว่าเป็นการเอาความขี้เกียจ มาเป็นอุปกรณ์พัฒนาความขยันเลย

จริงๆนะ ทุกเช้าเนี่ย มันเป็นโอกาสทองเลย ที่จะสั่งสมความเคยชิน ถ้าหากว่าเราสั่งสมความเคยชินที่จะทอดหุ่ยเรื่อยๆเปื่อยๆ ในที่สุดแล้ว เราจะพบว่า ทั้งชีวิตมันตื่นนอนขึ้นมาด้วยความขี้เกียจเสมอ และก็รู้สึกว่าชีวิตมันเริ่มต้นขึ้นมาอย่างไม่มีความหมาย

แต่ถ้าหากว่าเราสั่งสมความเคยชินที่จะฝึกสติ สังเกตดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตกับใจ สังเกตดูว่าความสดชื่นของลมหายใจ ความอึดอัดที่ถูกระบายออกไปในแต่ละครั้งมันเป็นยังไงนะครับ ลักษณะของความเคยชินที่สั่งสมแล้ว ผ่านวันผ่านเดือน มันจะทำให้คุณเกิดสมาธิในขณะที่ตื่นนอนไปเอง ทดลองดู แล้วจะรู้ว่าจริงไหม

ส่วนใหญ่ก็จะเจอเหมือนๆกันแหละนะ คือบางทีตื่นขึ้นมา แล้วก็เกิดความรู้สึกไม่อยากจะลุกจากที่นอน เหตุผลที่แท้จริงนะ มันเป็นเพราะว่า ไม่มีตัวฉุดเราขึ้นจากที่นอนนะครับ

ตัวฉุดที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือ สิ่งที่เรา รักที่จะทำ ไม่ใช่สิ่งที่เราตั้งใจที่จะให้เกิดอะไรขึ้นให้ได้

บางทีเราแค่บอกกับตัวเองว่า ฉันจะตื่นนอนขึ้นมาด้วยความขยันขันแข็ง
ตื่นทันทีที่รู้สึกตัว มันก็ทำได้อยู่หรอก ทำได้สองสามวัน แต่ว่าหลังจากนั้น เหมือนกับว่าแรงฉุดแบบนั้นมันจะแผ่วลงไป แผ่วกำลัง อ่อนกำลังลงไป สู้งานหรือสิ่งที่เรา รักจะทำไม่ได้

แม้กระทั่งการนั่งสมาธิ การสวดมนต์ หรือการเดินจงกรมอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้เราเกิดความชุ่มชื่นใจ อะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึก ติดใจ ที่จะเข้าไปเสพอารมณ์สุขแบบนั้น เข้าไปเสวยสุขแบบนั้น มันสามารถฉุดเราขึ้นจากที่นอนได้ทั้งสิ้น

ปัญหาก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังใจมากพอที่จะทำสมาธิให้ต่อเนื่อง
จนกระทั่งเกิดความสุข หรือบางคนมีกำลังใจพอที่จะทำให้เกิดความต่อเนื่อง แต่ก็ทำผิดวิธี ทำแล้วมันไม่เกิดความสุข ทำแล้วมันเกิดแต่ความรู้สึกเครียดหรือว่าเคร่ง หรือว่าจะต้องถามตัวเองเสมอว่า นี่เรามานั่งทำอะไรอยู่ เสียเวลานอนไปเปล่าๆ เสียเวลาเสวยสุขบนที่นอนที่แสนสบาย ตรงนั้นแหละ ที่พระท่านถึงได้บอกว่า ควรจะลองฝึกที่จะถือ ศีลอุโบสถหรือว่า ศีล ๘ดูบ้าง เพราะว่าศีล ๘ จะห้ามไม่ให้เราเข้าไปเกลือกกลั้วกับความสบาย หมกมุ่นกับความสบายจน เคยตัวมากเกินไป

การถือศีลแปดจริงๆแล้ว ถ้าว่าไป ก็ไม่ค่อยเหมาะกับฆราวาสสมัยนี้ แต่ถ้าหากว่าใครอยากจะตื่นนอนขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบากาย สบายใจ
และก็มีสมาธิจริงๆ ก็ต้องลงทุนลงแรงครับ ต้องยอมแลกกัน อาจจะเลือกวันสะดวกก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกวันพระก็ได้ หนึ่งเดือนเอาสักแค่ครั้งนึงหรือสองครั้ง ทดลองดู แค่ครั้งสองครั้งต่อเดือนมันมีผลแล้ว มันทำให้รู้สึกถึงความแตกต่างนะครับว่า ถ้าเราควบคุมในเรื่องของการกิน การนอน การบริโภค แล้วก็การบันเทิง มันมีผลจริงๆที่จะทำให้จิตใจของเราสดชื่นขึ้น สดใสปลอดโปร่งขึ้น



) ในที่ทำงาน ถ้าต้องเจอหน้าคนที่ไม่ชอบทุกวัน จะทำใจให้มีเมตตากับเขาได้อย่างไร?

