วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๑๑๖ / วันที่ ๑๗ ต.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

๑) มีความคิดจะเลิกกับแฟนที่คบกันมาตั้งแต่เรียน แล้วตอนนี้แต่งงานอยู่ด้วยกันรวมแล้วทั้งหมดที่คบกันก็นานถึง ๙ ปี (ยังไม่มีลูกค่ะ) แฟนทำหน้าที่ดีมาตลอด แต่เพิ่งมาทราบระยะหลังว่า แฟนนอกใจและชอบโกหก คือทำผิดศีลข้อ ๓ และข้อ ๔ อย่างไม่เกรงกลัวต่อบาป คือพยายามทำหลายวิธีแล้วเขาก็ไม่ดีขึ้น แล้วก็พยายามทำหลายวิธีแล้วที่จะตัดใจเลิกกับเขา แต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลย พอเขามาง้อก็ใจอ่อนทุกครั้ง หนูไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับคนไม่มีสัตย์ไม่มีศีล ควรจะทำอย่างไรถึงจะตัดใจเลิกได้เด็ดขาดคะ และควรทำบุญประเภทไหนคะ ถึงจะได้ผลแรงและเร็ว?

หลายคนยังเข้าใจอยู่ว่าการทำบุญเนี่ยจะมีผลให้เกิดผลที่ต้องการตามปรารถนาอย่างรวดเร็วนะครับ จริงๆแล้วการทำบุญเนี่ยขอให้เข้าใจว่าเป็นการก่อกรรมใหม่ เป็นการทำกรรมใหม่ สร้างกรรมใหม่นะ ไม่ใช่ของที่ถูกวางแผนไว้แต่เดิมโดยบุญเก่าหรือว่าบาปเก่านะครับ

บาปเก่าหรือบุญเก่านี้เรามองไม่เห็นนะ แต่มันมีจริง เราสามารถเห็นหลักฐานหรือร่องรอยของบาปบุญเก่าๆเนี่ยผ่านสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา เกิดมากับพ่อแม่แบบไหน หรือว่ามีชะตาชีวิตที่จะต้องไปพบเจอกับใคร ไปร่วมชีวิตกับใครล้วนแล้วแต่ถูกวางแผนไว้โดยบาปเก่าบุญเก่า

บาปเก่าบุญเก่าไม่ได้หมายถึงอดีตชาติอย่างเดียว บางทีเนี่ยมันหมายถึงการที่เราจะเลือกคบกับใครหรือว่าเราเลือกที่จะเชื่อฟังครูบาอาจารย์แบบไหนนะ มันมีวิธีที่จะเลือกและวิธีที่ตัดสินใจ มีวิธีที่จะตกลงปลงใจกับใคร ซึ่งมองแล้วเนี่ยมันอาจจะเป็นเหมือนกับเอ๊ะเรื่องที่ว่าเราพึ่งมาก่อพึ่งมาสร้าง ถ้าเห็นด้วยตาเปล่าถ้าได้ยินด้วยแก้วหูในชาติปัจจุบันนี้ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น แต่ที่แท้แล้วมันมีการสืบสายมา คือไม่ใช่ว่าเราเลือกตัดสินใจที่จะคบกับใครหรืออยู่กับใครเนี่ยมันไม่ใช่ด้วยความชอบใจอย่างเดียว มันด้วยเหตุปัจจัยบีบคั้น เรายังรู้สึกกับว่านี่ต้องเอาอันนี้แหละ ต้องใช่คนนี้แหละ หรือว่าหนีไปไหนไม่รอดทำนองนั้น ซึ่งการที่เราจะอยู่ร่วมกับใครเนี่ยมันพิสูจน์ได้นะว่าเราเคยทำบุญทำบาปร่วมกับเขามามากแค่ไหน ถ้าหากว่าไม่ได้เคยมีปมของกรรมทั้งในฝ่ายบุญทั้งในฝ่ายบาปเนี่ย เราจะไม่ได้อยู่กับใครเลย เราจะไม่ได้เลือก เราจะไม่ได้ลงเอยกับใครเลยนะครับ หรือถ้าจะลงเอยเนี่ย ก็ลงเอยแบบที่มัน… คือๆหลักของกรรมวิบากเนี่ยเราไม่มีทางที่จะลงเอยกับใครด้วยการที่เพิ่งมาเจอนะครับ ด้วยการที่เพิ่งมาพบเพิ่งมาเห็นและก็ตัดสินใจเอา ต้องมีแรงหนุนหรือบาปเก่าอยู่ คือในแง่ของบุญก็ต้องเคยอาจจะอนุเคราะห์ ร่วมกันอนุเคราะห์ผู้อื่นมา ร่วมกันใส่บาตร ร่วมกันทำบุญกับใครต่อใคร ในฝ่ายบาปก็คืออาจจะเคยทำร้าย อาจจะเคยสาปแช่งกันมา อาจจะเคยคิดอาฆาตกันมาอะไรต่างๆนะ

