วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๕๑ / วันที่ ๑๖ พ.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันพุธที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks นะครับ

เมื่อคืนวันจันทร์ รายการดังตฤณวิสัชนาออนแอร์รายการแบบบันทึกไม่ใช่รายการสด แล้วผมได้ออนแอร์บันทึกรายการตั้งแต่ช่วง ๑๖.๐๐ น. เนื่องจากช่วง ๒๑.๐๐ น. ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ ก็เลยขลุกขลักนิดหน่อยนะครับ มีเอคโค่ ด้วยมีความผิดพลาดทางเทคนิคในช่วง ๔ นาทีแรก ก็ต้องขออภัย

แล้วเนื่องจากผมได้ออนแอร์ตอน ๑๖.๐๐ น. โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า จึงมีหลายท่านถามเข้ามาโดยความเข้าใจผิดว่าเป็นออนแอร์สดนะครับ ก็เลยชดใช้ด้วยการขอนำคำถาม ๒ ข้อที่ส่งเข้ามาในช่วงนั้น มาตอบคำถามในช่วงแรกนี้นะครับ



๑) เรื่องของการเข้าทรง จะทราบได้อย่างไรว่าใช่เทพมาลงจริงๆ? ตอนนี้มีคนใกล้ตัวหนูเชื่อเรื่องนี้มาก และเริ่มมีความเชื่อขัดกันเกิดขึ้น ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรดี

คำตอบนะครับก็คือว่าเมื่อไหร่ที่คนธรรมดานี่นะที่ไม่ได้มีความรู้ไม่ได้มีความเห็นพิเศษอะไร เข้าใกล้เรื่องทรงเจ้าก็เกือบๆจะเข้าใกล้ความงมงายกันแล้วนะ

มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางรู้ได้ว่าของจริงหรือของหลอกนะครับ เว้นแต่จะเป็นผู้ที่มีตาทิพย์ รู้เห็นลักษณะจิตมนุษย์กับเทวดา สามารถแยกแยะได้ออกนะครับว่า อันไหนจิตมนุษย์อันไหนจิตเทวดา ตลอดจนมีความสามารถที่จะหยั่งรู้วาระจิต คือเห็นว่าเป็นจิตเทพจิตมนุษย์อย่างเดียวไม่พอนะครับ ต้องมีความสามารถที่จะหยั่งรู้ว่าจิตขององค์ที่มาลง เป็นกุศลหรืออกุศล เป็นสัมมาทิฐิหรือว่ามิจฉาทิฐินะครับ พูดง่ายๆว่าดีหรือชั่ว ซึ่งคนที่จะมีวาระจิต ฌานรู้วาระจิตองค์เทพที่เกินมนุษย์ได้มากที่สุด ก็ได้แก่พระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์จิตท่านเหนือบุญเหนือบาปแล้วเหนือดีเหนือชั่วแล้วนะครับ มีแต่ลักษณะที่โปร่งใสนะครับ ไม่มีเทพหรือพรหมองค์ไหนที่มีความสะอาดได้เท่า เพราะฉะนั้นคนที่สะอาดที่สุดปลอดโปร่งที่สุด จึงสามารถมองย้อนกลับมาเห็นคนที่ยังทึบอยู่ด้วยโมหะ ทึบอยู่ด้วยอุปาทาน ทึบอยู่ด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวมีตน พระอรหันต์ท่านไม่มีตัวแล้วไม่รู้สึกว่าท่านมีตัวแล้ว จึงสามารถที่จะเห็นวาระจิตของทั้งมนุษย์ และเทวดาได้แม่นยำที่สุด

