สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันศุกร์ที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรงครับ เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่เฟสบุ๊ค http://www.facebook.com/HowfarBooks
๑) วันนี้ได้เข้าไปที่วัดแห่งหนึ่ง รู้สึกแตกต่างกว่าทุกครั้ง คือรู้สึกโหวงเหวง ผู้คนน้อย แล้วก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าเข้าไปทำไม คำถามคืออาการโหวงเหวงนี้เป็นโทสะใช่ไหม? แล้วโทสะนี้มีมูลมาจากความโลภหรือการตั้งความคาดหวังใช่หรือไม่?
อาการโหวงเหวงก็มาจากผัสสะกระทบนะ ผัสสะกระทบคือ ตาเห็นรูป ปกติเคยเห็นผู้คนเดินพลุกพล่านจอแจ แล้วก็อาจมีความรู้สึกชุ่มชื่นใจ เห็นคนมาทำบุญกันเยอะๆนี่ แต่ละคนก็แบกเอากระแสความเป็นกุศล กระแสความรู้สึกชื่นมื่น กระแสความรู้สึกดีๆทำให้เกิดความรู้สึกว่า โลกนี้ยังสว่างอยู่ ยังมีสถานที่ที่มีความสว่างที่ผู้คนเข้าไปรวมๆกันด้วยกระแสกุศล พอวันหนึ่งตาเห็นรูปไม่เหมือนเดิม คือรูปนี่ไม่มีความพลุกพล่านจอแจด้วยกระแสกุศล ไม่ค่อยมีคนคับคั่ง ก็เลยเหมือนกับ ที่เคยรู้สึกสว่าง ที่เคยรู้สึกว่าชุ่มชื่นเป็นกุศลมากๆนี่ ความชุ่มชื่นมันก็ลดน้อยลงกลายเป็นความโหวงเหวงได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นความคาดหวังเสมอไป ขอให้มองอย่างนี้ก่อนนะครับว่า ตาเห็นรูปด้วยความเคยชินอย่างไร แล้วเปลี่ยนไป เป็นความน้อยลงหรือมากขึ้น ปรุงแต่งให้ใจพลอยมีปฏิกิริยาน้อยลงหรือมากขึ้นตามไปด้วยนะครับ ก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องตั้งความคาดหวังอะไรไว้ก่อนเสมอไป
๒) อยากถามว่าเรื่องการแปลงชื่อเป็นตัวเลขมีอิทธิพลกับชีวิตหรือไม่? หากเชื่อ เพราะเหตุผลใด? แล้วศาสตร์นี้มีความสัมพันธ์กับกรรมและคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้างไหม?
(ถาม – มีความเห็นอย่างไรกับการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลเพื่อเสริมดวงหรือช่วยทำให้ชีวิตเจริญขึ้น? พื้นฐานของศาสตร์เหล่านี้คือการแปลงพยัญชนะเป็นตัวเลขแล้วนำผลรวมมาประเมินโอกาสและอุปสรรคของชีวิต โดยอ้างเหตุผลต่างๆ เป็นต้นว่าคนจีนในไทยสมัยโบราณยังเปลี่ยนชื่อแล้วเจริญขึ้น แล้วทำไมเราจะเปลี่ยนอีกเพื่อให้ดีขึ้นไปอีกไม่ได้? หรือคำนำหน้าชื่อยังมีการเปลี่ยนเพื่อแสดงความเจริญก้าวหน้า เช่น เด็กชายเป็นนาย เป็นร้อยเอก เป็นนายแพทย์ หรือแม้แต่ยศถาบรรดาศักดิ์ คุณหญิงหรือคุณชาย?)
สรุปคำถามก็คือว่า อยากถามว่าเรื่องการแปลงชื่อเป็นตัวเลขมีอิทธิพลกับชีวิตหรือไม่? หากเชื่อ เพราะเหตุผลใด? แล้วศาสตร์นี้มีความสัมพันธ์กับกรรมและคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้างไหม?