แล้วส่วนใหญ่ผู้ที่มาอยู่ด้วยกันนะเท่าที่เราสามารถจะมองเห็นด้วยตาเปล่าโดยไม่มีอคติ โดยไม่มีความลำเอียง เราจะพบว่าส่วนใหญ่แล้วเนี่ยนะเป็นทั้งคู่บุญและก็คู่ทรมาน ไม่ค่อยจะมีคู่บุญอย่างเดียว ไม่ค่อยจะมีคู่ทรมานอย่างเดียว

คู่ทรมานคืออะไร? คืออยู่ด้วยกันแล้วทรมานจริงๆนะ ต่างฝ่ายต่างตั้งท่าจะประหัตประหารกัน แล้วก็ไม่มีอะไรดีเลย คืออยู่ด้วยกันนี้มันมีแต่ความทุกข์ มันมีแต่ความร้อน มันมีแต่เสียงด่า มันมีแต่สาดใส่กันด้วยทุจริต ๓ นะ ทั้งกายจริต วจีทุจริต แล้วก็มโนทุจริต อันนี้เรียกว่าพออยู่ด้วยกันแล้วไม่เข้าใจ ลืมไปแล้วว่าเหตุผลเนี่ยทำไมต้องมาอยู่ด้วยกัน มันมีแรงดึงดูดอะไรกันหนอนะ จำได้แต่ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน นี่ตรงนี้เป็นหลักฐานของบาปเก่าที่ทำมาร่วมกัน บางคู่นี่นะเคยโกงแผ่นดินมาด้วยกัน หรือบางคู่เนี่ยโกงวัดมาด้วยกันนะ บางคู่เนี่ยไปโกงชาวบ้านมาด้วยกัน บางคู่เนี่ยเคยมีเหมือนกับเคยรบราฆ่าฟันมาก็มีนะแล้วก็ผูกใจอาฆาต พอคือต่างฝ่ายต่างเคยเป็นชายด้วยกันทั้งคู่มาเกิดใหม่ ฝ่ายหนึ่งเป็นชายฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงแล้วได้แรงอาฆาตนั้นเนี่ย ก็ไปดึงดูดกันด้วยถ่านธรรมชาติความรู้สึกทางเพศนะ แล้วก็พอมาอยู่ด้วยกันปุ๊บเนี่ย มันก็จำกันได้ว่านี่ศัตรูไม่ใช่คู่รักนะ ก็คือจำได้จากส่วนลึกเนี่ยมันก็เลยมีอาการฮึมฮัมใส่กันตลอดเวลานะ หรือฝ่ายบุญเนี่ยก็จะมีเคยอยู่ร่วมกันมาอย่างดีนะ ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกัน มีความเอ็นดูต่อกัน แล้วก็เกื้อกูลกันอย่างดี พอมาอยู่ด้วยกันมันมีแต่ความสุข มันมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองนะ ส่วนคู่ปกติทั่วไปที่เป็นทั้งคู่บุญและคู่ทรมานกันมา มักจะพบได้จากการที่ฝ่ายชายเนี่ยนะ ไม่สามารถหยุดอยู่กับภรรยาเพียงคนเดียวได้ จะต้องไปมีเล็กมีน้อย หรือว่าทำให้ภรรยาเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เกิดความรู้สึกบาดเจ็บ เกิดความรู้สึกทุกข์ทรมาน แล้วก็จะผ่านเรื่องการโกหกบ้าง การที่ไปนอกใจบ้าง การที่ไม่ทำหน้าที่สามีที่ดี ไม่เลี้ยงดูภรรยาด้วยความมีแก่ใจที่เสมอต้นเสมอปลายอะไรแบบนี้นะครับ แล้วฝ่ายภรรยาเนี่ย ฝ่ายหญิงเนี่ยนะ ธรรมชาติฝ่ายหญิงเนี่ยก็มักจะเหมือนกับอยากให้เอาใจตัวเองมากๆ แล้วก็อยากจะเรียกร้องความสนใจ เรียกร้องความสงสาร หรือว่าเรียกร้องการดูแล หรือว่าความอบอุ่นจากสามี โดยที่นะครับอาจจะบางครั้งอาจจะไม่สมเหตุสมผลเนี่ย พูดถึงคู่ทั่วไปไม่ได้พูดถึงคู่ปัจจุบันที่เป็นคำถามนะครับ ก็กำลังจะบอกว่าที่เป็นทั้งคู่บุญและก็เป็นทั้งคู่ทรมานกันนะ คู่บาปคู่กรรมกันเนี่ย มันก็เพราะว่าธรรมชาติของทั้งสองเพศเนี่ย ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่ ฝ่ายหนึ่งเนี่ยนะ ถูกคาดหมายถูกคาดหวังว่าสมควรจะเป็นที่พึ่ง ฝ่ายเป็นที่พึ่งเนี่ยก็ไม่ค่อยทำตัวเป็นที่พึ่ง ไม่ค่อยทำตัวเป็นที่อบอุ่นนะ ไม่ค่อยทำตัวเป็นอะไรที่มันตรงอะไรที่มันเป็นเสาหลักนะครับ ตรงกันข้ามจะทำตัวเป็นไม้เลื้อยจะทำตัวเป็นคนที่นะครับยังไม่มีเจ้าของยังโสดอยู่อะไรแบบนี้ ส่วนฝ่ายที่จะทำหน้าที่ดูแลนะครับเอาใจใส่แล้วก็พะเน้าพะนอเอาอกเอาใจเนี่ยก็กลายเป็นฝ่ายที่เรียกร้องความสงสาร เรียกร้องความเห็นใจ เรียกร้องการเอาอกเอาใจนะครับ มันก็เลยเกิดความขัดแย้ง มันก็เลยเกิด… เรียกว่ามาอยู่กันราวกับผิดฝาผิดตัวนะครับ ต่างฝ่ายก็ต่างจะเอาแต่ใจของตนเนี่ย ก็เลยไม่มีใจ เนี่ยที่มาประกบประกอบมาประจวบกันอย่างสมน้ำสมเนื้อนะครับมันกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างไปตามทิศตามทางของกิเลสที่ตนเองมี ไม่ใช่อยู่กันด้วยธรรมชาติทางเพศที่สมควรแก่กันนะครับ