แต่ก็ว่ากันไม่ได้นะครับ เรื่องเข้าทรงเรื่องเทพอะไรที่มันลี้ลับ ไม่ได้มีเฉพาะยุคเราแล้วก็ไม่ได้มีเฉพาะในประเทศเรานะครับ มีกันทุกประเทศแล้วก็มีมาทุกยุคทุกสมัย คนชอบเรื่องเทพเรื่องทรงบางคนเขาสร้างของเขามาอย่างนั้น คือบางทีมีตกลงกันมาอย่างนั้นเลยว่าจะเป็นช่องทางสื่อสารให้ อันนี้คือก่อนเกิดเลยนะ มีการตกลงกันคืออาจจะเคยเป็นบริวารของเทพผู้ใหญ่มาก่อน แล้วก็ตกลงกันก่อนที่จะมาเกิด เพื่อที่จะเป็นช่องทางสื่อสารให้ แล้วก็พอถึงเวลาท่านก็จะมาเรียกใช้ ถ้าขัดขืนบางทีก็มีการแสดงฤทธิ์แสดงเดชอันนี้ผมก็เคยเห็นมา ก็เอามาพูดให้ฟัง ยกไว้นะเรื่องว่ามันจริงหรือไม่จริง เรื่องว่ามันจะเป็นความเข้าผิดของบุคคลส่วนบุคคลรึเปล่า แต่อันนี้เล่าให้ฟังว่าถ้าคนที่เขาเคยผูกกันมามันมีเงื่อนที่จะมีลงล็อกกันได้ด้วยทางใดก็ทางหนึ่งถือเป็นกรรมผูกมัดต่อกันแต่ส่วนใหญ่จะเลี่ยงที่จะเข้าไปพัวพันได้ถ้าหากว่าไม่ได้ตกลงกันมาไว้ ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนนี่ มีหลักของชีวิตเป็นใครเป็นอะไร

ถ้าหากว่าเลือกที่จะมีพระศาสดาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักชัยเป็นหลักชีวิต เป็นแสงนำทาง และไม่พึ่งพาเทพองค์อื่นหรือสิ่งศักดิ์สิทธ์อื่นๆ ก็ถือว่าเข้ากันได้กับพวกเรา ไม่พูดว่าดีที่สุดล่ะ เพราะแต่ละคนก็จะบอกว่าของตัวเองนี่เจ๋งที่สุด แต่ก็จะบอกว่าอย่างนี้แล้วกันพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้ส่งองค์ท่านเองมาจากฟากฟ้ามาเข้าทรงใครแต่ท่านลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิตนะครับ ลงมาอยู่ในร่างของมนุษย์ลำบากแบบมนุษย์ ไม่รู้แบบมนุษย์ เรียนรู้แบบมนุษย์ แล้วก็ลำบากแบบมนุษย์เรียกว่าสมบูรณ์แบบที่สุดแล้วล่ะ เพื่อที่จะได้มาสั่งสอนเพื่อที่จะได้มานำทางมนุษย์ เป็นมนุษย์ด้วยกันสามารถที่จะมองเห็นจับต้องได้แล้วก็รู้ความกันได้สื่อสารกันได้โดยไม่ต้องใช้ช่องทางอื่น แต่ถ้าหากว่าคนเขาจะเชื่อของเขาจะเลือกช่องทางที่เห็นว่าเป็นเทพที่เห็นว่ามีสภาวะที่เหนือกว่ามนุษย์อันนี้เขาก็จะมีทิพย์ของเขา ทิพย์ในแบบของเขารู้สึกอบอุ่นใจรู้สึกว่าดีนะที่ได้อยู่ใต้ใครที่เหนือกว่าตนมีคำแนะนำหรือว่าการแสดงฤทธิ์แสดงเดชให้เห็นว่ายังมีใครที่อยู่เหนือกว่าเรา บางทีมนุษย์ไม่ยอมกันหรอก แต่จะยอมเทพหรือยอมคนที่เห็นว่ามีฤทธิ์มีเดชนะครับ อันนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์แสวงหาสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเสมอ เพราะว่าไปถึงจุดๆหนึ่งมนุษย์รู้สึกว่าต่างคนต่างไม่รู้ ติดเพดานความไม่รู้เหมือนกัน ติดเพดานความสามารถที่มีขีดจำกัดเหมือนกันก็เลยพยายามหาใครสักคนมานำทางชนิดที่ว่าทุกคำพูด ถือเป็นประกาศิตทุกคำพูดถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องดำเนินรอยตามหรือจะต้องทำตามคำสั่ง อันนี้ถ้าหากว่าเราพูดได้ก่อนที่เขาจะเข้าหาเรื่องพวกนี้มันก็มีโอกาสที่จะดึงได้นะครับ แต่ถ้าเขาเข้าไปแล้ว พูดกันง่ายๆพูดกันตรงๆเลยนะครับ ว่ามันค่อนข้างจะยากที่จะไปเปลี่ยนใจเขานะครับ



