วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๒๐ / วันที่ ๕ มี.ค. ๕๕


สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันจันทร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง

วันนี้พิเศษจะเริ่มคุยกับคุณๆผ่านสไกป์ (Skype) นะครับ ขอให้ถือว่าลองดูร่วมกันว่าเป็นอย่างไร สำหรับคนที่ไม่สามารถใช้สไกป์ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างไรผมคงไม่ได้จัดรายการแบบสไกป์อยู่ตลอด ออกตัวไว้ว่าถ้าผิดพลาดอย่างไร ขออภัยล่วงหน้านะครับสำหรับคืนนี้

เอาล่ะครับ ท่านที่เพิ่งรับฟังและต้องการแอดผมเข้าไว้ในสไกป์ก็แอด ‘Dungtrin’ เลยนะครับ ผมจะรอรับสายแรกเลยนะครับ ตอนนี้จะดีเลย์ ระหว่างเสียงของ http://www.spreaker.com กับทางสไกป์ประมาณ ๑๐ วินาทีครับ



๑) ถ้าจัดงานศพหรืองานบุญ จะมีเงินที่เข้ามาช่วยงานหากเหลือจากกิจการทำงานศพแล้ว ควรจะนำเงินจำนวนนี้ไปทำอะไรดีเพื่อที่จะให้ประโยชน์สูงสุดค่ะ?

ถ้าหากคิดว่างานศพเป็นงานที่เราต้องการจะระลึกถึงผู้ตาย ต้องการที่จะส่งบุญส่งกุศลให้เขา สิ่งที่เราควรทำไม่ว่าจะเป็นเงินส่วนตัวหรือว่าเป็นเงินช่วยงาน ก็คือทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขานะครับ ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกเหมือนกับว่าอันนี้เขาช่วยมาเพื่อจะให้เป็นค่าจัดงาน หรือว่ามีค่าใช้จ่ายอื่นๆที่จำเป็นจะต้อง พูดง่ายๆ สมมติว่าเราไม่ได้มีรายได้มากพอที่จะเอาไปทำบุญทุกบาททุกสตางค์ ก็คิดเจียดไว้ได้นะว่า ตรงนี้เป็นส่วนของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานศพจริงๆ แต่ถ้าหากเหลือหรือเกินไปกว่านั้นก็ให้คิดว่า เป็นส่วนของบุญส่วนของกุศลที่คนอื่นๆ เขาตั้งใจจะให้เราทำให้กับผู้ตาย เพราะว่างานศพเป็นงานสำหรับผู้ตาย ไม่ใช่สำหรับผู้อยู่

แล้วก็สิ่งที่เราจะทำได้ดีที่สุดก็คงไม่มีอะไรเกินไปกว่า การทำสังฆทาน ทำบุญกับวัด ถ้าจะทำให้ครบวงจรก็ทำกับเด็กอนาถา ทำกับสถานสงเคราะห์คนชรา ไม่ว่าจะเป็นงานบุญอะไรก็แล้วแต่นะ อย่าเกี่ยง แล้วก็ไม่มีสูตรสำเร็จว่าทำบุญแบบใดแบบหนึ่งให้ผู้ตาย แล้วจะได้มากเป็นปรากฏการณ์อะไรแบบนั้น ไม่ใช่เรื่องของสูตรสำเร็จ แต่เป็นเรื่องของใจที่เรารู้สึกว่าเราได้ทำดีที่สุดเพื่อที่จะให้ผู้ตายได้เกิดความสว่าง เพราะว่าบุญเป็นความสว่าง

และถ้าหากว่าเราจัดงานศพ เราจัดงานบุญให้กับผู้ตายนะ ให้ผู้ตายเกิดความรู้สึกสว่างมากที่สุด ออกมาจากใจของญาติๆ ที่ยังเหลือค้างอยู่ในโลกนี้ ผู้ตายก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงความสว่างนั้นแล้วก็ไม่มีเรื่องของการอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรอก สำหรับคนที่เพิ่งตายไป อันนี้ก็คงเป็นคำตอบนะ



๒) มีความฝันที่อยากจะเป็นแอร์ของสายการบินการ์ตาแอร์เวย์ (Qatar Airways) สายเดียวเท่านั้น แล้วก็ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนคือ ‘อิทธิบาท ๔’ แล้วมีอย่างอื่นอีกไหมคะที่จะแนะนำ เพราะเสียใจและเจ็บมาหลายรอบแล้ว?