ไม่ใช่ธรรมชาติทางเพศในที่นี้ ก็หมายความว่า ฝ่ายชายควรจะอบอุ่นและก็เป็นที่พึ่ง แล้วก็ฝ่ายหญิงควรจะมีความเยือกเย็นแล้วก็มีความมีลักษณะเป็นที่ฝากใจได้ เป็นที่ใฝ่ฝันอะไรแบบนั้นนะ แต่กลายเป็นว่าเห็นหน้ากันแล้วฝ่ายชายมีความรู้สึกว่าฝ่ายหญิงเนี่ยเอาแต่ใจตัวเองนะ นอกจากจะไม่ทำให้นึกชวนฝันแล้วเนี่ย มันยังจะชวนเบือนหน้าหนี หรือว่าชวนวิ่งหนีอะไรแบบนั้น ส่วนฝ่ายชายเนี่ยนะแทนที่จะมีความซื่อสัตย์เป็นเสาหลักของบ้าน ก็กลายเป็นไม้เลื้อยไปอะไรแบบนี้นะ ฝ่ายหญิงก็เกิดความผิดหวังนะครับ อันนี้เป็นต้นเหตุของการที่ต่างฝ่ายต่างเป็นคู่บุญและก็คู่เวรต่อกัน เจอกันครั้งไหนก็จะมีทั้งรักและก็มีทั้งชัง มีทั้งดูดดื่มหวานชื่นนะครับ แล้วก็มีทั้งความรู้สึกขมขื่น มีทั้งความรู้สึกทรมาน มีทั้งความรู้สึกทุกข์ใจ แล้วก็การเดินทางท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดไปเป็นอนันตชาติในสังสารวัฏนี้มันไม่มีหรอกที่เราจะได้เจอแต่ดีกับดีนะครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นทั้งคู่บุญแล้วก็คู่เวรกันอย่างนี้แหละโดยมากนะครับ ส่วนน้อยนักที่จะพบพระพุทธศาสนาหรือไม่ก็อยู่ในศาสนาอื่นนะแล้วก็มีศรัทธาที่ตรงกัน มีศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ในความดีในความสว่างนะครับ แล้วก็สามารถที่จะประคับประคองเกื้อกูลกันด้วยความเอ็นดู ด้วยความมีใจเดียว ซื่อสัตย์เด็ดเดี่ยวนะครับ