๒) เกิดมาในครอบครัวที่ชอบทำบุญ แต่ว่าสวดมนต์ภาวนาจริงจังมาประมาณ ๑ ปี เพราะรู้ตัวว่าน่าจะมีกรรมเก่ามา ถึงได้พบเจอแต่คนไม่จริงใจ แล้วชีวิตค่อนข้างจะมีอุปสรรค ทั้งๆที่ในชาติปัจจุบันไม่เคยไปทำเรื่องร้ายแรงต่อผู้อื่น อยากทราบว่ากรรมใหม่ในปัจจุบันจะช่วยผ่อนปรนให้ชีวิตดีขึ้นได้จริงไหม? ตอนนี้รู้สึกท้อแท้

คำตอบก็คือว่าคนเราแต่ละคนนะครับ ไม่แน่ใจว่าพูดเรื่องคู่รึเปล่านะครับ หรือว่าพูดเรื่องคนเข้ามาคบค้าพูดเรื่องงานหรือเพื่อนร่วมธุรกิจอะไรต่างๆ แต่จะพูดรวมๆไปอย่างก็แล้วกันว่าตัวเราแต่ละคนนะครับ มีความเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนแต่ละคนหนึ่งๆเข้ามา ในช่วงเวลาที่เสวยบาปก็จะดึงเอาคนเลว คนโลเลเข้ามา ในช่วงเวลาที่จะได้เสวยบุญก็จะดึงเอาคนดีมีความมั่นคงเข้ามา ถ้าสมมุติว่าพูดถึงเรื่องแฟนนะครับ คนดีคนมั่นคงคนนั้นนี่ก็จะต้องเคยร่วมบุญกับเราในแบบคิดดี พูดดี แล้วอยู่ร่วมใต้ชายคาเดียวกันอย่างดีตลอดชีวิตมาแล้วด้วย คือถ้าเคยพิสูจน์ได้ว่าเคยร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาตลอดทั้งชีวิตได้ชาติหนึ่ง มันก็จะมีแนวโน้มว่าชาติต่อๆมาจะทำแบบนั้นได้อีก

ฉะนั้น อย่าไปคิดว่าเราดีชาตินี้แค่ชาติเดียวหรือว่าภาวนามา ๑ ปีนี่จะเป็นปัจจัยพร้อมให้เจอคนดีมีใจซื่อได้เลยทันทีนะครับ มันไม่ใช่ว่าเราทำดีแล้วจะได้เจอคนดีๆนะ มันไม่ใช่แบบนั้นทันที เพราะว่าตัวชีวิตทั้งชีวิตเส้นทางชีวิตถูกวางแผนไว้ ค่อนข้างที่จะ คือไม่ได้วางแผนไว้ตายตัว แต่วางแผนไว้ค่อนข้างชัดเจน ว่าช่วงต้นชีวิตจะเป็นอย่างไร ดีหรือร้าย ช่วงกลางชีวิตจะรุ่งเรืองหรือว่าตกยาก ช่วงปลายชีวิตท้ายชีวิตจะตายดีหรือตายร้าย อันนี้กรรมเก่าที่เราสร้างมาทั้งชีวิตก่อน เขาวางแผนมาค่อนข้างชัดเจนแล้ว บางส่วนของแผนเราจะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะว่ามันทำมาหนักแน่นมากตลอดทั้งชีวิตมันมีความต่อเนื่อง ไม่ลดราวาศอกเลยแต่อีกหลายๆส่วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้สามารถปรับปรุงได้ เพราะว่าทำมาด้วยความไม่แน่นอนแล้วก็เหมือนกับมีกำลังอ่อนหรือว่ามีกำลังปานกลางถ้าหากว่าเราทำบุญใหม่หนักแน่นจริงๆมันเอาชนะได้นะครับ

นี่ก็จะพูดโดยรวมเป็นคำตอบนะครับว่าที่คุณถามว่า การที่เรามาสวดมนต์ภาวนาจริงจังแล้วก็ตั้งใจที่จะทำดี คิดดี ทำดี พูดดี สามารถจะช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้นได้จริงหรือเปล่า?