คำถามนี้ก็เป็นที่สงสัยกันมานาน แล้วก็มีคนพยายามเอามาโยงเข้ากับหลักกรรมวิบากของพุทธศาสนานะครับ ผมเองออกตัวก่อนว่า ตัวเองไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการตั้งชื่อนะ ว่าอักษรแบบไหนเป็นกาลกิณี หรือว่าเป็นตัวเสริมมงคลให้กับฤกษ์เกิดของตัว แล้วก็เปลี่ยนชื่อไปแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา คือผมเองขนาดที่ว่าชื่อผมมีคำสะกดผิดไปคำนึง ไม่รู้ไปผิดพลาดที่ไหนนะครับ คุณพ่อคุณแม่ก็ทราบวิธีสะกดที่ถูกต้อง แต่ว่าอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่อำเภอหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ มันผิดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ไปแก้เลย หรือมีคนมาทักว่า เออ น่าจะเปลี่ยนชื่อหรืออะไร ไม่เคยสนใจเลยนะครับ แล้วอย่างชื่อนามปากกาดังตฤณนี่ก็ ตอนที่เลือกมาก็ไม่ได้คิดอะไร ว่ามันจะเป็นมงคลไม่เป็นมงคลแค่ไหน คือตั้งไปอย่างนั้นเอง คือผมเคยเขียนนิยายไว้เรื่องนึงตอนสมัยวัยรุ่นแล้วก็เห็นว่า เออ ชื่อนี้น่าจะเอามาใช้ได้ มันน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับธรรมะได้ อะไรแบบนี้นะครับ เห็นเพราะดีก็เอามา ไม่ได้คิดเรื่องมงคล ไม่ได้คิดเรื่องว่ามันจะทำให้เราเจริญรุ่งเรืองอะไรขึ้นมาแค่ไหน แต่อย่างไรก็ตามผมไม่ได้ลบหลู่ในสิ่งที่ผมยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงนะครับ ผมเชื่อเสมอว่า ถ้าเราเลือกชื่อให้มีความเหมาะสม คือเรารู้สึกว่า เออ ตัวเรานี่ ถ้าชื่อนั้นแล้วมันไม่ได้เสียหาย มันไม่ได้น่าเกลียดอะไรก็เอา เรียกแล้วเป็นมงคล เรียกแล้วมีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้ด่าเรา คนไม่ได้มาด่าเรา เออ คนเรียกตัวเราจริงๆ ผมก็ถือว่าใช้ได้แล้ว นี่คือความรู้สึกส่วนตัว นี้คือถ้าเอาในแง่ที่จะมองตามเกณฑ์ของคนทั่วๆไป ที่เขาจะเชื่อกัน
ถ้ามองอย่างเข้าข้างกัน ก็คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา มีความสัมพันธ์สำคัญกับตัวเรา ล้วนแล้วแต่บอกความเป็นตัวเราทั้งสิ้น ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะมีรายละเอียดในชีวิตเป็นอย่างไร ทุกสิ่งถูกกำหนดขึ้นด้วยกรรม กรรมเดิมของเรานี่ ส่งเรามาเกิดในฤกษ์เกิดแบบนั้นแบบนี้ มาเกิดกับพ่อแม่คู่นี้ อันนี้ไม่สามารถที่จะเลื่อนเป็นอื่น เปลี่ยนเป็นอื่นได้เลย หนึ่งชาตินี่ มีฤกษ์เกิดได้แค่ครั้งเดียว มาเกิดกับพ่อแม่ได้แค่คู่เดียว แล้วก็ที่จะโตขึ้นมาอย่างไร โดยฝีมือของพ่อแม่คู่หนึ่งๆนี่ ก็เกิดจากการวางแผนของกรรมเก่าทั้งสิ้น