« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ
๑) อยากทราบวิธีแก้ไขนิสัยที่ไม่ดี คือว่าเป็นคนง่วงง่าย ขี้เซา หลังตื่นนอนตอนเช้าจะมีอาการซึมๆมึนตึ๊บอยู่หลายนาที ทั้งๆที่นอนพักผ่อนไปร่วมแปดชั่วโมงแล้ว และถ้าหากนอนน้อยจะยิ่งมึนร่วมกับหงุดหงิดง่ายด้วย?
ถ้าเอาตามที่เห็นจากประสบการณ์ตรงและก็ดูจากหลายๆท่านนะครับ อาการที่เราอยากจะนอนมากๆแล้วก็ขี้เซา หรือว่าตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการมึนร่วมกับอาการหงุดหงิดทั้งหลายทั้งแหล่นี่นะ ส่วนใหญ่จะมาจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตระหว่างวันด้วยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเราเป็นคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการบันเทิง มากกว่าที่จะทำงานนี่ ส่วนใหญ่จะเป็นอาการแบบนี้กัน อันนี้คือพูดจากที่เห็นล้วนๆเลยนะ คือไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และไม่ได้เอาผลงานวิจัยจากใครมาทั้งสิ้นนะ ถ้าหากว่าระหว่างวันมีอาการเหม่อบ่อย มีอาการฟุ้งซ่านไปในเรื่องของการบันเทิง หรือว่ามีอาการหงุดหงิดง่ายไปในเรื่องของการกระทบกระทั่งอะไรต่อมิอะไรต่างๆ พูดง่ายๆว่าเป็นคนคิดไปเรื่อยเปื่อยนะครับ มีอะไรมากระทบนิดๆหน่อยๆก็สามารถจะเกิดปฏิกิริยาในทางที่ไม่ดี ในทางที่เป็นลบ หรือลุ่มหลงอยู่ในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียงต่างๆนะครับ ด้วยลักษณะของคนที่ปักใจอยู่กับการใช้ชีวิตในเมืองแบบที่มีสีสัน มีแสงเสียง ที่จะยั่วเย้าให้กิเลสมันกำเริบไปในทางเคลิ้มหลงนะครับ
อันนี้มันจะเกี่ยวกับการที่เรานอนไปแล้วนี่ รู้สึกไม่เต็มอิ่ม เพราะอะไร? อยากให้สังเกตว่าถ้าหากเรานอนลงไป แล้วข้างในมันยังไม่ยอมพักผ่อนตาม มันมีอาการเหมือนกับฝันวกวนเหมือนกับเราต้องออกแรง หรือว่ามีความเลอะเทอะเลื่อนเปื้อนนะครับ ภาพโน้นกระโดดไปทางนั้นที แล้วภาพนี้เปลี่ยนไปเป็นฉากโน้นฉากนี้มั่วเลอะเทอะไปหมดนี่นะ พอตื่นขึ้นมาแล้วมันจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเลอะเลือนพร่ามัว เพราะว่าจิตใจระหว่างวันนี่มันพร่ามัวอยู่แล้ว มันเหม่อมันซึมมันมีอาการฟุ้งอยู่แล้ว พอไปนอนหลับพักผ่อน อาการฟุ้งอาการเหม่อซึมนั้นนะ มันก็ไม่ขาดสายหายหนไปไหน มันยังมีความต่อเนื่องไปพัฒนาในรูปความฝัน ที่สร้างมาจากพื้นฐานความเหม่อความฟุ้งซ่าน พอตื่นขึ้นมามันก็เลยมีความรู้สึกอย่างที่ว่านั้นแหละ
อันนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะน้องที่ถามมานะ นี่พูดถึงในกรณีทั่วๆไปที่เห็นบ่อยที่สุดนะครับ พูดง่ายๆคือถ้าหากว่าจิตใจของเราไม่โฟกัส ไม่เป็นสมาธิอยู่กับสิ่งที่เป็นประโยชน์ในระหว่างวัน และก็เอาจิตไปใช้ในทางที่ออกแนวบันเทิงซะมาก หรือว่าเหม่อซะมาก หรือว่าฟุ้งซ่านไปในเรื่องของราคะ โทสะ โมหะซะมากนี่ มันก็จะไปต่อยอดเอาที่ความฝัน มันก็เลยไม่มีการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีการพักผ่อนที่มีคุณภาพมากพอนะครับ ตื่นขึ้นมาก็เลยซึมเซาได้ และก็จะมีอาการอยากนอนมากๆด้วย
นอกจากนั้นยังมีเรื่องอื่นๆ ไม่ใช่เฉพาะในกรณีของจิตฟุ้งซ่าน จิตเหม่อลอยระหว่างวันอย่างเดียว บางทีมันขึ้นอยู่กับสถานที่ด้วยนะว่า เรานอนในที่ที่มีออกซิเจนพอไหม อย่างหลายคนเคยบอกว่าออกจากกรุงเทพไปแล้วเข้าไปที่เขาใหญ่ หรือไม่ก็แถวที่มีโอโซนมากอย่างวังน้ำเขียว โคราชอะไรแบบนั้น หรือจะเป็นบรรยากาศชายทะเลหัวหิน หรือว่าจันทบุรีอะไรต่างๆที่อากาศยังบริสุทธิ์อยู่นี่นะ มันเห็นผลชัดเจนเลย คืนแรกสองคืนแรกนี่ แตกต่างจากกรุงเทพอย่างชัดเจน รู้สึกเหมือนกับตื่นขึ้นมามีความสดชื่น อันนี้ก็เพราะว่าในทางกายภาพนี่นะ ถ้าหากว่าเราได้นอนในที่ๆมีความปลอดโปร่งมากพอ มีออกซิเจนมากพอนะ คุณภาพในการพักผ่อนมันต่างกันเป็นคนละเรื่องเลยนะครับ
นอกจากนั้นถ้าหากว่าระหว่างวันก็ปฏิบัติตัวดีแล้ว หรือว่าออกซิเจนก็พอเพียงแล้ว แต่ตื่นมาทำไมมันยังมีอาการง่วงงุนเซื่องซึมอยู่ อันนี้จะทดลองอย่างนี้ก็ได้นะครับ ทำให้ทุกเช้ามีความเบิกบานในกุศล ทำให้ทุกเช้ามีความสว่าง มีความตื่นตัว ถ้าหากว่ายังนั่งสมาธิไม่เป็น ก็ขอแนะนำให้สวดมนต์ สวดมนต์ทุกเช้าที่ตื่นนอนขึ้นมานะครับ ถ้าหากว่ายังสวดมนต์ให้เกิดความชุ่มชื่นไม่ได้ ลองเปล่งเสียงเต็มปากเต็มคำ ‘อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ’ ถ้าคุณเปล่งเต็มปากเต็มคำนะครับ แก้วเสียงออกมาฟังแล้วมีความรู้สึกว่า เราสามารถที่จะตื่นนอนขึ้นมาพร้อมกับเสียงที่เป็นมงคล พร้อมกับการใช้แก้วเสียงไปในทางบูชาพุทธคุณแทนดอกบัว แทนดอกไม้ แทนมาลัยนะครับ คุณจะเกิดความรู้สึกว่า เสียงของคุณนั่นแหละปรุงแต่งจิตให้เกิดความสดใส ปรุงแต่งจิตให้เกิดความตื่นเต็มขึ้นมาได้อย่างง่ายดายนะครับ ก็ทดลองดูก็แล้วกัน พูดง่ายๆนะ ถ้าหากว่าปัจจัยทางกายมันไม่สามารถทำให้ตื่นขึ้นมาได้ ก็เอาปัจจัยทางจิต คือความเป็นกุศลจิตมาลองปรุงแต่งชีวิตในช่วงเช้าดู ทดลองดูนะครับ
๒) คนชาติอื่นๆตายไปแล้ว จะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์เหมือนกับคนอย่างเราๆที่นับถือพุทธไหม? ถ้าไปสวรรค์นรกที่เดียวกัน แล้วจะคุยกันรู้เรื่องไหม?