เอาอย่างนี้ก็แล้วกันถ้าจะทำให้คุณสบายใจขึ้นจริงๆถ้าหากว่าตั้งใจที่จะถือศีลแล้วสามารถจะถือศีลได้สะอาดหมดจดนะครับ พระพุทธเจ้าเป็นประกันเลยเอาพระองค์เองเป็นประกันเลยว่าจะมีใจที่สบาย ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะมีความไม่สะดุ้ง มีความรู้สึกดีกับตัวเองอยู่ ถ้าเรามองที่ใจ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มองที่ใจเป็นหลัก ไม่ว่าจะมีอะไรอยู่ภายนอกแค่ไหนก็ตาม ส่องเข้ามาที่ใจว่ามันสอดคล้องกับสิ่งที่มีหรือเปล่า? บางคนรูปสวย รวยทรัพย์ เหมือนว่ามีอะไรต่ออะไร เหมือนกับพรั่งพร้อมทุกอย่างในสายตาของคนอื่น แต่ส่องเข้ามาที่ใจแล้วกระสับกระส่ายกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา ไม่พออยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีความรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากไปเบียดเบียนคนอื่นเขาไว้มาก นอนหลับลงไปแต่ละคืนฝันร้ายทุกที อันนี้เรียกว่า สุขนอก แต่ว่าร้อนอยู่ข้างใน ตรงข้ามกับคนบางคนนะครับ ถึงแม้ว่าจะยากจนข้นแค้น ต้องใช้หนี้ใช้สิ้น ต้องกระเบียดกระเสียร ดูเหมือนกับหน้าดําคร่ำเครียด แต่พอถึงเวลานอนหลับสบาย แล้วตื่นเช้าขึ้นมาก็มีความรู้สึกดีๆกับชีวิต มีความรู้สึกดีๆกับตัวเอง ว่าเราตื่นมาอยู่ในชีวิตที่มีความสว่าง ตื่นมาอย่างที่เรียกว่ามี สิ่งศักดิ์สิทธิ์นำทาง มีแสงสว่างนำทาง ไม่ใช่มีกิเลสของตัวเอง โมหะของตัวเอง ไม่ใช่มีความโลภของตัวเองเป็นตัวดึงดูดให้ลุกขึ้นมาทำเรื่องชั่วร้าย

คนเราแต่ละคนมีมโนสำนึก มีมโนธรรม มีมนุษยธรรม ติดตัวมาแต่อ้อนแต่ออกทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าจะเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีมนุษยธรรม คือธรรมะแห่งความเป็นมนุษย์ ถ้าหากว่าไม่มีมนุษยธรรมอยู่มาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ ทีนี้มนุษยธรรมนี่นะครับ มันอยู่ติดตัวตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งตาย ถ้าหากว่าช่วงไหนเราทำตามเสียงเรียกร้องของมนุษยธรรม ช่วงนั้นเราจะรู้สึกเป็นตัวของตัวเองแล้วก็มีความสุข แต่ถ้าเมื่อไหร่ช่วงไหนที่เราทำในสิ่งที่คัดค้านกันกับมนุษยธรรม ช่วงนั้นเราจะรู้สึกเหมือนกับว่า บางทีมันมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่นะแต่เป็นตัวหนึ่งที่มันอยู่ข้างนอก แต่ส่วนข้างในที่ลึกลงไปก้นบึ้งของหัวใจนี่เรามองไม่เห็นด้วยกับไอ้ตัวที่มันหนักแน่นอยู่ข้างนอกนั้น