เราทำใครไว้มากก็จะต้องมาอยู่ภายใต้ภาวการณ์แบบนั้นๆนะครับ ถ้าหากว่าเคยไปกดดันคนอื่นไว้มาก ก็จะต้องมาเกิดในฤกษ์เกิดที่ถูกกดดันตั้งแต่เด็กอย่างนี้ อันนี้มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนในใจผมนะครับ จะโดนตั้งชื่อมาอย่างไรก็แล้วแต่ อันนี้ก็เป็นเรื่องของกรรมส่งมาอีก อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ จะเกิดในตระกูลดีหรือตระกูลไม่ดี ตระกูลสูงหรือตระกูลต่ำนะครับ จะผิวพรรณหยาบหรือละเอียด มันก็แล้วแต่ว่าเราได้คิด ได้พูด ได้ทำ เหมาะสมสอดคล้องกับภาวะแบบไหน ชื่อก็เช่นกัน มาเกิดในตระกูลแบบใดไม่พอ ชื่อเป็นแบบไหน แล้วจะถูกเรียกแล้วเกิดความรู้สึกอย่างไร ขัดแย้งหรือว่ามีความสอดคล้องกลมกลืนกับความรู้สึกของตัวเองแค่ไหนเพียงไร มันก็เป็นปัจจัย นิสัยที่สั่งสมมา สืบๆจากกรรมกันมาทั้งสิ้น
ทีนี้บางคนก็บอกว่า เออ เปลี่ยนชื่อแล้วมันดีขึ้นจริงๆ หรือเปลี่ยนอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับตัวเองแล้วมันดีขึ้นจริงๆ ผมอยากให้มองอย่างนี้ก็แล้วกัน แม้กระทั่งว่าถ้าคุณเปลี่ยนวิธีที่ตัวเองจะนั่งจะนอน จัดชุดโต๊ะเก้าอี้ในห้องนั่งเล่นเสียใหม่ หรือเปลี่ยนทีวี ความรู้สึกมันต่างไปเวลากลับมาบ้าน เวลามานั่งในห้องบันเทิง นั่งในห้องพักผ่อน ความรู้สึกมันสดชื่นขึ้น และถ้าความรู้สึกมันสดชื่นขึ้นทุกวัน กลับมานี่ สุขภาพจิตมันก็ดีขึ้น หรือเอาที่น้อยกว่านั้นก็ตาม อย่างเข้าไปในห้องนอน หากคุณเห็นอะไรรกระเกะระกะไปหมด มันไม่อยากนอน มันมีความรู้สึกว่านอนหลับยาก แต่พอจัดห้องจัดหับให้เรียบร้อย มีความโล่งโถง ในห้องนอนเป็นห้องนอนจริงๆ คือ ไม่มีของรกรุงรัง นอกจากเตียงและตู้เสื้อผ้า กับของจำเป็นอีกแค่ชิ้นสองชิ้นนี่ ความรู้สึกมันอยากเข้ามานอนมากกว่ากัน แต่บางคนก็อาจจะนึกขึ้นมาทันทีนะว่า เออ ทั้งห้องนี่มันแคบๆมีอยู่แค่นั้นแหละ ห้องรับแขก ห้องนอน มันก็เป็นห้องเดียวกัน เพราะว่าเช่าหอพักอยู่ หรืออะไรอย่างนี้ มันไม่สามารถที่จะทำให้เป็นอย่างอื่นได้
ทีนี้ก็อยากให้มองตรงนี้แหละ ถ้าหากว่าเรามีความสามารถที่จะเปลี่ยนสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของเราโดยตรงได้ มันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกขึ้นมาแน่ๆ มีปฏิกริยาทางใจเปลี่ยนแปลงไปแน่ แล้วการที่จิตใจถูกปรุงแต่งด้วยความเปลี่ยนแปลงอะไรแบบหนึ่งๆที่สำคัญๆอย่างเรียกชื่อนี่ สำคัญแค่ไหนคุณก็ลองนึกดูนะครับ เวลาคนเขานึกถึงเรา เขาก็จะคิดถึงชื่อนั้น และเวลาเราถูกเรียก ก็จะถูกเรียกด้วยชื่อนั้น เวลาเรานึกว่าตัวเองเป็นใคร ประกาศกับคนอื่นว่าเราชื่ออะไร ก็นึกถึงชื่อนี้ นี่สำคัญขนาดไหน สำคัญแน่ๆนะชื่อน่ะ แต่ที่ว่าจะถอดรหัสออกมาแล้วมีผลกับชีวิตให้เปลี่ยนแปลงหรืออะไรอย่างไรนี่ ผมไม่ทราบ ไม่ได้ศึกษา แต่ถามว่ามันเป็นไปได้ไหมที่จะมีอิทธิพล ผมตอบได้ว่าน่าจะเป็นครับ น่าจะมีผลนะ จากความรู้สึกที่ว่าถ้าหากชีวิตมันมีรหัสอยู่ มันมีจุดตัดของการเกิดที่ให้ผลสำคัญ ที่บอกได้ว่ากรรมเก่าของเราทำมาอย่างไร เพราะฉะนั้นมันก็น่าที่จะมีรหัสอะไรแบบอื่นๆซึ่งมีความเกี่ยวข้องสอดคล้องเหมือนกัน
แต่เนื่องจากผมไม่ได้มีเวลาในชีวิตมากพอจะไปศึกษาตรงนั้น คือความสนใจในชีวิตของผมนี่จะโฟกัส ไปที่เรื่องการเขียน เรื่องการบอกเล่าสิ่งที่ตัวเองรู้แล้ว หรือในการที่จะชักชวนคนเข้ามาสนใจพุทธศาสนา ผมโฟกัสตรงนั้น ความสนใจของผมอยู่ตรงนั้น เวลาในชีวิตส่วนใหญ่นี่จะทุ่มให้ตรงนั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าจะถามเกี่ยวกับศาสตร์หรือเรื่องลี้ลับว่าผมมีความเห็นอย่างไร ผมตอบว่าผมไม่ทราบรายละเอียด แต่ก็ไม่ได้ไปลบหลู่ เพราะว่าอะไรก็แล้วแต่ที่ยังไม่เข้าใจจริงๆนี่ ผมจะไม่พูด คนส่วนใหญ่นี่ พอไม่เชื่อ ก็จะด่า ด่าไว้ก่อน ว่าเหลวไหล งมงาย อะไรต่างๆซึ่งก็ไม่ผิดนะที่จะบอกว่างมงาย ถ้าหากว่าอยู่ๆเราไปเชื่อโดยไม่มีพื้นฐานความรู้ ไม่มีข้อมูลอะไรอยู่ในหัวอะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่ลงมือศึกษาแล้วสรุปว่าเชื่อทันทีนี่ อันนี้เรียกว่างมงายได้ แต่ขณะเดียวกัน คนที่ไม่เชื่อโดยไม่มีพื้นฐานเหตุผล ไม่มีข้อมูลใดๆ ก็เรียกว่าเป็นความงมงายได้ชนิดนึงเหมือนกัน คือปักใจเชื่อตัวเอง เชื่อความคิดตัวเอง โดยที่ยังไม่ทันได้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร ก็เหมือนกับคนจะเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อวิบากกรรมนั่นแหละ
การที่จะด่วนเชื่อทันที โดยที่ไม่ศึกษาไม่เข้าใจซะก่อน ไม่เข้าใจอย่างเป็นเหตุเป็นผล ว่าคิดดี ทำดี พูดดีนี่มันให้ผลดีอย่างไร แล้วคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีนี่มันจะให้ผลร้ายอย่างไร คือพระพุทธเจ้าท่านตรัสแจกแจงไว้ชัดๆเลยว่า เรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับจิตที่เป็นกุศลและจิตที่เป็นอกุศล และก็เรื่องของการที่เราจะมีความเจริญรุ่งเรืองหรือความเสื่อมด้วยกระแสความเป็นบุญ กระแสความเป็นบาป อะไรเหล่านี้นี่ ถ้าหากได้ศึกษา ได้มีความเข้าใจแล้ว ก็รู้สึกว่า เออ มันน่าเชื่อนะ มาพิจารณาไตร่ตรองดู เออ จริงนะ เวลาที่เราคิดดี พูดดี ทำดี มันรู้สึกสว่างออกมาจากภายใน แล้วก็รู้สึกว่าชีวิตทั้งชีวิตเกิดภาพรวมเป็นความสว่าง มันก็น่าจะเจริญรุ่งเรือง กตัญญูกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือว่ามีความคิดในทางไม่เบียดเบียน เออ มันมีความรู้สึกสว่างจริงๆ และชีวิตโดยรวมมันก็ผาสุกจริงๆ แบบนี้แล้วถึงเกิดความศรัทธา ก็เรียกว่าเป็นผู้เชื่อในกรรมวิบากแบบไม่งมงาย