อันนั้นก็พอเราทำความเข้าใจอย่างนี้นะ ก็จะไม่มามองง่ายๆว่า เราควรจะทำบุญอย่างไรถึงจะหนีจากคนๆนึงไปได้ ถ้าหากว่าเราเคยพบเคยเกี่ยวพันกับเขามาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยชาติเนี่ยนะในทางดีทางร้าย ส่วนใหญ่แล้วเนี่ยก็จะเกิดความผูกพันเหนียวแน่นนะครับ ทั้งทางดีทางร้ายเนี่ยมันจะต้องชดใช้กันจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถที่จะอยู่บนเส้นทางหนึ่งที่แตกต่างไป เส้นทางที่ให้อภัยอย่างบริสุทธิ์ เส้นทางที่จะครองพรมจรรย์อย่างบริสุทธิ์ เส้นทางที่ไม่นึกจะเอาคู่ ไม่อยากที่จะเกาะเกี่ยวไม่อยากจะอยู่มีชีวิตอยู่เป็นคู่ๆ อย่างนั้นเนี่ยถึงจะออกจากวงจรแห่งภัยแห่งเวรได้นะ นอกนั้นคืออย่าไปหวังนะ อย่าไปคาดหวังว่าเราจะเจอแต่คนที่จะรักและก็เอาใจใส่เราตลอดไป เมื่อมองเป็นภาพรวมได้อย่างนี้เกี่ยวกับชีวิตคู่ ทีนี้เราจะต้องทำอย่างไรต่อถ้าหากว่าคู่ของเราไม่ได้มีศรัทธาในทางเดียวกับเรา แล้วก็ไม่ได้มีพื้นจิตพื้นใจไม่ได้เป็นคนมีศีลมีธรรมนะ ทำอย่างไรก็มี ๒ ทางให้เลือกนะครับ

ทางเลือกแรก เราพิจารณาว่าเราเป็นฝ่ายที่ครองศีลนะ ต้องคิดอย่างนี้นะคือๆ ฟังดีๆ เราเป็นฝ่ายที่ครองศีลมาโดยบริสุทธิ์ แล้วเราไม่สามารถอยู่กับอีกฝ่ายที่ไม่สามารถครองศีลบริสุทธิ์ได้นะครับ โดยธรรมชาติแล้วเนี่ย เมื่อพิจารณากันที่ศีลนะครับ เราๆจะละจากความติดใจนะครับ ติดใจไปอยู่กับความทำให้ใจอ่อนได้ในภายหลังนะครับ ติดใจในภาวะคู่ ติดใจในภาวะที่เคยคบหากันมา เคยมีความผูกพันที่แน่นแฟ้นต่อกันนะครับ มันจะมีแง่มุมการพิจารณาที่ประจักษ์ต่อใจอีกอย่างหนึ่งนะครับ อันนี้ขอให้ฟังดีๆนะ นี่ไม่ได้ยุให้เลิกกันนะ ไม่ อันนี้ไม่ใช่หน้าที่ของผมนะที่จะไปบอกให้ใครเลิกกับใคร แต่พิจารณาอย่างนี้ว่า เป็นไปตามหลักในพระไตรปิฎกที่ท่านแนะนำไว้นะ ถ้าหากว่าบุคคลมีศีลแล้วนะครับ ไม่ควรที่จะไปคบหาหรืออยู่ร่วมกันคนไม่มีศีล ถ้าหากว่าไม่สามารถพบใครที่มีศีลเสมอกับตนได้นะ ก็ควรท่องเที่ยวไปตามลำพังโดยเดี่ยวประดุจนอแรดนะ อันนี้คือเปรียบเทียบว่า มีหน่อเดียวอย่างนี้จะดีกว่าไปหลายคนหรือว่าอยู่กันเป็นคู่ๆ ทำนองนั้นคือพิจารณาอย่างนี้ด้วยใจอย่างนี้นะ คือถ้าเราเห็นด้วยกรอบด้วยบรรทัดฐานของศีลเนี่ย เราก็จะพบว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่ขาวกว่า หรือว่าอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องกว่า หรืออย่างไรนะครับ ถ้าพิจารณาอย่างนั้นแล้วเนี่ยนะเราก็จะสามารถละความติดใจได้