ถ้าเราพิจารณาอย่างนี้ว่าที่ทำดี ไปสวดมนต์ไปรักษาศีล ๕ ไปอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่เพื่อที่จะเจอคนดีข้างนอกแต่เพื่อที่จะเจอคนดีข้างในไอ้ที่มันใช่ตัวเราจริงๆ ไอ้ที่มันเป็นมนุษยธรรม ไอ้ที่มันเป็นธรรมะ เพื่อความเป็นมนุษย์จริงๆตัวนี้นะมันจะทำให้เรามีความสุขแล้วก็ทำให้เรารู้สึกว่าข้างนอกเราจะเจอใคร ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราเจอตัวเองข้างในแล้วหรือยัง ตัวที่มันจะนำทางสว่าง ตัวที่มันจะนำทางไปสู่ความสุขที่เป็นของจริง ที่เป็นของยืนยาว

มนุษย์อยู่กันไม่กี่สิบปีหรอก เริ่มต้นขึ้นมาไม่มีอะไรเลยแล้วก็ค่อยๆเรียนรู้ขึ้นมาจากเด็ก จนหนุ่ม จนสาว แล้วก็ค่อยๆแก่ลงในที่สุดมันก็ต้องตายไปภายในเวลาไม่กี่สิบปี แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความดีที่สั่งสมไว้ในเวลาไม่กี่สิบปีสามารถทำให้เราไปเสวยทิพยสมบัติได้นานไม่รู้เท่าไหร่ นานกว่าไม่รู้เท่าไหร่ ขอให้ตั้งมุมมองไว้อย่างนี้ก็แล้วกันนะครับ ถ้าพูดถึงความเป็นพุทธจริงๆเราไม่หวังผลระยะสั้นเราหวังผลระยะยาว ทั้งในแง่ของจิตใจที่สบายไปตลอดชีวิตทั้งในแง่ของความสุข ความเจริญที่เป็นความแน่ใจ เป็นหลักประกันอนาคตหลังจากที่ตายไปจากโลกนี้แล้วนะครับ



๓) การที่เราจะได้เป็นผู้ชายในชาติต่อๆไป ต้องดเว้นอะไรบ้าง แล้วต้องประพฤติปฏิบัติอะไรบ้าง ถึงจะไม่เป็นเกย์หรือกระเทย? หรือท่านหญิงทั้งหลายที่อยากเกิดเป็นผู้ชายต้องทำอย่างไร?

กรรมที่จะเป็นเหตุให้เป็นชายก็คือริเริ่มทำอะไรเอง แล้วก็มีความเข้มแข็งสามารถเป็นที่พึ่งให้ตัวเองได้ ก็สมควรเป็นที่พึ่งให้คนอื่นๆได้ พูดง่ายๆกรรมในการให้ทาน ควรจะไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวและก็มีใจที่จะเผื่อแผ่ให้คนอื่นได้ แล้วกรรมในแง่ของการรักษาศีลก็ควรที่จะคิดไม่เบียดเบียนใคร คือไม่ใช่ว่าตั้งมุมมองไว้ว่า ดีมาดีตอบ ถ้าร้ายมาร้ายกลับ อะไรแบบนี้นะถ้าคนตั้งใจรักษาศีลจริงๆ ดีมาดีตอบ ถ้าร้ายมาก็ดีตอบอยู่ดี อย่างนี้เขาเรียกว่าทำกรรมอย่างความเป็นชายไว้ คือมีความริเริ่มคิดได้เองแล้วก็มีความหนักแน่น มั่นคงนะครับ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องศีลข้อกาเม อันนี้ในพุทธศาสนาจะเน้นเลยว่าถ้าหากไปผิดลูกผิดเมียใครเขาแล้วก็ทำบาปทำกรรมในข้อกาเมสุมิจฉาจาร โดยไม่มีความละอายอยู่เลยก็จะได้ไปเกิดอย่างน่าละอายคือมีความเบี่ยงเบนทางเพศ แล้วก็ไม่ใช่ได้รับผลแต่เฉพาะความเป็นกระเทยในโลกมนุษย์ จริงๆแล้วในปัจจุบันมีการรณรงค์กันมาก ว่าอย่าเห็นว่าการเบี่ยงเบนทางเพศเป็นเรื่องผิดปกติขอให้เห็นใจกันและกัน ขอให้มองอย่างเห็นใจกัน ฝรั่งเรียกว่าเป็น ‘Sexual Preference’ เป็นความชอบใจทางเพศไม่ใช่ความผิดปกติทางเพศ ในความเป็นจริงผู้ที่เบี่ยงเบนทางเพศมากกว่าครึ่งจะมีความรู้สึกว่าทรมานใจอยู่ลึกๆ ว่าสังคมอย่างไรๆก็ยังไม่ยอมรับ คือถึงแม้ว่าองค์การอนามัยโลกจะออกมายอมรับรณรงค์อะไรแค่ไหนก็ตามว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติเรื่องอะไรแต่ก็โดนล้อเรียนอยู่ดี เราก็ต้องแสดงความเข้าใจว่าเรื่องของความเบี่ยงเบนเป็นของเก่า เป็นผลกรรมที่เคยพลาดไว้ด้วยความไม่รู้แล้วมันก็ไม่รู้ด้วยกันทั้งนั้นแหละว่าทำอะไรจะเกิดผลอะไร