โลกหลังความตายหรือโลกของวิญญาณนี่นะ ไม่ได้ใช้ภาษาแบบโลกๆแบบนี้นะ จะใช้ภาษาทางจิต ลองคิดดูง่ายๆเวลาที่คุณเห็นคนต่างชาติต่างภาษานี่ บางทีคุณสามารถทราบได้ว่าเขาใช้ภาษากายบ่งบอกว่าต้องการอะไร หรือพยายามที่จะคุยกับเขาในแบบที่ใช้ภาษามือ หรือว่าส่งเสียงใบ้กัน แล้วเกิดความรู้สึกเหมือนจะมีความเข้าใจกันมากขึ้นเรื่อยๆได้ อันนั้นแหละเป็นตัวอย่างของภาษาทางจิต ภาษาที่ส่งออกมาจากเจตจำนงภายใน ซึ่งไม่ได้ใช้ไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง ไม่ได้ใช้คำศัพท์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง แต่ใช้ความต้องการทางใจนะ อันนั้นคือตัวอย่าง แต่ว่าในโลกวิญญาณหลังความตาย มันละเอียดอ่อนกว่านั้น คือคนหนึ่งเข้าใจว่าตัวเองพูดภาษาไทย อีกคนหนึ่งเข้าใจว่าตัวเองพูดภาษาจีนหรือภาษาฝรั่งนี่นะ มันสามารถที่จะสื่อสารกันได้ เพราะว่าไม่มีอะไรปิดบังเหมือนกับตอนอยู่บนโลก ถ้าหากว่าได้ถึงระดับความสูงส่งของวิญญาณระดับเดียวกัน สามารถสื่อสาร สามารถจูนกันรู้เรื่องได้ทันที รู้ว่าเจตนาอะไร ต้องการฝากข้อความอะไรไว้ หรือถ้าหากว่าจิตหยาบพอๆกัน อันนั้นก็สามารถสื่อสารกันได้อีกนะครับ สื่อสารกันด้วยระดับคลื่นของจิตที่ไม่มีความไม่รู้แบบมนุษย์มาปิดบังมาปิดกั้น แต่ถ้าหากว่าจิตไม่เสมอกัน ต่อให้พูดราวกับว่าเป็นภาษาเดียวกัน ขมุบขมิบปากเป็นภาษาเดียวกัน แต่ก็ฟังกันไม่รู้เรื่องอยู่ดี อันนี้ก็เหมือนกับในโลกมนุษย์นี่แหละ ถึงพูดภาษาไทยเหมือนกันไม่ใช่จะสื่อสารเข้าใจกันทุกครั้ง อุตส่าห์พูดอุตส่าห์ใช้มือไม้ประกอบนะ แต่ในที่สุดแล้วก็ฟังไม่รู้เรื่อง นี่ถ้าเกิดว่าตั้งอคติเข้าใส่กันนะ พูดจนจบก็เหมือนไม่ได้พูดอะไรเลย แต่คนที่มีความพร้อมจะเข้าใจกัน ธาตุนิสัยเดียวกัน ยังไม่ทันพูดสักคำ บางทีมันเหมือนเข้าใจกันเรียบร้อย ตรงนี้เป็นเรื่องของภาษาทางใจ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่แค่อุปมาอุปไมยว่า ภาษาทางใจภาษาจิต มันมีภาษาทางจิตอยู่จริงๆ มันมีภาษาทางใจอยู่จริงๆ
ทีนี้ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมของสวรรค์ หรือว่าสถาปัตยกรรม หรือว่ามีนวัตกรรมทางทิพย์อะไรต่างๆนี่ ส่วนใหญ่นะครับ ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกไว้ว่า มันเป็นไปตามการปรุงแต่งของกรรม ถ้าหากว่ากรรมมันสามารถปรุงแต่งให้สถาปัตยกรรมของชาติต่างๆนี่นะ ปราสาท หรือบ้าน หรือว่ากระต๊อบ มันแตกต่างกันได้ในโลกนี้ มันก็สามารถที่จะปรุงแต่งให้เกิดความแตกต่างทางสถาปัตยกรรม