ทีนี้การละความติดใจ ไม่ใช่ว่าเราจะไปเลิกกับเขาทันทีนะครับ แต่เราสามารถที่จะเหนี่ยวนำให้เขามาถ้าเขาจะยังอยากอยู่กับเราเนี่ย เหนี่ยวนำให้เขานี่มามีจิตแบบเดียวกับเราได้ คือเน้นกันเรื่องนี้แล้วก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างนะครับว่า คนมีศีลเนี่ยนะต้องซื่อสัตย์อย่างไร ต้องประพฤติตนอย่างไร และต้องมีความเยือกเย็น มีความสะอาด มีความพร้อมอย่างไร ถ้าเขาไม่สามารถที่จะเป็นคนมีศีลได้ ในที่สุดเนี่ยมันก็จะเกิดความรู้สึกผละกัน ออกจากกันโดยดีนะครับ แต่ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะเหนี่ยวนำให้เขามามีศีลแบบเดียวกับเราได้ อันนี้ก็จะกลายเป็นว่าเราเป็นฝ่ายชนะ เราเป็นฝ่ายที่สามารถนำทางเขามาความถูกต้องความสว่างได้นะครับ

แต่อีกทางหนึ่งนะครับ เมื่อกี้เนี่ยพิจารณาเรื่องการมีศีล อีกทางหนึ่งคือเรานะครับพิจารณาเรื่องว่าเราให้อภัยเขาได้กี่ครั้ง ลิมิตได้กี่ครั้งนะ มีการตกลงกันชัดเจนว่า ถ้าหากทำผิดครั้งนั้นครั้งนี้เราจะไม่อภัยแล้วนะ เพราะว่ามันไม่ไหว มันไม่ใช่สิ่งที่จะไปเห็นใจกันตลอดชีวิตอีกนะครับ เราต้องมีความเด็ดเดี่ยวบ้างนะครับ ถ้าหากว่าเขาจะต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเราจริงๆเนี่ย ก็ไม่ควรมาทำให้เราเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่านี่ไม่ใช่คู่ของเราแต่เป็นของใครก็ไม่รู้ มีใครเป็นเจ้าของบ้างก็ไม่รู้ คือมันต้องมีคำพูดที่บอกชัดเจนนะว่า เราอยากอยู่กับเขาแต่เขาต้องอยากอยู่กับเราด้วย ไม่ใช่ว่าเราอยู่ของเรานะในฐานะภรรยาแต่เขาไม่ได้อยู่ในฐานะของสามี คือถ้ามีการตกลงกันชัดเจนว่าถ้าขืนทำอีกนะ เราก็จะต้องมีประกาศให้คนอื่นเขารู้อย่างชัดเจนว่าเราไม่ใช่คู่กันอีกแล้วนะครับ