ที่นี้เราก็ต้องเกิดความเห็นใจกัน เมื่อเขามีสภาพแบบไหนก็ต้องมีความเห็นใจไว้ก่อนแล้วว่า นี่คือภาวะร่วมทุกข์ร่วมสุข แล้วเขาไม่รู้เขาถึงทำแล้วก็รับผลที่มันมีความทรมานใจอยู่ในส่วนลึก ถ้าเราไปล้อเลียนเขาก็เท่ากับว่าเราสร้างกรรมให้ตัวเราเองนะ ต่อไปก็ต้องอาจจะไปเป็นแบบเขานะครับ

แต่ถ้าพูดถึงความเป็นชาย ง่ายๆเลยก็คือมีความริเริ่มในงานบุญด้วยตัวเองแล้วก็มีความหนักแน่นที่จะรักษาศีลให้สะอาด มีความมั่นคง และสามารถเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ นี่แหละกรรมแห่งความเป็นชายที่แท้จริงเลย



๔) การทดแทนบุญคุณพ่อแม่บุญธรรม ถ้าทำทางตรงต่อท่านแล้วท่านคิดมากและไม่ค่อยยอมรับ บางครั้งท่านก็แสดงอาการอึดอัดรำคาญหรือส่งคืนของที่เราซื้อให้ ถ้าเราเป็นคนถือศีล ๕ และกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลที่เราทำส่งให้ท่านแทน การกระทำตรงนี้ ถ้าเราทำบ่อยๆมาทำทางอ้อมแทนบ้าง จะถือว่าอกตัญญูไหม?

เอาแค่ว่าคิดจะตอบแทนคุณท่าน หรือแค่ว่าเราจำได้ว่าท่านมีพระคุณต่อเราก็เรียกได้ว่าเป็นคนกตัญญูแล้ว คำว่ากตัญญู แปลว่าความมีบุญคุณ มีความระลึกได้ว่าใครมีบุญคุณกับเรา ส่วนการกตเวที กตเวทิตา อันนี้คือการตอบแทน ความหมายของกตัญญูแท้ๆก็คือว่าใจเราไม่ลืมว่าใครมีบุญคุณกับเราอยู่

คนส่วนใหญ่มนุษย์เกินครึ่งเลยก็ว่าได้นะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้มักจะอกตัญญู นึกไม่ได้ จำไม่ได้ ว่าใครเคยมีบุญคุณกับตัวเองบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายนี้แหละ ถ้าเราคิดจะตอบแทนท่านจริงๆนี่ อาจจะไม่ต้องให้ของก็ได้ แต่ว่ามาสวดมนต์แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลก็เป็นทางหนึ่งคือมันแสดงให้เห็นว่าเรามีความระลึกได้อยู่ว่าท่านมีบุญคุณยิ่งทำบ่อยมันก็ยิ่งเป็นการรีเฟรชให้จิตไม่หลง เพราะว่าถ้าไม่ทำการรีเฟรชกันบ่อยๆธรรมชาติของจิตจิตเขาจะค่อยๆเลือนไปว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าหากเราเป็นคนมีความมุ่งมั่นในเรื่องของความกตัญญู กตเวทิตาดีมาก ถ้าจะสวดมนต์แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้ท่านนะครับ