แต่พอใครได้ยินคำว่ากรรมวิบากปุ๊บ ไม่เชื่อทันที เพราะว่าไม่อยากจะคิดว่าอะไรๆมีการวางแผนโดยสิ่งลึกลับได้ มีชาติก่อนที่เราเคยไปทำอะไรที่ไหนมาแล้วลืม อยู่ๆมาเกิดแบบนี้เพราะการวางแผนของกรรมเก่า ไม่อยากจะเชื่อ พอมันไม่อยากจะเชื่ออย่างเดียว เลยพาลไม่เชื่อเลย แล้วไม่ศึกษา ไม่ลงให้ลึก อย่างนี้ก็เรียกว่างมงายได้เหมือนกัน อันนี้ก็สามารถเอามาแอปพลายได้กับความเชื่อหรือไม่เชื่อในศาสตร์สาขาอะไรที่ลึกลับได้เหมือนกันนะครับ ถ้าหากว่าเราไม่รู้ และเราไม่ยินดีที่จะเชื่อ ไม่เป็นไร แต่อย่าพึ่งไปด่า เพราะพอไปด่าปุ๊บ จิตใจมันจะเกิดความรู้สึกที่เป็นอกุศลขึ้นมา แม้สิ่งนั้นมันจะมีความจริงอยู่ มันมีข้อเท็จจริงอยู่ เราก็จะปิดโอกาสให้ตัวเองให้ไม่ได้รับรู้ความจริงในอนาคตข้างหน้านะครับ
๓) เป็นคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับอะไรที่เกิดขึ้นเป็นจังหวะ คือจะรับไม่ได้เลย ทรมานมากค่ะ เช่น เสียงที่ปัดน้ำฝน เสียงพัดลม ม่านปลิว หรืออะไรที่เกิดขึ้นซ้ำๆเป็นรอบๆจะรับไม่ได้ คือใจมันคอยจดจ้องว่า เดี๋ยวมันก็มาอีก เดี๋ยวมันก็มาอีก ในชีวิตประจำวันก็เลยพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ บางทีต้องขอลงจากแท็กซี่เลย เพราะทนเสียงที่ปัดน้ำฝนไม่ไหว แต่มีปัญหาเพิ่ม คือ ไปนั่งสมาธิในสถานที่หนึ่ง เขาเปิดเสียงระฆังเป็นจังหวะๆ แต่เป็นจังหวะห่างๆก็เลยทำให้นั่งไม่ได้เลย รำคาญ แทนที่จะสงบ รบกวนแนะนำด้วยจะทำอย่างไรดี? จะพิจารณาอย่างไรดี?
จิตแบบนี้เป็นแบบที่ว่ามีความขัดเคืองง่าย อันนี้เป็นปฐมเลย เป็นพวก โทสะจริตนะครับ โทสะจริตนี่นะ มันจะมีความขัดเคืองง่าย แปลว่ามีความอ่อนไหวด้วย ตรงนี้บอกไว้นิดนึง และประการที่สอง คือมีความยึดมั่นถือมั่นรุนแรง กล่าวคือ ถ้าหากว่าจิตใจปักเข้าไปยึดอะไรแล้ว มันจะมีอาการถอนออกมายาก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคิดมากในเรื่องนึง สมมุติว่าไปทะเลาะกับแม่ค้ามา เรื่องจ่ายตังค์เกิน หรือจ่ายตังค์ขาดหรืออะไรแบบนี้ พอเราคิดขึ้นมา แค่บาทสองบาทนี่ มันทนไม่ได้ นี่คนแบบนี้มีเยอะนะ คือถ้าหากว่าเรายึดมั่นถือมั่นรุนแรงนี่ บาทสองบาทมีความรู้สึกเหมือนจะเป็นจะตายได้ มันมีความรู้สึกว่าบาทสองบาทนั้น มีค่าทางใจยิ่งกว่าสองสามร้อย ยิ่งกว่าสองสามพันที่เราเต็มใจบริจาคซะอีก นั่นเพราะอะไร เพราะว่าพอเราปักใจว่า อะไรผิดอะไรถูก อะไรมันยุติธรรม อะไรมันไม่ยุติธรรม อะไรที่มันสมควร หรืออะไรที่มันไม่สมควรกับเรา เราจะยอมไม่ได้ ตัวยึดมั่นถือมั่นมากนี่นะครับ ดูคำในหัวที่มันออกมานี่ คือยอมไม่ได้ อย่าไปยอม อะไรแบบนี้