สิ่งที่เราควรคาดหวังจากการไปสมัครงานคือประสบการณ์ ไม่ใช่คาดหวังว่าจะต้องได้แน่ๆ เพราะว่ายิ่งนานวัน งานก็ยิ่งน้อยและคนที่จะเข้างานก็ยิ่งมาก ถ้าหากว่าเรามองอย่างนี้นะ ไม่ว่าเราจะอยากเป็นอะไรก็แล้วแต่แสดงว่าใจของเราคลิกกับสิ่งนั้น อย่างเช่นเรื่องที่อยากจะเป็นแอร์ ก็แสดงว่าเราคลิกกับงานที่เกี่ยวกับการบริการบนท้องฟ้า และการท่องเที่ยวไปในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศก็แล้วแต่ มันเป็นงานมันเป็นอาชีพที่คลิกกับใจของเรา อย่ามองว่าการที่เราผิดหวังจากการไปสมัครแอร์ที่ต้องการไม่ได้ ว่ามันคือความล้มเหลว หรือว่ามันคือสิ่งที่เป็นจุดจบ เป็นจุดที่พิสูจน์ความล้มเหลวของชีวิตอะไรทำนองนั้น เพราะคนที่จบใหม่มักจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

ถ้าสมัครไม่ได้แล้วมันเฟล มันรู้สึกเศร้า มันรู้สึกคล้ายกับคนอกหัก คล้ายกับคนที่ไม่มีอะไรดีในชีวิต คล้ายกับคนที่คนอื่นไม่เห็นค่า หรือว่าคล้ายกับดีไม่พออะไรแบบนั้น อยากให้มองง่ายๆ อย่างนี้นะว่าใจเราคลิกกับการเป็นแอร์แล้วหมายความว่าอย่างไรเราก็เอาให้ได้ แต่ว่าบางทีการเอาให้ได้ ไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วได้ เพราะอย่างอาชีพแอร์นี่รู้ๆ อยู่คนสมัครเป็น ร้อยเอาหนึ่ง หรือสมัครเป็นพันเอาแค่สาม อะไรแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นสายการบินที่ยิ่งมีชื่อเสียงมากเท่าไร คนอยากได้มากเท่าไร บางทีบางสายการบินเท่าที่รู้เลยก็คือว่า เขาไม่ได้เอาความสามารถหรอกแต่เอาเส้น บางสายการบินมีอย่างนี้จริงๆ คือเอาเรื่องเส้นหรือเรื่องของประกาศนียบัตรที่สนับสนุนอยู่บางอย่าง

สิ่งที่เราสามารถจะได้เป็นประสบการณ์ในแต่ละครั้ง คือการต้อนรับ วิธีต้อนรับความเจ็บปวด วิธีที่จะต้อนรับความผิดหวัง วิธีที่จะสั่งสมประสมการณ์เพื่อที่จะบอกตัวเองว่า แต่ละครั้งที่เราทำดีที่สุด พยายามสอบอย่างดีที่สุดแล้ว มันไม่ผ่านหรือว่ายังไม่ถึงเวลาที่เราจะได้บิน แต่มันได้แน่ๆ ก็คือ การเรียนรู้ว่าก่อนเขาจะเป็นแอร์กันต้องทำอะไรบ้าง เขาต้องเสียหยาดเหงื่อและน้ำตาไปแค่ไหนบ้าง หรือว่าจะต้องเจ็บปวดกี่ครั้ง ไม่ใช่ประสบการณ์ของเราแค่คนเดียว ลองคิดดูว่าประเภท ๑๐๐๐ แล้วรับแค่ ๓ เรามีเพื่อนอยู่ ๙๙๗ คน อีก ๓ คนที่เขาได้ไป บางทีไม่ใช่ด้วยความสามารถมากกว่าเรา หรือว่าหน้าตาดีกว่าเรา หรือว่ามีความเหมาะสมมากกว่าเรา แต่เป็นเพราะว่าเขาจะต้องไปเป็นอย่างนั้น เขาจะต้องได้ไปก่อน อันนี้ไม่เกี่ยวกับความสามารถของเรา