แต่ว่าจริงๆถ้าจะอยากให้ท่านได้บุญได้กุศลแท้ๆเลยนะครับ ต้องชวน ต้องคุยกันกับท่านในเรื่องของธรรมะ เรื่องของความรู้ความเข้าใจทางพุทธศาสนา ซึ่งจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงให้ท่าน ถ้าหากว่าเราสามารถเปลี่ยนใจท่านจากไอ้ความเห็นผิดว่าการให้ทานเป็นของไม่ดี รู้สึกว่าการให้ทานเป็นของดีเป็นของชุ่มชื่นทั้งในปัจจุบันและเป็นที่พึ่งในอนาคตได้ นั่นเรียกว่าเราสร้างที่พึ่งให้ท่านแล้วเป็นการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อมากเลย หรือถ้าจะดีกว่านั้นก็คือเราพรรณนา ให้ท่านเห็นว่าคุณของศีลการรักษาศีลดีอย่างไรทำให้ใจสะอาด แล้วก็มีความไม่แปดเปื้อนไม่มีมลทินอย่างไร พูด พูด พูด จนกระทั่งท่านคล้อยตาม อย่างนี้เรียกว่าตอกย้ำที่พึ่งให้มีความแน่นหนามั่นคงเข้าไปอีก หรือถ้าให้ดีที่สุดก็คือทำให้ท่านสามารถศรัทธาในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือไปอธิบายให้ท่านฟังว่าพระพุทธเจ้าดีอย่างไรไม่ใช่เอาไว้แค่กราบไหว้เป็นสิ่งศักดิ์เอาไว้ขึ้นหิ้ง แต่เอาไว้เป็นครูเอาไว้เป็นผู้ที่จะแจกแจงว่าควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร ทางที่สุดของมนุษย์ที่จะไปถึงที่สุดทุกข์ได้ ไปถึงยอดแห่งบรมสุขได้คืออะไร ถ้าหากเราสามารถทำให้ท่านรู้และก็เข้าใจตามได้ตรงตามจริงอันนี้แหละที่จะเป็นการแผ่บุญแผ่กุศลให้ท่านของจริงเลยไม่ใช่แผ่กันหลอกๆ นะครับ



๕) อยากทราบว่าจะสร้างกรรมดีอย่างไร ให้ชาติต่อๆไปเป็นคนมีสัมมาทิฏฐิ และมีใจหนักแน่นไม่ทำบาปต่อ แม้จะมีเรื่องยั่วยุ หรือถึงแม้ว่าจะมีสิทธิ์มากพอที่จะทำ?

ถ้าจะเดินทางต่อไปเรื่อยๆในสังสารวัฏ พระพุทธเจ้าตรัสเองเลยนะว่าไม่มีทาง ไม่ใช่วิสัยที่จะเลี่ยงนรก ไม่ใช่วิสัยที่จะเลี่ยงความพลาด อย่างไรๆก็ต้องพลาด ก็เกิดมาจำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเคยเป็นใครมาก่อนทำอะไรมาก่อนมันถึงมาเกิด แล้วก็เถียงกันอยู่นั่นแหละนรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า ชาตินี้ชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า คนตายเท่านั้นที่ถึงจะรู้และทุกวันนี้มีคนรู้กันวันละประมาณ ๒ แสน ไม่ใช่ไม่มีคนรู้นะมีคนรู้กันประมาณ ๒ แสนทุกวัน มีคนตายทุกวันเกือบ ๒ แสน ได้รู้ได้เห็นความจริงนะว่าตายแล้วไปไหน แต่พอรู้มันก็สายเกินไปมันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว ที่ขึ้นสวรรค์ก็ไม่สามารถที่จะมาสั่งสมบุญให้สูงขึ้น ที่ลงนรกก็ไม่สามารถที่จะทำดีชดใช้ความผิดแล้วก็ลอยขึ้นมาจากนรกนะ ความลืมมันทำให้เราหลง ความหลงทำให้เราเลือกที่จะตามใจกิเลสนี่แหละตัวนี้แหละเป็นเหตุที่ทำให้ก่อบาปก่อกรรมไม่มีที่สิ้นสุด