ถ้าหากว่าเรารู้ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ ถ้าหากว่ารู้ตัวว่าเป็นพวกโทสะจริต มีความขัดเคืองได้ง่าย แล้วก็เป็นพวกที่ยึดมั่นถือมั่นรุนแรง มีความปักใจยึดอะไรที่มันเหนียวแน่นถอนยากนี่ ขอให้บอกตัวเองว่าเราเป็นคนโชคร้ายแน่ๆ และโชคร้ายนั่นน่ะไม่ได้ลอยมาจากพระพรหมลิขิตหรือสวรรค์ลิขิตที่ไหน ไม่ใช่นรกสาปที่ไหน แต่เราเป็นคนก่อร่างสร้างโชคที่มันไม่ค่อยจะดีแบบนี้ขึ้นมา ด้วยการสะสมกรรมมาเรื่อยๆ มันเหมือนงูกินหาง
โทสะง่ายมาจากไหน มาจากการไม่ยอมอะไรง่ายๆ อาการไม่ยอมอะไรง่ายๆมาจากไหน มาจากอาการที่เรายึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่เจืออยู่ด้วยโทสะรุนแรง มันเป็นงูกินหางอยู่อย่างนี้ ถามว่าจะแก้อย่างไร เราต้องบอกตัวเองก่อนเลยว่านี่เป็นอารมณ์ของคนโชคร้าย มีโอกาสที่จะทนอะไรไม่ค่อยได้ค่อนข้างสูง แล้วก็เป็นคนที่มีโอกาสจะก่อบาปก่อกรรมได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีอะไรมากระทบกระทั่งรุนแรง ไม่ต้องมีเรื่องร้ายแรงอะไรมาก แค่ความคิดร้ายๆของเราอย่างเดียว ก็สามารถจุดชนวนให้เกิดบาปเกิดกรรมไปได้ไม่รู้จบแล้ว นี่พอพิจารณาแบบนี้นะ มันจะมีแก่ใจ มันจะมีความรู้สึกว่า เราจะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่าง เพื่อที่จะให้ผ่านโชคร้ายตรงนี้ไปได้ การที่เราจะเจริญสติ หรือการที่เราจะบอกตัวเองด้วยอุบายอะไรง่ายๆนี่นะ บางทีมันไม่มีกำลังใจ ไม่มีแก่ใจ ที่จะทำให้ต่อเนื่อง ทำให้จริงจัง หรือเอาชีวิตทั้งชีวิตมาเปลี่ยนเคราะห์ร้ายหรือโชคร้ายตรงนี้ให้มันผ่านพ้นไป แต่ถ้าเราพิจารณาตัวเอง เออ ไอ้ความเป็นคนโชคร้ายตรงนี้ น่าจะเปลี่ยนซักที แล้วพิธีกรรมที่จะทำนี่ ไม่มีอะไรมากไปกว่า เราบอกตัวเอง เราบอกตัวเองง่ายๆเลยว่า เราจะเริ่มออกจากความเป็นผู้โชคร้ายนี่ซะที
วิธีที่จะออกจากความเป็นผู้โชคร้าย พอมีแก่ใจ พอมีกำลังใจแล้วนี่นะ คือให้พิจารณาว่าอาการที่ใจของเราเวลาที่หูมีเสียงมากระทบ จะเป็นเสียงระฆัง จะเป็นเสียงม่านปลิว จะเป็นเสียงพัดลม จะเป็นที่ปัดน้ำฝน อะไรก็แล้วแต่ที่มันเคยรบกวนเราได้นี่นะ ขอให้มองว่าเหล่านั้นแหละคือเครื่องฝึก เมื่อไรก็ตาม ที่เรามองคลื่นรบกวนให้เป็นเครื่องฝึก ใจของเราจะมีปฏิกริยาเตรียมพร้อมขึ้นมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน ที่เราไม่มีความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพวกมันก็เพราะว่า เราไม่ได้ตั้งมุมมองไว้ ว่านั่นคือเครื่องฝึก เราจดจำพวกมันไว้โดยความเป็นเครื่องรบกวน เครื่องทำให้ชีวิตไม่เป็นสุข เครื่องทำให้ชีวิตมีความไม่สบาย เมื่อตั้งจิตมองอยู่อย่างนี้ พอมีอะไรมากระทบหูกระทบตาในทางที่รบกวนนี่ จิตมันก็จะทนไม่ได้ทันที แล้วพอมันทนไม่ได้นี่นะ อย่าว่าแต่จะไปเจริญสติเลย เอาแค่ใจเย็นๆซักครั้งนึงมันยังยากเลย แต่ถ้าหากว่าเราเหมารวมให้หมด มานั่งลิสต์เลย แบบที่ถามนี่ล่ะว่า มีเสียงที่ปัดน้ำฝน มีเสียงพัดลม มีม่านปลิว เราจำไว้เลยว่าเหล่านี้คือเครื่องฝึก พอเราได้ยินเสียงเหล่านี้อีกครั้ง ใจที่มันเคยว้าวุ่นมากๆมันจะมีอาการตั้งพร้อมรับ ไม่ใช่พร้อมรับในแบบแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้นะ แต่พร้อมรับในแบบที่จะเกิดความรู้สึกว่า เออ ตรงที่มันเข้ามานี่ เป็นทุกข์แค่ไหน เป็นทุกข์ได้แค่ไหน
สมมุติเสียงที่ปัดน้ำฝนอย่างนี้ อื๊ดอ๊าดๆนี่ แล้วเรารู้สึก โอ้โห มันนรกชัดๆเลย เสียงนรก เสียงนรกนี่ล่ะบอกระดับความทุกข์ว่ามันรุนแรงมาก โห เราทนไม่ไหว เราจะต้องลงจากแท็กซี่ห่วยๆนี่ให้ได้ นี่บอกระดับความทุกข์ที่รุนแรง ที่นี้ถ้าหากว่าเรามองว่านี่เป็นเครื่องฝึก เรากำลังฝึกอยู่ เราก็จะเห็นว่า เออ เสียงนรกนี่ มันก่อระดับความทุกข์ให้เรา อื้อหือ มันกระสับกระส่ายมาก เราจะเห็นเข้าไปที่ความกระสับกระส่าย ไม่ใช่รู้สึกว่าตัวเรากำลังกระสับกระส่ายทนไม่ไหวอยู่ พอเห็นว่าอาการกระสับกระส่ายมีดีกรีแรงแค่ไหน หายใจครั้งสองครั้งต่อมา เราจะรู้สึกว่าดีกรีตรงนั้นมันลดระดับลง เราสามารถเบนความสนใจมาอยู่กับลมหายใจได้ และเดี๋ยวๆนี่หูมันก็จะพาลไพล่ไปจับเอาเสียงที่ปัดน้ำฝนอีก อันนี้เป็นธรรมชาติเลย เพราะว่าจิตที่ยึดมั่นถือมั่นมันจะคอยแวะเวียนไปหาสิ่งที่มันชอบหรือไม่ชอบเสมอ เราก็จะเห็นอีกว่านรกกลับมาอีกแล้ว อย่างนี้เรียกว่าเป็นการเห็นทุกขเวทนา โดยความเป็นของไม่เที่ยง เมื่อมีเหตุคือเสียงมากระทบหู มันก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา เมื่อเราเบนความสนใจไปที่อื่น ไปดูลมหายใจหรือว่าไปดูสภาพแวดล้อมนอกรถบ้าง แล้วก็เกิดความรู้สึกว่ามันลืมๆ ลืมเสียงนรกนั่นไป ความทุกข์มันคล้ายๆว่าจะห่างหายไป แต่เมื่อไหร่หูไปเงี่ยฟังที่ปัดน้ำฝนมาอีก โดยเฉพาะผู้หญิงนี่นะ ลองสังเกตนะมันจะมีคำด่าหยาบๆคายๆออกมา ก็จะมีความรู้สึกหงุดหงิดอยากเกรี้ยวกราด ความรู้สึกหงุดหงิดอยากเกรี้ยวกราดนี่มันจะแล่นไปตามเสียงด่าในหัว และที่มันทนไม่ได้นี่ มันไม่ใช่เพราะเสียงที่ปัดน้ำฝนหรอก แต่เป็นเพราะว่าความหงุดหงิด ไฟในใจของเรา หรือเสียงคำด่าหยาบๆที่มันเกิดขึ้นในหัวของเรานี่ละ อะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็นความคิดที่รบกวนจิตใจ มันทนยากที่สุดในโลก อะไรอย่างอื่นนี่ แค่เราเบนความสนใจ มันเหมือนจะหายไปจากชีวิตเราเลย แต่ความคิดนี่ ถ้ามันรบกวนจิตใจเราแล้ว ถ้ามันมีคำด่าหยาบๆคายๆเกิดขึ้นแล้วนี่ มันจะทนยากมาก
ตรงนี้เราก็ลองดู มันเกิดขึ้นเป็นกระบวนการเลยนะไม่ใช่เกิดขึ้นง่ายๆเหมือนกับที่เรามาเล่าให้ฟังอยู่นี่ว่า เออ เราทนเสียงอะไรหนึ่งๆไม่ได้ มันไม่ใช่แค่นั้น มันมีอะไรเกินไปกว่านั้น โดยเฉพาะปฏิกิริยาทางใจ ทีนี้ที่เราไม่สามารถมาจาระไนได้ว่า ปฏิกิริยาทางใจของเราเป็นอย่างไร ก็เพราะว่าใจของเราไปโทษเสียงภายนอกอย่างเดียว ไม่ได้สังเกตเสียงภายใน ว่ามันคิดอย่างไร มันมีคำพูดอย่างไรเกิดขึ้นในหัว นี้พอเรามองว่าระดับความทุกข์มันผลิตคำหยาบหรือว่าคำด่าใครขึ้นมา และตรงนั้นเราทนเสียงรบกวนในหัวของเราไม่ได้เอง เราก็จะเห็นความทุกข์ทางใจอันเกิดจากความคิด นี่มันจะเห็นเป็นชั้นๆนะครับ ไม่ใช่ความทุกข์จากเสียงภายนอกมากระทบอย่างเดียว มีเสียงภายในที่มันก่อความทุกข์ ก่อระดับความทุกข์ที่มีดีกรีต่างๆ กัน ตอนแรกบอกว่าเป็นเสียงนรกใช่มั้ยครับ อันนี้ก็อาจจะมีความคิดนรกเกิดขึ้นในหัวของเรา ซึ่งพอเรามองเห็นมันบ่อยๆเข้า เราจะรู้สึกว่าเสียงนี้ไม่ใช่เสียงของเรา มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจจะด่าใคร หรือว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากอาการที่เราอยากจะส่งเสียงหยาบๆคายๆขึ้นมาในหัว มันออกมาจากความทุกข์ ทุกข์ทางใจเป็นผู้ผลิตมันขึ้นมา พอเห็นอยู่อย่างนี้บ่อยๆเข้า เราจะวางใจที่จะดูมันเป็น คือเริ่มจากวางใจเห็นเสียง เห็นเสียงนรกนี่ สักแต่เป็นเสียงเข้ามากระทบ แล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางใจ พอเกิดปฏิกิริยาทางใจเป็นคำด่าหรือคำหยาบอะไรก็แล้วแต่ในหัวนี่ มันก็จะค่อยๆเห็นอีกว่า เออ สักแต่เป็นความคิด สักแต่เป็นความคิดแย่ๆ มันจะมีอยู่ครั้งนึงที่เรารู้สึกว่ารู้อยู่เฉยๆ รู้อยู่สบายๆ ให้จำตรงนั้นไว้นะ แล้วก็ให้มันเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ ในที่สุดเราจะเห็นว่าทุกเสียง สักแต่เป็นของเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป กระทบใจชั่วคราว แล้วใจก็จะมีความสุขความสบายอยู่ได้ไม่ทรมานเลย
เอาละครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านครับ
« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น