วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๑๐๗ / วันที่ ๒๖ ก.ย. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันพุธที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks



๑) ถ้าผมตั้งกองทุนตามวัดหลายๆแห่ง เป็นค่าภัตตาหารและค่าอื่นๆ แล้วแต่ทางวัดจะนำไปใช้ ผมและเพื่อนๆที่เอาเงินใส่ในกองทุนนี้ จะได้บุญเท่ากันหรือไม่ และเมื่อผมเพื่อนได้ตายจากกายมนุษย์ แต่ดอกเบี้ยจากกองทุนยังงอกเงยต่อไปเรื่อยๆ สมมติว่าผมไปเกิดเป็นมนุษย์ และเพื่อนๆไปเกิดเป็นเทวดา ตามที่แต่ละคนได้ตั้งจิตตามปรารถนา ผมและเพื่อนๆจะได้บุญจากกองทุนนี้ต่อไปอีกหรือไม่ครับ?

เอาตรงเรื่องดอกเบี้ยก่อน เพราะว่าหลายคนสงสัยกันเหลือเกินนะว่า ถ้าหากสิ่งที่เราทำเนี่ย มันยังผลิดอกออกผลอยู่เรื่อยๆ ถึงแม้ว่าตัวเราตายไปแล้วนะ ผลนั้นจะยังให้เป็นเหมือนกับทบทวีขึ้นไปให้กับเราด้วยรึเปล่า ในการทำบุญนั้น พวกเราเนี่ยเวลาที่คิด จะคิดกันแบบเป็นรูปธรรมจับต้องได้ โดยเฉพาะในเรื่องของตัวเงิน ค่าของเงิน สิ่งที่มันจะผลิดอกออกผลออกมาแบบที่นับจำนวนได้ แต่กฎแห่งกรรมเขาไม่นับจำนวนแบบเดียวกับที่เรานับ เขาจะนับเป็นปริมาณความสว่างที่มันเกิดขึ้นนะครับ ความสว่างนั้นมีความสว่างทั้งภายในและภายนอก ความสว่างภายในก็คือ เรามีจิตเจตนา ตั้งใจในการทำบุญขึ้นมาเนี่ย ด้วยความบริสุทธิ์แค่ไหน สิ่งที่ได้มาทำบุญบริสุทธิ์แค่ไหน แล้วก็ผู้ที่ได้รับผลของบุญน่ะ มีความบริสุทธิ์แค่ไหน อันนี้มันก็จะคูณ คูณ คูณกันเข้าไปนะครับ ถ้าหากว่าปัจจัยภายในนี้ มีความสว่างมาก ก็ถือว่าได้บุญมาก ยิ่งบริสุทธิ์มาก ยิ่งสว่างมากนะ ยิ่งได้ผู้ที่เป็นเนื้อนาบุญ มีความบริสุทธิ์มากๆมารับเนี่ย ก็จะยิ่งขยายผลออกไป ทีนี้พูดถึงตัวความสว่างภายนอกบ้าง ความสว่างภายนอกได้แก่ การที่ผู้รับเนี่ยนำไปใช้ได้แค่ไหน

ยกตัวอย่าง ถ้าเรามองกันเรื่องของถาวรวัตถุ อย่างเช่นกุฏิ หรือว่าโบสถ์หรือว่าแม้แต่ส้วม หรือที่เรียกว่าฐานของพระเนี่ยนะ อย่างนี้เป็นสิ่งที่ผู้รับจะได้ใช้กันนานๆ ได้ใช้กันแบบที่เรียกว่าสิบปียี่สิบปี สามารถที่จะคาดเดาได้สามารถที่ประมาณได้ตั้งแต่ต้นว่า ใช้กันได้เป็นสิบๆปี พอเทียบดูว่า ถ้าถวายผงซักฟอก หรือว่าถวายยาสีฟันอะไรแบบนี้ อันไหนจะใช้ได้นานกว่ากัน เราก็รู้เลยนะว่าถาวรวัตถุย่อมใช้ได้นานกว่า ความปลื้มหรือความปีติอะไรต่างๆ มันก็มีความยืนยาวกว่า พอระลึกนึกถึงสิบปีผ่านไป เราก็ยังรู้สึกได้ว่า ของนั้นพวกท่านยังใช้ประโยชน์กันอยู่ ไม่เหมือนกับผงซักฟอก เราถวายไปแค่เดือนเดียว พอนึกขึ้นมาเนี่ย ผงซักฟอกน่าจะหมดแล้ว ถึงเวลาไปถวายใหม่ ไปเติมกันใหม่อะไรแบบนี้นะ ตัวความสว่างภายนอกเนี่ย ถ้าหากว่าเรานำมาคิดถึงเรื่องของเงิน เรื่องของดอกเบี้ย เรื่องของผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์ในกาลต่อๆมา ก็อาจจะมองได้ว่า ปริมาณความสว่างนั้นไปกว้าง ไปได้นาน แล้วก็มีความยั่งยืนนะ คิดอย่างนั้นมากกว่าที่จะมาคิดเป็นตัวดอกเบี้ย ที่จะติดตามเพิ่มไป คือตัวบุญเนี่ยนะ ลักษณะของบุญเนี่ย มันวัดกันเดี๋ยวนั้นเลย วัดกันว่าเราทำไปเนี่ย มันน่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน วัดกันเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ใช่มาเอาเป็นเงาตามตัวกันไป แต่อย่างไรก็ตาม มันมีครับ ที่จะมีตัวขยายผลเพิ่มขึ้นอีกชั้นนึง ชั้นที่สาม เมื่อกี้พูดถึงแค่ความสว่างภายในกับความสว่างภายนอก ที่เราสามารถที่จะรู้ได้ว่า ณ เวลาทำเนี่ย มันจะประมาณใด แต่ถ้าหากว่ากาลเวลาผ่านไปซักยี่สิบปีเนี่ย เรามารับรู้ว่า บุญที่เราทำไป เกิดผลกับใครในเวลายี่สิบปีต่อมาอีก แล้วเราเกิดความปลื้มปีติ ตัวความปลื้มปีติ ตัวความโสมนัส ตัวความรู้สึกว่า เราได้ทำบุญนี้และเขาได้รับผลนี้ เป็นประโยชน์กับเขา เรามีความบริสุทธิ์ใจมาตั้งแต่ต้น และ ณ บัดนั้นยี่สิบปีผ่านมา เราก็ยังรู้สึกดีกับความบริสุทธิ์แห่งบุญนั้นอยู่ เราเห็นคนได้ประโยชน์อยู่ ตัวนั้นแหละ ตัวที่มันไปอนุโมทนาตัวเองซ้ำอีกครั้งหนึ่งเนี่ย ที่มันจะเพิ่ม ที่มันจะทบกำลังบุญเข้าไป คือความสว่างเดิมมีอยู่แค่ไหน มันก็ไปเพิ่มความสว่างเข้าไป บวกเข้าไปอีก แต่ถ้าตายไปแล้วเนี่ย โอกาสที่จะมารับรู้ในเรื่องของผลของบุญ ผลแห่งบุญที่เราทำไปเนี่ย ว่าจะได้อานิสงส์หรือว่าได้ผลอะไรกับใครไป มันก็จะต้องอาศัยเหตุปัจจัยด้วยนะ ถ้าเป็นเทวดาส่องลงมา ก็ย่อมรู้ ย่อมทราบ ย่อมเห็น ว่าความสว่างแห่งบุญเนี่ย มีประมาณใด มีรัศมีกว้างประมาณใด มีจำนวนผู้คนได้รับผลประมาณใด ก็อาจจะเกิดความยินดี ความปลื้มปีติซ้ำเข้าไปอีก ตรงนั้นก็เป็นบุญเพิ่ม เป็นบุญในฐานะของการมีความยินดี มีความปลื้มปีติ เรียกว่าเป็นกาลที่สาม เป็นกาลแห่งที่จิตเนี่ยเป็นกุศลหลังทำบุญ ซึ่งมันมีได้หลายครั้ง ไม่จำกัดจำนวน ตราบใดเท่าที่เรายังสามารถรับรู้ได้อยู่ เกี่ยวกับผู้ได้รับผลประโยชน์จากบุญที่เราเคยทำไป แต่ถ้าหากไปเกิดเป็นมนุษย์ มันหมดสิทธิ์แล้ว ถ้าระลึกชาติไม่ได้ ก็กลับมาดูบุญเก่าของตัวเองไม่ได้ แล้วก็ปลื้มปีติไม่ได้อีก ถ้าปลื้มปีติไม่ได้ ก็เป็นอันว่าจบ ก็เป็นอันว่ากองบุญนั้นถือว่าสิ้นสุด เราไม่สามารถจะไปตักตวงความสว่าง ไปเพิ่มความสว่าง ไปไขความสว่าง ให้มันเพิ่มขึ้นไปยิ่งกว่านั้นได้อีก มันจบกันที่ตรงสิ้นสุดการรับรู้ ถ้าหากว่าจะมาถาม จะมาคำนึงกันว่า ที่ช่วยๆกันเนี่ย มีบุญเท่ากันหรือเปล่า คือมันร่วมอยู่ในกระแสบุญเดียวกัน อยู่ในกองภูเขาบุญเดียวกัน แต่จะมากหรือน้อยเนี่ย ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนมีจิต เจตนา มีความหนักแน่น มีความประสงค์ชนิดใดในการทำบุญ ถึงแม้ว่าทำบุญกองเดียวกัน ก็ไม่แน่ว่าใครจะมีกำลังใจหนักแน่นเท่ากัน หรือว่ายิ่งหย่อนไปกว่ากันแค่ไหน ไม่มีอะไรเป็นประกันได้เลย มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม บุญนั้นที่ทำร่วมกัน จะทำให้เกิดกระแสความผูกพันขึ้น คือลักษณะของการทำบุญด้วยกัน ถ้าหากว่ามีความยินดี มีความสมัครใจร่วมกันเนี่ยนะ มันจะเกิดความผูกพัน มันจะเกิดสายใย มันจะเกิดความสว่างแบบดีๆขึ้นมา ถ้าหากว่าในหมู่คนที่ทำร่วมกันนั้น ปกติเคยเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ก็จะกลับมีความรู้สึกดีขึ้นมาทีละนิดๆ ถ้าหากว่าสะสมบุญต่อกันไปมากๆ มันก็จะกลายเป็นความรู้สึกที่ดี สนิทไปเลย หลงลืมความปฏิปักษ์ต่อกันไปเลย อย่างนี่นะ นี่คืออำนาจบุญ นี่คืออำนาจความสว่าง ที่มาขับไล่ความมืดได้ ต้องมองอย่างนี้มากกว่านะ ว่าคนทำบุญด้วยกันเนี่ย จะทำให้รู้สึกดีต่อกันได้แค่ไหน ยิ่งบุญบริสุทธิ์มาก ยิ่งมีความร่วมมือร่วมใจ โดยปราศจากความขัดแย้ง โดยปราศจากข้อกังขาต่อกัน ไม่มีการแข่งกัน ไม่มีการเอาหน้า เอาดีเอาเด่น ว่าใครเหนือกว่าใคร ความรู้สึกที่ดีๆต่อกัน มันต้องเกิดขึ้นแน่นอน แม้ขนาดว่าคนแข่งกันทำบุญ แต่ว่าแข่งกันแบบมิตร แข่งกันในแบบที่ว่า เออ เราทำอย่างนี้เนี่ย เพื่อให้เกิดแรงผลักดัน ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ตั้งหน้าตั้งตา มีความตั้งอกตั้งใจมากขึ้น อะไรประมาณนี้ อาจจะเป็นคู่แข่งที่มีความรู้สึกเป็นมิตรกัน เป็นเพื่อนกัน แต่ถ้าหากว่ามาทำบุญกันในลักษณะหักหน้ากัน เข่นกัน หรือว่าข่มกัน ว่าใครเหนือกว่าใคร ใครได้ก่อน ใครได้หลัง แบบนี้เนี่ยนะเป็นประกันเลยว่า เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความเป็นศัตรู อาจจะเป็นศัตรูแบบที่ว่า ต่างฝ่ายต่างมีกำลังไล่เลี่ยกัน แล้วก็กินกันไม่ขาด เอากันไม่ลง แบบเนี่ยงัดกันไม่ลง ซึ่งมันก็ต้องยืดเยื้อต่อไปอีกนาน เป็นเรื่องน่าเบื่อมาก ไอ้การแข่งเอาดี เอาเด่น เอาชัย เอาหน้า เอาใหญ่ เอาโตอะไรกันเนี่ย น่าเบื่อมาก



๒) ได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งอย่างไม่น่าจะเจอได้ (ทำงานด้วยกัน ๓ วัน) เขาเป็นชาวต่างชาติและมีครอบครัวแล้ว เราก็ไม่ได้รักกัน แต่เรียกว่าถูกใจกันอย่างประหลาด แม้จะเป็นเวลาอันสั้น?