หรือว่านวัตกรรมอะไรต่างๆบนสวรรค์ได้เช่นกัน กรรมนี่เป็นสิ่งที่มีความวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าสถาปัตยกรรมอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเราไปดูในสวรรค์ชั้นเดียวกันนี่นะ บางทีเหมือนกับเห็นเป็นความสว่างเหมือนกัน เห็นเป็นความวิจิตรลวดลายอะไรต่างๆนี่ มันออกมาจากกรรมทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่ามีใครไปออกแบบเป็นสถาปนิก หรือว่าต้องไปตกแต่งกันล่วงหน้า แต่ใช้กรรมนี่แหละเป็นตัวสร้างเป็นตัวตกแต่ง ทีนี้เราดูแล้วกัน ผมให้ตัวอย่างที่ง่ายๆที่สุดนะ อย่างเวลาเราฝันแต่ละคืนก็ไม่เหมือนกัน ฝันแต่ละช่วงวัย แต่ละช่วงอายุก็ต่างกัน อย่างตอนฝันแบบเด็กๆนี่ จะเห็นเป็นลายการ์ตูน จะเป็นลายอะไรง่ายๆที่ไม่ซับซ้อน แต่สังเกตไหม พอโตขึ้นมานี่ ความฝันของเราในแต่ละคืนนะ ถ้าหากว่ามีความชัด ถ้าหากว่ามีความสด ถ้าหากมีสีสันจัดแจ้งนะ จะรู้สึกเหมือนกับว่าลวดลายหรือว่าสิ่งที่เป็นนิมิตนี่ มีความซับซ้อน มีความวิจิตรพิสดาร เรียกว่าใส่อะไรเข้าไป ไม่รู้ว่าใครไปวาดไว้ ถ้าหาคนไปวาดนะต้องวาดกันเรียกว่าเป็นปีๆ ต้องใช้ศิลปินที่มีชื่อระดับโลกมา แต่ถ้าหากว่าเป็นกรรมสร้างนะ ไม่ต้องใช้เวลาเลย ทำกรรมเสร็จเมื่อไหร่ นั่นน่ะมันวาดให้เรียบร้อย ไม่ต้องไปกังวลหรอกว่าข้างบนโน้นจะมีสภาพแตกต่างกันยังไงแค่ไหน แต่ให้ดูนี่แหละว่า คนเราสามารถทำกรรมแตกต่างกันได้เพียงใดในแต่ละคนนะครับ
ถ้าหากว่าเราสามารถเห็นความแตกต่าง ความพิสดารที่แต่ละคนทำกรรมได้ไม่เหมือนกัน แค่ตั้งจิต แค่ส่งมอบของแต่ละชิ้นที่เลือกให้ผู้รับได้ประโยชน์แค่ไหน เอาไปใช้ทำอะไร หรือว่าตกแต่งเสริมเติมอะไรเข้าไป ด้วยจินตนาการของแต่ละคนนี่ มันต่างกันแค่ไหน ก็นั่นแหละครับ ตรงนั้นแหละคือตัวอย่างนะว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความแตกต่างเกิดขึ้นจากจินตนาการในการทำบุญ จินตนาการในการอนุเคราะห์ผู้คนนะครับว่า มีความละเอียดอ่อนเพียงใด ยิ่งมีความละเอียดอ่อนมาก จินตนาการยิ่งมีความละเอียดอ่อนมาก เวลาทำบุญนี่ สถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้น สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นบนสวรรค์ หรือว่าสภาพความเป็นทิพย์ มันยิ่งมีความวิจิตรพิสดารแตกกิ่งก้านสาขาออกไปยิ่งกว่านั้น คือเราไม่ได้ไปสร้างสถาปัตยกรรมขึ้นมาด้วยความตั้งใจ คิดว่าจะให้ออกลวดลายแบบไหน แต่ว่าตัวกรรมนั่นแหละ เขาจะไปประดิษฐ์สร้าง