ไม่มีใครจะเป็นสัมมาทิฐิได้ตลอดแม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งเมื่อท่านเป็นพระโพธิ์สัตว์ใหญ่อยู่ ท่านก็เคยมีความหลงแม้ตามอำนาจ โลภะ โทสะ โมหะ ทำบาปทำกรรมท่านก็เล่าให้ฟังหมด ท่านเคยไปนรกชั้นไหนมา เคยไปเป็นสหายแห่งเดรัจฉานชั้นไหนมา คือไม่ใช่ว่าท่านจะสรรเสริญแต่ตัวเองว่าบำเพ็ญบารมี มีแต่ดีกับดีนะ ท่านบอกเลยบอกว่าถ้าหากตั้งใจจะเดินทางท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏเรื่อยๆและคิดว่าจะเป็นสัมมาทิฐิได้ตลอดไม่ต้องลงนรกเลยนี่อันนั้นผิดแล้ว แค่คิดก็ผิดแล้ว ท่านยกเอาตัวท่านเองเป็นตัวอย่างเลยว่าบุพจริยา เป็นสูตรที่ว่าด้วยความผิดพลาดที่พระองค์เคยทำมาแล้วก็ต้องไปเสวยผลกรรมเผ็ดร้อนต่างๆนานา แต่ถ้าหากว่าเรายังไม่มั่นใจ เราจะสามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ในเร็วๆนี้ก็มีคำแนะนำคือ อันดับแรกเลยให้ถือเอา ครู อาจารย์ ที่ถูกที่ชอบเรียกว่า ปาระโตโทสะ เป็นหลักนะ อย่างเช่นกัลยาณมิตรเช่นพระพุทธเจ้าขอให้ยึดไว้ อย่าไปเบี่ยงเบนไปไหนเลยนะ ไม่ว่าใครเขาจะร่ำลือกันว่าเทพองค์ไหนศักดิ์สิทธิ์อย่าให้ใจไขว้เขวเอาพระพุทธเจ้าไว้เป็นสรณะแค่พระองค์เดียวเลย เหนียวแน่นเลย แล้วก็พระธรรมคำสอนของท่าน แล้วก็พระอริยสงฆ์ที่เป็นสาวกปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนของท่านเจริญรอยตามท่าน เราเอาแค่นี้จะไม่เอาที่อื่น ถ้าตั้งใจไว้อย่างนี้เป็นหลักแล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนของท่านด้วยนะ ไม่ใช่ว่าจะยึดไว้ด้วยใจอย่างเดียวแต่ว่าทำเอาอะไรตามอำเภอใจนะ แล้วด้วยความที่เรามีศรัทธา ทั้งมีทาน มีศีล ที่เราทำมั่นคงในปัจจุบันตัวนี้แหละที่จะเป็นพลังดลใจให้เราอยู่ในทางดีทางชอบ แล้วก็เลือกทางที่ถูกมากกว่าทางที่ผิด ตรงนี้แหละเป็นที่สุดที่เราจะสามารถสะสมเสบียงจากชาติที่อุบัติในใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนาได้

ชีวิตนี่เป็นของน้อยนะครับ แต่ว่ากรรมสามารถที่จะเป็นของใหญ่ได้ ถ้าหากว่าเราโชคดีพอ มีวาสนาพอ ที่จะได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีแก่ใจที่จะปฏิบัติประพฤติตาม หรือเอาตามตลอดชีวิตถ้าทำได้ตลอดชีวิตก็ขอให้บอกตัวเองเลยว่าเราเป็นชนหมู่น้อย หนึ่งในชนหมู่น้อยที่โชคดีที่สุดในสังสารวัฏ ประกันความปลอดภัยไว้พอสมควร มีความสว่างนำทางข้างหน้าไว้พอสมควร แต่อย่าหวังว่าจะเป็นไปได้ตลอดไปเพราะเป็นไปไม่ได้


เอาล่ะครับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกคนท่านนะครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น