ก็แนะนำไป ๒ กรณีนะ มันไม่มีบุญข้อไหนที่ทำแล้วจะทำให้เกิดความมีใจเด็ดเดี่ยวได้ แต่มันมีการที่เราตกลงกับตนเองว่าให้โอกาสเขาที่สุดเท่าไหร่นะที่สุดแค่ไหน แล้วก็บอกเขาว่า หลังจากนั้นก็จะไม่มีการต่ออายุความเป็นสามีภรรยากันอีกนะครับอย่างนี้ดีกว่า มันไม่ใช่เรื่องการทำบุญ มันเป็นเรื่องของการมีความเด็ดเดี่ยวกับตนเอง มีความตั้งใจแล้วทำตามความตั้งใจให้ได้



๒) เพื่อนหนูเขาเป็นนักลงทุน มีความรู้ประสบการณ์ทางด้านการลงทุนมากมีคนให้การยอมรับ เวลาจะลงทุนซื้อหุ้นตัวไหน ก็จะมีศึกษาข้อมูล ทำการบ้านอย่างดีมาตลอด เขาอยากเรียนถามว่า ถ้าหากเขาเจตนาดี เห็นว่าหุ้นตัวไหนดีน่าจะลงทุนแล้วก็มีแนวโน้มว่าจะขึ้นได้เยอะ แล้วหวังดีไปบอกเพื่อนๆอยากให้เพื่อนๆมีเงินด้วย แต่ถ้าเกิดมันมีปัจจัยที่ไม่คาดฝันทำให้ไม่ไปตามความตั้งใจ แล้วเกิดขาดทุนโดยที่ไม่ได้เจตนา ไม่ได้คิดจะไปหลอกลวงใคร อยากถามว่ามีผลเป็นบาปมั้ย? หรือผลกรรมจะเป็นอย่างไร?

ถ้าเจตนาดีนะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเจตนาคือกรรม กรรมคือเจตนา หากเจตนาดีแปลว่าทำกรรมดี ทำกรรมอันเป็นบุญอยากช่วยคนอื่น ถึงแม้ว่าผลออกมาจะไม่ดี ก็ไม่ได้ทำให้บุญนั้นหายไป แต่เราอาจจะเศร้าใจเกิดความหม่นหมอง อันนี้เรียกว่าเป็นผลโดยตรงที่กระทำกับใจของเรา มันอาจจะมีผลมาจากอดีตกรรมปางไหนไม่ทราบล่ะที่ทำให้ต้องหมองใจ ที่ทำให้ต้องรู้สึกผิด ต้องแบกภาระจากการหวังดีกับคนอื่นส่วนใหญ่ประเภทที่ว่าทำให้คนที่เขาหวังดีกับเราผิดหวังเกิดความเจ็บช้ำน้ำใจเนี่ยนะผลมันมักออกมาในรูปที่ว่าเราหวังดีแล้วกลายเป็นทำบุญบูชาโทษประมาณนี้ หรือว่ายิ่งกว่านี้หรือว่าน้อยกว่านี้

ถ้าหากว่ามองเป็นเรื่องของกรรม จำไว้เลยว่า เจตนาดีคือเราทำกรรมดี ถ้าหากว่าเจตนาชั่วถึงแม้ว่าผลออกมาดี แต่ว่าคือหมายความว่าผลที่คนอื่นเขาได้เนี่ยกลับตาลปัตรเป็นว่าเขาได้ดีกันเนี่ยนะเราก็ได้บาปอยู่ดี คือบาปตั้งแต่เจตนาชั่วนั่นแหละ แล้วก็ดีตั้งแต่เจตนาเป็นกุศลเจตนาอยากช่วย อยากอนุเคราะห์คนอื่นนั้นแหละ ไม่ต้องรอว่าผลลัพธ์จะเกิดกับใครอย่างไรนะครับ