เหมือนลองคิดถึงการเล่นเกม บางทีเกมกีฬา หรือว่าเกมบนกระดาน หรือว่าเกมคอมพิวเตอร์อะไรก็แล้วแต่ ประสบการณ์ของเราจะบอกหลายๆครั้งเลยว่า บางทีไม่ใช่เรื่องของความสามารถอย่างเดียว หลายๆ ครั้งมันเกี่ยวกับเรื่องของดวง เกี่ยวกับวันนี้เป็นวันของเรา หรือว่าเป็นวันของเขา ซึ่งการเรียนรู้ชนิดนี้มีอยู่ตลอดชีวิต ไม่ใช่มามีแค่ตอนที่เราจะสอบสัมภาษณ์หรือว่าสมัครงานได้หรือไม่ผ่าน

ขอให้มองว่าทั้งชีวิตของเรา มันมีประสบการณ์ มันมีแบบฝึกหัดหรือว่ามีข้อสอบทางใจที่เหมือนกับเราต้องฝึกกัน แล้วก็ต้องสอบให้ผ่านตลอดชีวิต การสอบเข้าสายการบินได้หรือไม่ได้มันแค่เป็นเรื่องของการทดสอบในการเข้างาน แล้วก็ข้อทดสอบในการเรียนรู้จากชีวิตจริงของเราด้วยนะ ว่าเราเรียนรู้แล้วหรือยังว่า หลายๆ ครั้งมันไม่เกี่ยวกับความสามารถ หลายๆ ครั้งมันเกี่ยวกับจังหวะเวลา มันเกี่ยวกับว่าเราจะต้องได้หรือไม่ได้ มันใช่หรือไม่ใช่สำหรับเรา ระหว่างที่เรายังไม่ได้ขึ้นไปบนนั้น ก็ทำทุกอย่างบนนี้ บนดิน อยู่ติดดินไปก่อนแล้วก็มองให้เห็นว่าเราไม่ได้เสียเวลาเปล่า เราได้ทั้งในเรื่องประสบการณ์จริงๆ ที่จะไปสอบ แล้วก็ได้ทั้งเรื่องของการสอบจิตสอบใจ ที่สำคัญกว่าการสอบได้แอร์เสียอีกนะครับ



๓) มีเพื่อนคนหนึ่งมีปัญหา พอคุณแม่เสียไปก็จะมีแต่ญาติพี่น้องและพ่อที่ชอบใช้วาจาทิ่มแทง จนเขาคิดว่าน่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันหมด เขาเลยอยากจะเปลี่ยนจากที่บ้านไปปฏิบัติธรรมหรือไปบวชเป็นสามเณรีเพื่อเข้าทางธรรมไปเลย ลักษณะนี้เป็นการหนีกรรมของเขาไปเลยไหม หรือว่าเขาควรจะชดใช้ไปก่อนแล้วค่อยไปบวช เพราะการบวชนี้ก็จะต้องขอขมากันด้วย?

สรุปก็คือถ้าหากว่ามีปัญหากับทางบ้าน แล้วก็มีความรู้สึกเป็นทุกข์ที่จะต้องอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่เข้าใจกัน อยู่ท่ามกลางคนที่ทำร้ายจิตใจกันด้วยคำพูด แล้วมีความคิดว่าจะไปบวช ก็ควรจะถือว่านี่เป็นการหนีกรรม หรือว่าเป็นการที่เราปลีกตัวออกจากโลกไปอยู่ดีแล้วหรือเปล่า คำถามคือเกรงว่าจะทำอะไรไม่ครบพร้อม เกรงว่าเวลาขอขมากันจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?