อันนี้ก็เป็นเรื่องจริงนะครับ คือคนบางคน ถ้าหากว่าเคยมีอดีตสัมพันธ์กันมาอย่างลึกซึ้ง อย่างเหนียวแน่น อย่างแน่นแฟ้น เคยทำบุญร่วมกันมามากๆเนี่ย วันเดียวเท่านั้นเนี่ยสามารถจำกันไปได้ทั้งชีวิต แต่บางคนอยู่ร่วมกัน ๓ ปี ๕ปี แบบผิวๆเผินๆ อยู่กันไปแกนๆ อยู่กันแบบที่ว่า ต่างฝ่าย ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันอะไรแบบนี้ พอ ๑๐ ปีผ่านไป ลืมแม้กระทั่งชื่อที่เคยเรียกกันอยู่ทุกวัน เพราะตอนเรียก เรียกกันไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับการเรียก หรือชื่อที่เรียกไม่ได้มีความหมายต่อใจเราเลย สิบปีต่อไปเนี่ย ลืมชื่อ ลืมหน้า แล้วก็เจอกันอีกทีเหมือนคนแปลกหน้ากันไปเลย ไม่มีความรู้สึกผูกพันแม้แต่นิดเดียว นี่ก็คือเรื่องของการที่เราเคยดีต่อกันมาแค่ไหน หรือว่าเฉยๆต่อกันมาเพียงใด

เอาล่ะ คำถามต่อนะ บอกว่า “หลังจากเค้ากลับประเทศไปได้ ติดต่อกันช่องทางเดียวคืออีเมล์ แบบไม่ปะติดปะต่อ ไม่เกิน ๔-๕ ประโยค อาทิตย์ละ ๑-๒ เมล์ เนื้อหาก็ไม่พ้นไปจากวันนี้ใครทำอะไรบ้าง ขอให้อีกฝ่ายดูแลตัวเองให้ดี มี ๒ ครั้ง ที่เขาบอกว่า คิดถึง คือมีความก้ำกึ่งระหว่างเพื่อน กับคนที่รู้สึกนึกถึงกันเป็นพิเศษ แต่ไม่เคยจีบกัน เรารู้ใจตัวเองดีว่า ยังไงก็ไม่มีทางแย่งเขามาแน่ แต่ก็ไม่อยากให้เขาหายไปจากชีวิต อยากถามว่า ถ้าเรายังติดต่อกับเขาต่อไป โดยพยายามลดความรู้สึกของตัวเอง ให้เป็นเพื่อนให้ได้นั้น ในระหว่างนี้เราผิดศีลข้อ ๔ ไหมคะ และควรวางใจอย่างไรกับคนๆนี้”

ก็เป็นเรื่องดีที่ไถ่ถามกันนะ เพราะว่าในปัจจุบันมีโอกาสเยอะ ที่เราจะได้คบหา แล้วก็รู้สึกใกล้ชิดเกินไป กับคนที่มีเจ้าของแล้วนะ ก็เป็นข้อสงสัยว่า เราจะเป็นผู้มีศีลสะอาดอยู่รึเปล่า ก่อนอื่นใดเอาขอบเขตของเรื่องศีลกันก่อน มาทำความเข้าใจว่าที่จะผิดศีล ที่จะขาดทะลุนะ มันต้องมีการมีเพศสัมพันธ์กัน อย่างในพระวินัยเนี่ย ท่านแจกแจงไว้ชัดเจนละเอียดเลย จะต้องมีมรรค เข้าถึงมรรค คือ จะต้องมีการเอาอวัยวะเพศเข้าถึงกัน อย่างนั้นถึงจะเรียกว่า เป็นการผิดศีล แบบเข้าขั้นร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มที่ หรือแม้กระทั่งอาศัยแค่ปากเนี่ย