บางคนเนี่ยนะอุตส่าห์จะช่วย จะเหมือนกับสมมุติว่าไปช่วยคนที่จะกำลังจะข้ามถนน สมมุติว่าเราเดินพาเขาตั้งใจจะพาข้ามไปอย่างรอดปลอดภัยแต่ปรากฏว่ารถมาจากไหนไม่รู้เนี่ยมาชน หรือว่าเราตาไม่ดี ตัวเจตนานั้นก็จะพาไปสวรรค์นะ คือถ้าตายกลางถนนทั้งคู่มันไม่ใช่ว่าเราพาเขาข้ามถนนไม่รอดแล้วมันจะต้องไปนรกมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเจตนาตอนนั้นใจของเรามันยังสว่าง ใจมันยังเบา มันยังใส มันยังเป็นคนดี พาคนดีคนแก่ข้ามถนนแต่ปรากฏรถทับตายทั้งคู่ ทั้งคนแก่ทั้งเรา ก็แล้วแต่ว่าตอนนั้นจิตคนแก่เป็นอย่างไร แต่ตอนนั้นจิตของเราตั้งใจช่วยคนแก่แน่ๆล่ะ ต้องการที่จะพาเขาข้ามถนนให้รอดปลอดภัย แต่ปรากฏว่าล้มตายด้วยกันทั้งคู่ เราไปสวรรค์นะครับ ที่ยกตัวอย่างแบบสุดขีดสุดขั้วเลยเพื่อให้เห็นภาพชัดว่า ตายแล้วไปไหนมันขึ้นอยู่กับจิต ขึ้นอยู่กับกรรม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผล

ส่วนที่ว่าในกรณีนี้เราไปแนะนำเขาแล้วเขาขาดทุน ผลที่ได้รับทันทีชัวร์ๆเลยคือเรารู้สึกผิด เรารู้สึกแย่ เรารู้สึกว่าต้องโดนประณาม เราจะต้องโดนด่า อันนี้ของชัวร์เลย

เพราะฉะนั้นเนี่ยคือก่อนที่จะไปลงทุนโดยที่ไปแนะนำไปช่วยคนอื่นเนี่ย ขอให้ไตร่ตรองด้วย ไตร่ตรองไว้ก่อนว่า ในกรณีที่เกิดความไม่คาดฝันจะเกิดความเสียหายกับใครได้มากเพียงใด? ตรงนั้นถ้าหากว่าเราใส่คำกำกับไปเรียบร้อยแล้วมันมีสิทธิ์เกิดอุบัติเหตุทางการเงินได้ มันมีสิทธิ์เกิดอุบัติเหตุทางเศรษฐกิจ หรือว่าอุบัติเหตุทางสถานการณ์ใดๆที่มันไม่อาจคาดฝัน ถ้าหากว่าเราให้คำเตือนสติเขาไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ไม่ไปให้ความหวังเขามากเกินไป อย่างนี้ก็จะเป็นการเซฟตัวเอง

คือหนึ่ง เราจะรู้สึกว่าถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เราไม่ต้องไปรับผิดชอบเต็มร้อย เพราะว่าถือว่าเตือนแล้ว

และสอง เราจะไปตอบคนอื่นเขาได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ที่เกิดความผิดพลาดนี้มันเพราะมีเหตุปัจจัยอะไร ไม่ใช่มาแก้ตัวภายหลังบอกว่า ที่มันเป็นอย่างนั้นแล้วจะต้องโทษไอ้นั่น โทษไอ้นี่ เอาแพะตัวไหนมาบูชายันต์อะไรแบบนี้ คือมาพูดทีหลังมันเหมือนพูดแก้เก้อ แต่ถ้าพูดไว้ตั้งแต่แรก มันจะได้ไปยั้งๆเขาไว้ก่อน ไม่ลงทุนเต็มเหนี่ยว แล้วก็มีความระมัดระวังกันในภายหลังด้วย



๓) ช่วงนี้ผมนอนน้อย และใช้กำลังกายมาก คือเลี้ยงลูก สังเกตว่าโดนโมหะคุมจิตพอสมควร ต้องออกแรงจึงจะมีสติรู้ขึ้นมาได้ สติไม่ว่องไว ไม่ทราบว่าถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ควรภาวนาอย่างไรดี?