ถ้าเรากลัวเกี่ยวกับเรื่องของการทำร้ายจิตใจกัน หรือว่าเกี่ยวกับการที่เราไม่สามารถจะเข้ากับคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน หรือว่าจะเป็นด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ แล้วคิดจะไปบวช ตัวความอยากจะหนีโลกที่แวดล้อมปัจจุบันไปสู่อีกโลกหนึ่ง ขอให้จำไว้เลยนะครับว่า เราจะหนีไม่พ้นนะ

เพราะถ้าหากสมมติว่าคิดอย่างนี้นะ สมมติว่านี่คือกรรมของเราที่จะต้องอยู่ท่ามกลางคนที่พูดจาทิ่มแทงจิตใจ แล้วแรงส่งของกรรมนั้นยังไม่หมด กรรมยังต้องเผล็ดผลต่อไป แรงส่งนั้นจะทำให้เราต้องไปบวชในที่ๆ มีการพูดจาทิ่มตำกันอยู่ดี นี่พูดถึงเรื่องกรรมนะ ไม่ได้พูดถึงว่ากรณีของเราควรไปบวชหรือไม่ควรไปบวชนะ นี่พูดเรื่องกรรมอย่างเดียว เพราะว่าตัวแก่นของคำถามอยากจะรู้ว่าเป็นการที่เราคิดถูกหรือเปล่า ถ้าหากจะหนีไปบวช มันเท่ากับเป็นการหนีกรรมพ้นไหม เท่ากับเป็นการที่เราจะหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่แตกต่างจากโลกปัจจุบัน อันนี้ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องของกรรมล้วนๆ นะ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเราเหมาะหรือไม่เหมาะแล้วหรือยังที่จะไปบวช

จำไว้เป็นคีย์เวิร์ดนะ ‘ตราบใดที่แรงส่งของกรรมเก่ายังไม่หมด ตราบนั้นเราจะมุดน้ำ เราจะดำดิน หรือจะเหินฟ้าขึ้นไปสูงขนาดไหน กรรมจะตามไปให้ผลไม่เลิก’ การที่คิดว่าออกจากโลกแบบนี้ โลกของฆราวาส ไปอยู่ในโลกของบรรพชิต แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นทันทีเป็นความคิดที่ผิด แต่หากว่าเรารู้หลักของการปฏิบัติธรรมจริงๆ เรารู้วิธีเจริญสติอย่างดี เรามีใจที่อยากจะทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง ไม่มีความไยดีอาลัยอยู่ในโลกที่เป็นโลกของฆราวาสอีกแล้ว อย่างนี้ไปบวชเลย สนับสนุน แล้ววงจรที่มันเป็นของเก่าๆ อาจจะบรรเทาเบาบางลงได้ด้วย เพราะว่าใจของเราอยากออกจากโลกเป็นขั้นแรก แล้วเรามีความรู้มีความสามารถที่จะออกจากโลกได้จริงๆ ด้วย

นั่นคือการที่เรามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเจริญสติ มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการกินการอยู่แบบที่จะพ้นจากวัฏฏะของกิเลสนะครับ แบบนั้นธรรมชาติจะส่งเสริม แบบนั้นธรรมชาติจะอนุโมทนาด้วย ทำให้จิตให้ใจของเรามีความปลอดโปร่ง แล้วก็สิ่งรบกวนเครื่องรบกวนอะไรทั้งหลายจะค่อยๆ ถอยห่างออกไป