(ถาม – เวลาเจอหน้าคนที่ไม่ชอบในที่ทำงานทีไร รู้สึกว่าใจ มันมีโทสะขึ้นมาทุกครั้ง และบางครั้งก็เผลอแสดงสีหน้าไม่พอใจออกไป โดยไม่รู้ตัว ดิฉันกลัวเขาจะรู้ว่าเราไม่ชอบหน้าเขา และอาจพาลเกลียดเราด้วย ทำยังไงถึงจะมีใจเมตตากับคนที่เราไม่ชอบมากขึ้นคะ?)

อย่าพยายามฝืนที่จะมีเมตตา เพราะความฝืนที่จะมีเมตตา จะทำให้เรายิ่งรู้สึกว่าเค้าเป็นภาระหนัก

การที่เรารู้สึกว่าใครเป็นภาระหนัก จะเพิ่มความเป็น สภาพลบในตัวเค้าขึ้นมาทุกครั้งที่เห็น เราจะรู้สึกหนักอึ้ง เราจะรู้สึกว่าต้องฝืนใจทำอะไรบางอย่าง

ทางที่ดีที่สุด ให้ ยอมรับไปตามจริง ยอมรับตรงๆกับตัวเองเลยว่าเกลียด ให้คะแนนความรู้สึกไปเลยว่า เกลียดมาก เกลียดน้อย หรือเกลียดกลางๆ

จากนั้นให้ดูว่าอารมณ์เกลียดนั้น ถ้าหากเรารู้สึกถึงมันแล้วนะครับ มันจะฝังอยู่เป็นอารมณ์มืด เป็นอารมณ์ลบไปได้นานแค่ไหน? ให้ยอมรับไปตามจริง

ถ้าหากว่าคนที่เราไม่ชอบในระดับที่มากหน่อย ก็จะมีความรู้สึกขุ่นมัว มีความรู้สึกแย่ไปมากๆ อาจจะใช้เวลานาน อาจจะกินเวลาเป็นสิบนาที กว่าที่ความรู้สึกตรงนั้นจะเจือจางลง

แต่ประโยชน์อยู่ที่ตรงนี้แหละ ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหน คุณจะได้เห็น ความไม่เที่ยง ของอารมณ์เกลียด อารมณ์มืด ความรู้สึกที่มันแน่นๆอยู่ ความรู้สึกที่มันขุ่นๆอยู่ ขอให้ยอมรับไปตามจริงว่า มันอยู่ได้นานแค่ไหน

ในที่สุดแล้วคุณจะพบว่า การที่เราไม่ต้องฝืนใจแผ่เมตตาให้เค้า แต่เอา อารมณ์เกลียด ที่ได้จากเค้า มาเป็น ตัวฝึกที่จะเจริญสติ เห็นอนิจจัง  เห็นความไม่เที่ยง ตรงนี้นะ พอความไม่เที่ยงมันแสดงตัว ความเกลียดมันจะทำให้เรารู้สึกว่า แม้แต่อารมณ์ลบ มันก็หายไปเองได้ ถ้าเราไม่ไปยุ่งกับมัน

ขอให้ รู้มันไปเฉยๆ ในที่สุดนะ ถ้าเราได้เห็น ความไม่เที่ยงของอารมณ์เกลียด ตัวเค้าจะกลายเป็น เครื่องหมายบวก ขึ้นมาสำหรับเราทันที เพราะว่าเค้าเป็นแบบฝึกหัดให้เราได้เห็น มันเห็นชัดที่สุดนะอารมณ์เกลียด เห็นอารมณ์ที่ไม่ชอบ มันชัดยิ่งกว่าอารมณ์ที่เป็นสุขเสียอีก

เพราะอารมณ์ที่เป็นสุข เราไม่อยากทำอะไรนอกจากจมไปกับมัน
แต่อารมณ์ที่เป็นลบ เราอยากทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งกับมันอยู่แล้ว
ก็ขอให้ทำในแบบที่ไม่ต้องเหนื่อยก็แล้วกัน และทำในแบบที่จะทำให้เกิด ปัญญาทางจิต เห็นความไม่เที่ยงได้

ทุกครั้งนะครับ ที่คุณเห็นความไม่เที่ยงของความเกลียด จำไว้เลยนะ มันจะมีความรักแบบอ่อนๆขึ้นมา เกิดขึ้นมา เป็นความรักในแบบรักมนุษย์
เป็นความรู้สึกที่อยากให้ตัวเองเป็นสุข แล้วตัวเค้าก็เป็นสุข จากการเห็นธรรมะแบบนั้นนะครับ


เอาล่ะครับ เหลือเวลาครึ่งนาที ผมคิดว่าคงต้องล่ำลากัน ณ นาทีนี้ ขอให้มีความสุขกับวันหยุดครับ สวัสดีครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น