เอาจากความรู้สึกของเราก็ได้ ถ้าเราทำบุญแต่ละครั้ง เราให้ใคร เราอนุเคราะห์ใครแต่ละครั้ง มีความละเอียดอ่อนมาก มีความประณีตมาก นั่นแหละเป็นเมล็ดพันธุ์ของสถาปัตยกรรมที่มีความละเอียดอ่อนมาก มีความอ่อนช้อยมาก มีความสละสลวยมาก แต่ถ้าหากว่าเราช่วยใครแบบส่งๆ เหมือนกับโยนเดนให้ หรือว่าคิดง่ายๆโยนกระดูกให้หมาอย่างนี่ โยนแบบทิ้งๆขว้างๆอย่างนี่ จิตแบบนั้นมันหยาบ เป็นการให้แบบหยาบๆ คือได้บุญแต่เป็นบุญแบบหยาบๆ ถ้าหากว่า ณ ขณะนั้นเป็นจังหวะที่ใหญ่ที่สุด เป็นบุญที่จะให้ผลให้เราได้ไปเกิดตามบุญตอนโยนเศษเดนให้หมานี่ ก็พยากรณ์ได้ว่าจะไปเกิดกับสิ่งที่ไม่ค่อยจะน่าดูนักแหละนะครับ
ส่วนใหญ่นี่นะ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าถ้าให้อาหารหมาแล้วจะได้บุญน้อย จริงๆแล้วถ้าหากว่าเรามีจิตใจที่ประณีต มีจิตใจที่สงสารหมา แล้วก็ก้มลงให้ด้วยความอ่อนโยน ด้วยความกรุณา นั่นก็คือตัวอย่างของเมล็ดพันธุ์แห่งสถาปัตยกรรมที่ละเอียดอ่อนเช่นกัน ไม่ใช่ว่าให้ของกับสัตว์เล็กสัตว์น้อยแล้วมันเป็นบุญน้อย แล้วไปตกแต่งให้ที่อยู่ของเราน่าเกลียด ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของเราว่ามีความเมตตากรุณาแค่ไหน เวลาให้นี่ ยื่นให้ด้วยมือ ด้วยความอ่อนโยนเพียงใดนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสเลยว่า ถ้ายื่นให้ด้วยมือ ด้วยความอ่อนโยน ด้วยความกรุณา นั่นแหละจิตที่ประณีต นั่นแหละบุญที่มีความเต็มรอบนะครับ
๓) อยากสัมภาษณ์ได้คนดีๆมาทำงานด้วยกัน เวลาคุยใช้ความรู้สึกดูได้ไหมครับ?
มันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ด้วยนะ ถ้าหากว่าเราสั่งสมประสบการณ์ไว้มากๆนี่ บางทีมันสามารถรู้ได้ตั้งแต่เห็นหน้าเลยว่า คนๆนี้น่าจะทำงานกับเราได้ไหม แต่ถ้าลักษณะการสั่งสมประสบการณ์ของเรา อาศัยการดูหน้า อาศัยความรู้สึกเป็นหลัก ไม่อาศัยการวิเคราะห์แบบอื่นๆ บางทีมันก็เพี้ยนได้ เพราะว่าใจคนนี่ อารมณ์ของคนนี่นะ มันมักจะเข้าข้างตัวเอง ถ้าชอบใครก็มักจะตัดสินด้วยความรู้สึกแรกๆนะครับ แต่ถ้าหากว่าเราเป็นนักสัมภาษณ์ที่มีประสบการณ์สูงๆ คืออาศัยหลักจิตวิทยาการดูคน หรือว่าอาศัยการสังเกตสีหน้าท่าทาง หรือว่ามีความฉลาดในการยิงคำถาม หรือว่ามีการที่สามารถจะล้วงเอาความเป็นเขาจริงๆ ความเป็นคนที่ว่าจะเหมาะกับสถานที่ทำงานของเราไหม หรือว่าเหมาะกับคาแรคเตอร์ของเราหรือเปล่า เหมาะที่จะมาช่วยกันแค่ไหนอะไรต่างๆนี่นะ ถ้าหากว่าคุณสะสมเกร็ดเล็กประสมน้อยไว้ มันเหมือนกับได้วัตถุดิบไว้ในตัว ประสบการณ์ที่คุณใช้ความสามารถในการสัมภาษณ์คนมานั่นแหละ มันรวมแล้วก็จะได้เป็นความรู้สึกแบบหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีความเที่ยงตรง