อยากจะเตือนบรรดาสุภาพสตรีทั้งหลายด้วยว่า ปัจจุบันสถานที่พักปฏิบัติธรรมสำหรับสตรีที่ปลอดภัยแล้วก็ดีจริงๆ หายากนะ นี่พูดกันแบบไม่ใช่บั่นทอนกำลังใจแต่อยากให้เตรียมใจว่า ถ้าเราอยากไปอยู่สถานที่ดีจริงๆควรจะไปทำความสนิท รู้จักมักคุ้นกับคนในสถานที่ให้ดีๆ เสียก่อนสักปีหนึ่งเป็นอย่างต่ำ ให้ชัวร์ว่าที่นี่เป็นที่สำหรับเราจริงๆ เพราะเท่าที่เห็นมากับตัวก็คือว่า ผู้หญิงไปอยู่ในวัดส่วนใหญ่เป็นเบี้ยล่าง ส่วนใหญ่จะโดนใช้งานมากกว่าอย่างอื่น ยกเว้นแต่เป็นที่ๆเจ้าอาวาสท่านใจดีจริงๆ หรือว่าเจ้าสำนักชีท่านมีความสามารถที่จะปกครองคนกันจริงๆ ถึงจะได้มีความสัปปายะ มีความพร้อมที่จะต้อนรับจิตใจและร่างกายของเราที่อยากให้เป็นไปในทางวิเวก

สรุปคำถามว่า ถ้าอยากไปบวชเพื่อหนีกรรม อย่าแต่ถ้าหากว่ามีความรู้ความสามารถที่จะเจริญสติแล้วอยากทิ้งโลก อยากที่จะทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งแล้วจริงๆ เอาเลย สนับสนุนแล้วก็อนุโมทนาอย่างยิ่งครับ



๔) ปกติจะปลูกต้นไม้ ปลูกผลไม้ที่บ้าน จะมีปัญหาเรื่องแมลงรบกวน มันจำเป็นต้องฉีดยาฆ่าแมลงเพราะคนอื่นเขาฉีดกันหมด ถ้าไม่ฉีดอยู่บ้านเดียว แมลงก็จะมารุมที่บ้านประจำ ใจคิดว่าเราฉีดไล่แมลง ไม่รู้ว่าหลอกตัวเองหรือเปล่า เราไม่ต้องการฉีดฆ่าแมลง ไม่ทราบว่าควรจะทำใจหรือตั้งจิตอย่างไรคะที่ไม่ให้เป็นบาปค่ะ?

แค่การที่เราไม่ได้คิดฆ่ามันก็เท่ากับเราไม่ได้ก่อกรรมครบวงจรเป็นปาณาติบาตแล้ว อันนี้ฟังดีๆ นะ ฟังให้เข้าใจนะ มันขึ้นอยู่กับการรับรู้ตั้งต้นของเราขึ้นมาว่า ในสิ่งที่เราฉีดลงไปมันจะฆ่าหรือว่าไล่กันแน่ ตัวรับรู้เป็นตัวแรกที่จะตัดสินว่ากรรมของเราจะเป็นไปในทางไหน แต่ถ้าหากว่าเราคิด เราตั้งอยู่ในใจว่าขอให้ไปๆเถอะ การฉีดยาครั้งนั้นของเราก็จะเหมือนกับ เข้าข่าย ‘กตัตตากรรม’ หมายความว่าเราไม่ได้ตั้งใจให้มันตาย แต่มันรู้อยู่ครึ่งๆ ว่าอย่างไรมันก็คงไม่รอด หรือว่าเราอาจจะเผื่อใจไว้ว่าถ้าหากเราหาวิธีที่จะป้องกันหรือว่าขับไล่ได้จริงๆ เราจะใช้วิธีนั้น เราจะไม่ใช้วิธีทำให้มันตาย ตัวกำลังใจที่คิดจะจัดการกับแมลงจริงๆ มันจะเป็นตัวกำหนดทิศทาง ว่าเราจะเป็นผู้ทำบาปโดยมากหรือว่าไม่ได้ทำบาป