การเลี้ยงลูกนะครับที่มันจะไม่เหนื่อย ไม่มีอะ ยกเว้นแต่เลี้ยงแบบนิดๆหน่อยๆ ก็จะเหนื่อยน้อย แต่ถ้าเลี้ยงจริงๆเนี่ย เด็กทุกคนเราจะเห็นเลยว่ามันลำบากยากเย็น ที่เรานึกว่าคนๆนึงมาเดินๆอยู่ตามท้องถนนได้เนี่ย ก็มันน่าจะไม่น่าจะยุ่งยากไม่ลำบาก เพราะเราก็เห็นตัวเองโตมาไม่เห็นจะยุ่งยากลำบากอะไรเลย แต่พอทำบทบาทหน้าที่เป็นพ่อเป็นแม่จะรู้เลยนะ จะเข้าใจเลยนะว่า มันไม่ง่ายเลยกว่าคนมาเดินตามท้องถนนมันต้องวิ่งหกล้มหกลุก ไม่ก็เดินป้อแป้ตุปัดตุเป๋ล้มไปล้มมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นรอบ กว่าที่มันจะขาแข็งแล้วก็มีปีกกล้าขึ้นมาได้ การที่เราสามารถจะรับรู้ว่าความทุกข์นั้นเกิดจากการมีชีวิตตั้งต้นมาจากเมื่อไหร่ ตรงนี้ถือเป็นธรรมชาติที่เขาสอนเราว่า ชีวิตเป็นทุกข์ไม่ใช่เป็นสุข โตขึ้นมามันยากลำบากขนาดไหน อยู่ๆเนี่ยไปมองหน้ากันตามถนนยิงกัน หรือว่าเอามีดมาจิ้มพุงกัน หรือว่านึกแค้นก็จ้างมือปืนมายิงกันแบบนี้เนี่ยมันเป็นเรื่องน่าสลดใจมาก ชีวิตเป็นของยาก กว่าจะเติบโตขึ้นมาไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อเราสามารถที่จะเห็น เมื่อเราสามารถที่จะเข้าใจนี่ก็คือการได้สติอย่างหนึ่ง ในความเหนื่อยยากในความรู้สึกลำบากแสนเข็ญเนี่ยนะ มันมีปัญญาเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์

พระพุทธเจ้าตรัสว่า การเกิดเป็นทุกข์ การแก่การเจ็บการตายเป็นทุกข์ บางทีเราจะไม่ค่อยเข้าใจตราบเท่าที่เรายังรู้สึกสบายๆ โตขึ้นมาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ รู้เพียงแค่มีคนเลี้ยงอ่ะ รู้แค่ว่าต้องมีใครซักคนรับผิดชอบชีวิตเรา แล้วก็ยังไม่ได้เจ็บ ไม่ได้แก่ ไม่ได้ตาย ไม่ได้ใกล้จะตายจวนเจียนจะตายเนี่ย มันรู้สึกชิวๆ ชีวิตเป็นของง่าย ชีวิตสบายๆ บางคนบอกเลยว่าชีวิตเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องสบาย เป็นเรื่องมีความสุข แต่ถ้าไปเลี้ยงลูกเนี่ยมันเป็นโอกาสทำความเข้าใจซะใหม่ว่า ชีวิตเป็นทุกข์

เมื่อสามารถเห็นได้ว่าความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่ตามมา ที่มันจะเกิดขึ้นกับตัวเราเองหรือว่าคนรอบตัวที่เรารัก มันจะครบสูตร ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เออชีวิตไม่ใช่ของที่น่าพิสมัยอย่างที่ใครๆเขาหลงกัน มันสามารถที่จะน้อมเข้ามาพิจารณาเป็นขณะๆขณะที่เราเหนื่อย ที่เรารู้สึกลำบากว่าไอ้ความเหนื่อยความลำบากเหล่านี้เนี่ย มันส่งตรงถึงความเข้าใจ ถึงปัญญาของเราได้ มันเกิดการทำให้จิตใจถอยห่างออกมาจากความพิสมัย ความอยากมีชีวิตต่อไปเรื่อยๆ นี่ก็คือการมีสติ นี่ก็คือการที่เราเพิ่มพูนให้สัมมาทิฏฐิมันเติบกล้าขึ้นอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเจริญสติแบบเข้มแข็งเสมอไป บางครั้งในขณะที่เรากำลังอ่อนแอ ถ้าหากว่าเราสามารถพิจารณาให้ตรงทาง ที่จะอยากทิ้งไอ้ปัจจัยของความไม่เที่ยงอันเป็นทุกข์นี้ นั่นก็คือการมีสติถูกทางมรรคถูกทางผลแล้ว


เอาล่ะครับคืนนี้ต้องราตรีสวัสดิ์กันในนาทีนี้ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านนะครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น