คือคลื่นความเป็นคนๆหนึ่งนี่นะ ถ้าแบ่งออกเป็นหมวดหมู่แล้วก็ไม่มากหรอก ยกตัวอย่างนะครับ บางคนมีความแข็งกร้าวอยู่ข้างในแต่ว่าข้างนอกดูอ่อนโยน ถ้าหากว่าคุณเจอคนแบบนี้มาเยอะๆ คุณจะแยกออกทันทีว่านี่ มันอ่อนแต่ข้างนอก แต่ข้างในมีความรุนแรงอยู่ มีความก้าวร้าวอยู่ หรือบางคนนี่ ดูข้างนอกเหมือนพ่อพระเลย เหมือนแม่พระเลยนะ ดูดีมาก ดูเป็นคนดีเหลือเกิน รัศมีเปล่งปลั่งออกมานี่ ราวกับว่าข้างในไม่มีอะไรซ่อนเร้น แต่ว่าเอาเข้าจริงๆนะ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเยอะแยะเลย ถ้าหากคุณมีโอกาสที่จะสัมผัสคนมามากๆนะครับ คุณจะเข้าใจคลื่นความเป็นมนุษย์ที่มันซ้อนๆเข้าไปกันในแต่ละคน แล้วคุณสามารถเห็นว่า จริงๆแล้วก็แบ่งออกได้ไม่กี่จำพวกน่ะ ยกตัวอย่างเช่น ข้างนอกกับข้างในตรงกัน ข้างนอกกับข้างในไม่ตรงกัน เป็นตรงกันข้ามกัน หรือว่าข้างนอกกับข้างในคล้ายๆกัน แต่เปลี่ยนกลับไปกลับมา บางคนดูปากร้ายแต่ข้างในใจดีอะไรแบบนี้ เรียกว่าไม่ตรง แต่บางคนก็ทั้งปากทั้งใจร้ายหมด แต่บางทีก็กลับไปกลับมาระหว่างใจร้ายกับใจดี
ถ้าหากว่าเจอคนมาเยอะๆ แล้วคุณสามารถที่จะเอาชนะความเกลียด เอาชนะความรัก ความหลง ซึ่งเป็นอคติ ซึ่งเป็นม่านกั้นความจริง คุณจะสามารถเห็นคนด้วยใจที่เป็นกลางว่า ลักษณะแบบนี้คุณเคยเจอมานี่นะ เท่าที่เคยเจอแบบคล้ายๆกันมานี่ มันน่าจะออกแนวใด มีใจที่เมตตา หรือว่ามีแต่ภาพที่เมตตา มีลักษณะที่ปากร้ายใจดี หรือว่ามีลักษณะที่ปากดีใจร้าย อันนี้พูดง่ายๆเลยนะ การที่จะสัมภาษณ์คนที่ได้ดีๆมาทำงานด้วยกันนี่ เวลาใช้ความรู้สึก ความรู้สึกของคุณต้องมาจากประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ดีแล้ว ถึงจะมีความแม่นยำ แล้วก็ความรู้สึกนั้นต้องออกมาจากใจที่ปราศจากอคติด้วย มีความเป็นกลางมากพอที่จะตัดสินเอาจากประสบการณ์ เอาจากที่สะสมไว้นี่ เป็นวัตถุดิบนี่ เป็นประสบการณ์ตรงนี่ มาเปรียบเทียบดูว่า ใครน่าจะเข้าจำพวกไหน แต่ที่จะปลอดภัยที่สุด ที่เซฟที่สุดคือ คุณควรใช้หลักจิตวิทยาด้วยนะครับ คือให้มีหลักการครึ่งหนึ่ง แล้วใช้ความรู้สึกของคุณอีกครึ่งหนึ่ง โอกาสเสี่ยงมันถึงจะน้อยที่สุดนะครับ
๔) พระพุทธเจ้าไม่สอนให้เชื่ออาจารย์กับหลายๆอย่าง ไม่ทราบว่าท่านบอกให้เราเชื่ออะไร?