การที่ใจจะเป็นบาปจริงๆ ก็คือมีความยินดี มีความคิดตั้งไว้เลยว่าจะให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าเราไม่ได้คิดให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ต้องฝืนทำอย่างนั้นเรียกว่า ‘กตัตตากรรม’ เป็นกรรมที่เมื่อไม่ได้ทำด้วยความตั้งใจไว้อย่างนั้นแล้วก็จะมีความเบา เพราะว่ากำลังใจอ่อน ถึงเวลาเผล็ดผลจะไม่ออกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย สมมติว่าออกแรงไป ๑๐ ในแบบที่เป็นกตัตตากรรม เวลาผลเหวี่ยงกลับมามันจะกลับมาสัก ๕ หรือว่า ๔ ไม่เท่ากับแรงที่เราทำลงไป แต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจอะไรเต็มเหนี่ยวเลย มีความยินดีเต็มที่เลย ทำเข้าไป ๑๐ มันก็ได้กลับมา ๑๐ หรือมากกว่า ๑๐ อันนี้เป็นหลักการทางธรรมชาติของกรรมวิบาก ที่พุทธศาสนาเราเปิดเผยไว้ ไม่ใช่มีใครไปตั้งกฎอย่างนี้ไว้ตามอำเภอใจ แต่เป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติของจิต ตามธรรมชาติของกรรม

(คำถามต่อเนื่อง – คือก็พยายามหาข้อมูลว่าจะมีวิธีไหนที่ดีกว่านั้น ปัญหาคือพวกแมลงทั้งหลายก็ดื้อยามากและมาอยู่เรื่อย เลยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร สรุปว่าถ้าเราตั้งจิตไว้ว่าเราตั้งใจไล่ให้เขาไป เมื่อก่อนตอนยังไม่ฉีดก็ภาวนาให้เขาไป แต่เขาไม่ไป เพราะธรรมชาติเขาต้องมากินต้นส้มต้นไม้ของเรา ก็เลยกลัวบาปอยู่ค่ะ)

เอาเป็นว่ากรณีนี้มันแค่ครึ่งๆ มันไม่ได้เป็นการตั้งใจฆ่า มันเป็นการตั้งใจไล่ แต่บังเอิญว่าในการรับรู้ของเรา เรารู้ว่าถึงแม้จะตั้งใจไล่มันก็มีสิทธิ์ที่จะไม่รอด แม้กระทั่งพระเวลาท่านกวาดลานวัด ท่านก็กังวลใจกันตอนแรกๆ โดยเฉพาะพวกพระนวกะ จะคอยถามครูบาอาจารย์เพราะเห็นชัดๆ เลยกวาดใบไม้ไป มดมันจะต้องตาย สัตว์เล็กๆ เห็นกับตาเลยว่ากวาดไปมันก็โดนไปด้วยแล้วก็บางทีมันอาจจะไม่รอด ครูบาอาจารย์วัดป่าท่านสั่งสอนลูกศิษย์ว่าอย่าไปกังวล อย่าไปมองว่าตรงนั้นเป็นการฆ่าเพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะฆ่า เราตั้งใจจะกวาดลานวัด นี่คือคำตอบของท่าน แม้แต่ในพระวินัย พระพุทธเจ้าท่านก็บัญญัติไว้นะ ห้ามไม่ให้มีหยากไย่ใยแมงมุม นั่นหมายความว่าอะไร หมายความว่าเราจะต้องทำให้หยากไย่ใยแมงมุม ซึ่งแมงมุมถักทอขึ้นมามันหายไป คงเข้าใจความหมายนะ


สรุปสำหรับคืนนี้ เราได้เริ่มต้นใช้สไกป์ในการสื่อสารกันออนแอร์ Spreaker ก็น่าจะมีความราบรื่นพอสมควร เพราะยังสามารถจะวอยซ์คอลเข้ามาได้ โดยที่ได้ยินเสียงของผมจากทาง Spreaker เดี๋ยววันพุธคิดว่าจะกลับไปใช้วิธีเดิมก่อน เป็นถามทางวอลล์ของ http://www.facebook.com/HowfarBooks นะครับ น่าจะมีวันเสาร์หรืออาทิตย์ คิดไว้ตั้งใจไว้ว่าจะให้มีวีดีโอคอลด้วย แต่เราก็จะเห็นกันแค่สองคน คนฟังก็จะได้ยินแค่เสียงเหมือนเดิมทุกประการ แต่จะเป็นวันพิเศษในช่วงที่เราสามารถถามตอบกันตรงตัวมากกว่าที่เคยนะครับ เอาล่ะครับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมกันทุกท่านครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น