ตรงนี้จะมีคนเข้าใจสับสนกันมากจากกาลามสูตรนะครับ คือต้องดูเบื้องหน้าเบื้องหลังก่อนว่า ที่มาที่ไปเป็นยังไง การที่ท่านสอนกาลามสูตรนะครับ คือท่านสั่งสอนชาวกาลามะที่มีความสงสัยว่า ครูบาอาจารย์ท่านโน้นบอกว่ากรรมมีผล อีกท่านหนึ่งบอกว่ากรรมไม่มีผลอะไรต่างๆนานานี่นะครับ แล้วก็ได้ข้อสรุปที่พูดง่ายๆคือก่อให้เกิดพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าเชื่อว่ากรรมไม่มีผล ก็อยากทำอะไรก็ทำ อยากผิดศีล อยากผิดลูกผิดเมียใครก็ได้ อันนี้เรียกว่าพอเชื่อแล้วมันเกิดความเดือดร้อนกับคนอื่นเขา มันเกิดความเดือดร้อนกับตัวเองในภายภาคหน้า มันเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจในปัจจุบันว่า ทำอะไรผิดๆ ทำอะไรที่มันค้านกับสามัญสำนึก หรือว่ามนุษยธรรมของตัวเอง นี่เรียกว่าเป็นการเชื่อแล้วเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้เชื่ออะไรแบบนั้น นี่ตัวอย่างง่ายๆนะครับ
คือท่านสอนแต่ละข้อ แต่ละสูตรนี่ มีที่มาที่ไป ท่านก็ไม่เคยพูดเลยนะว่า อย่าเชื่อใครเลย อย่าเชื่อแม้กระทั่งท่าน คือท่านบอกว่า แม้กระทั่งคำสอนของท่านเองนี่ ถ้าหากพิจารณาแล้วว่าไม่มีประโยชน์ ไม่ได้เป็นคุณประโยชน์กับตัวเองในปัจจุบันในภายภาคหน้าก็อย่าไปเชื่อ ท่านพูดอย่างนี้นะ ไม่ใช่บอกว่า ขอจงอย่าเชื่ออะไรเรา ไม่ใช่นะ ต้องพิจารณาก่อนว่า เชื่อแล้วเกิดอะไรขึ้น เชื่อแล้วมีใครได้ดีบ้าง เชื่อแล้วใจมันสว่างขึ้นไหมเชื่อแล้วใจมันเป็นกุศลขึ้นไหม ถ้าหากว่าเรารู้สึกตัวอยู่ว่าเชื่อคำสอนไหนแล้วมีประโยชน์สุข มีความรู้สึกสว่าง มีความอบอุ่นใจว่าเราอยู่ในเขตปลอดภัยแล้ว เราอยู่ในเขตกุศลแล้ว มันเรื่องอะไรที่เราจะต้องไม่เชื่อ มันเรื่องอะไรที่เราจะต้องไปปฏิเสธนะครับ ขอให้ไปอ่านที่มาที่ไปของกาลามสูตรดีๆนะครับ ลองหาในอินเตอร์เน็ตนะครับ
๕) ทำอย่างไรจะกลับมาภาวนาได้ดีและมีกำลังใจ นอกจากทำสมถะได้บ้าง ใจมันหนักๆแล้วก็แน่นๆ อยากภาวนาแต่ไม่มีแรงเลย?
คนที่รู้สึกว่าไม่มีแรงในการเจริญสตินะ พระพุทธเจ้าท่านก็แนะนำไว้หลายทางนะครับ เพื่อที่จะได้รับแรงบันดาลใจในทางธรรมนี่ ไม่ว่าจะเป็นการฟังครูบาอาจารย์ เสียงของครูบาอาจารย์นี่ก็มีพลังที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกอบอุ่นได้ ถ้าฟังครูบาอาจารย์ท่านไหนจนกระทั่งเกิดความเคยชิน เหมือนกับฟังแล้วมันผ่านหูไปเฉยๆนะครับ คือไม่ใช่ว่าเราเคารพท่านน้อยลงแต่ว่าเราฟังมาหมดแล้ว เราได้ยินมาหมดแล้ว ก็อาจจะเปลี่ยนไปฟังครูบาอาจารย์ท่านอื่นบ้าง เพราะว่าเสียงของครูบาอาจารย์ท่านอื่นก็จะเป็นอีกคลื่นกระแทกที่ทำให้เราเกิดความตื่นขึ้นมาได้ ทำให้เราเกิดความสนอกสนใจอะไรใหม่ๆขึ้นมาได้ สำคัญคือเราต้องเลือกนิดหนึ่งนะครับ เราน่าจะผ่านมาแล้วว่า เสียงของครูบาอาจารย์ท่านไหนที่ทำให้เกิดพลัง ทำให้เกิดความสดชื่น ทำให้เกิดกำลังใจที่จะกลับมาเจริญสติอีก ครูบาอาจารย์พระป่ามีหลายรูปเลยที่เสียงเข้าข่ายแบบนี้ ถ้าหากว่าเราฟังธรรมะของท่านแล้วก็เกิดกำลังแล้วนี่ ต้องรีบที่จะฉวยโอกาสนั้นเป็นจังหวะทองเป็นนาทีทองเลยนะครับ ลุกขึ้นไปเดินจงกรม หรือว่านั่งสมาธิ หรือแม้กระทั่งว่าขณะกำลังฟังแล้วเกิดความรู้สึกอยากจะนั่งสมาธิ อยากจะเดินจงกรมก็เอาเลย เพราะว่าไม่มีใครห้ามนะ ไม่มีใครหวงไว้ว่า การเดินจงกรม หรือว่าการนั่งสมาธินี่ ห้ามฟัง ตรงกันข้ามเลย ถ้าหากว่ามีเสียงของครูบาอาจารย์คอยมากำกับให้จิตอยู่ในลู่ในทาง ไม่ฟุ้งซ่านเตลิดเปิดเปิงออกไปตามอำเภอใจนี่นะครับ มันก็ถือว่าเป็นเครื่องช่วย เป็นเครื่องทุ่นแรง ที่ทำให้เราอยู่กับร่องกับรอยในช่วงต้นได้ง่ายๆนะครับ ถ้าหากว่ายังมีความรู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีกำลังใจอีก อันนั้นก็คงจำเป็นที่จะต้องกลับไปสวดมนต์บ้าง กลับไปอ่านหนังสือธรรมะที่นำเรามาสู่เส้นทางนี้บ้าง หรือว่าอาจจะไปคุยไปสนทนาธรรม ซึ่งในอินเตอร์เน็ตปัจจุบันนี่นะ ก็มีหลายแห่งที่เป็นเขตสว่าง ไปคุยแต่ในเรื่องที่ดีๆ อย่าไปคุยอะไรที่มันทำให้จิตตก อย่าไปทำให้ใจของเรานี่ไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ไปข้องเกี่ยวเรื่องของคนอื่น แต่ให้เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับจิตของตัวเอง ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับสติของตัวเองมากๆนะครับ ถ้าหากว่าที่ไหนเป็นเขตแบบนั้นก็ให้เข้าไปสนทนาธรรมที่นั่นบ่อยๆ แล้วกำลังใจมันก็จะไม่ขาดสายนะครับ
« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น