ท่านก็ถือว่าละเมิดร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เนี่ยถ้าเป็นพระก็เรียก ปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระ ชนิดที่ไม่สามารถกลับมาเป็นพระได้อีก ไม่สามารถกลับมาบวชได้อีก ที่ยกเรื่องวินัยพระมาเนี่ย มันเป็นตัวตัดสินได้ชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าเส้นแบ่งระหว่างผิดศีล กับยังไม่ผิดศีลเต็มที่เนี่ย มันอยู่ที่ตรงไหน

ถ้าหากว่าแค่แตะเนื้อต้องตัว แม้มีความกำหนัดยินดี อย่างนั้นก็ยังไม่ถือว่าปาราชิก คือหมายความว่าศีลยังไม่ได้ขาด แต่ว่ามีความด่างพร้อย แม้กระทั่งว่า มีเจตนา มีเจตนาชัดๆว่า จะตกลงใจว่าจะมีเพศสัมพันธ์กัน แค่นั้นก็เรียกว่าด่างพร้อยแล้วนะ แต่ยังไม่ผิดศีล คือตัวเจตนา ตัวความตั้งใจ ตัวความพยายามที่จะทำเนี่ย เกิดขึ้นแล้ว มีการไปชวนจูงมือเข้าห้องกันแล้วแหละ แต่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์กัน อย่างนั้นก็ยังไม่ถือว่าศีลขาดทะลุ อันนี้ขอพูดเป็นประเด็นว่า ขอบเขตของศีลมันอยู่ตรงไหนนะครับ ตัวชี้เป็นชี้ตายว่า ผิดศีลไปแล้วหรือยัง อยู่ที่ตรงไหน เพื่อที่จะได้เกิดความไม่ต้องคาใจนะ ถ้ายังไม่มีเจตนาที่จะมีเพศสัมพันธ์กันเนี่ย ก็สบายใจได้ เพราะว่าตัวขอบเขตของศีล เขาห้ามกันที่วาจากับกาย ทางกายกับทางวาจา ถ้าหากว่ายังไม่มีความผิด ยังไม่มีความพลาด ยังไม่มีอาการที่ขาดทะลุใดๆนะ ก็ถือว่า ยังโอเค ยังเป็นผู้มีศีลอยู่ ใจเนี่ยจะคิดแค่ไหนยังไง ท่านไม่ว่าเลย แต่ว่าลักษณะทางใจนั่นแหละ มโนกรรมนั่นแหละเป็นใหญ่ที่สุด ถ้าหากว่าเราไม่ระวัง ถ้าหากว่าเราเผอเรอ ถ้าหากว่าเราเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ไอ้เรื่องเล็กน้อยที่มันเกิดขึ้นทุกวันนั่นแหละ ในที่สุดมันจะรวมกันเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เรื่องใหญ่มันเกิดจากมโนกรรมนะ ไม่ได้เกิดจากมือไม้ ไม่ได้เกิดจากปาก ไม่ได้เกิดจากหัวหูนะ มันเริ่มต้นมาจากลักษณะที่เราคิด ลักษณะที่เราตั้งใจ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีกรรมชนิดไหนเลย ที่ไม่ตั้งต้นขึ้นมาจากใจ เมื่อใจเป็นใหญ่ เมื่อใจเป็นประธาน เราก็ต้องสอดส่องนิดนึงว่า ไอ้ลักษณะที่เราคิด เรายอมให้มันเกิดขึ้นเนี่ย มันเลยเถิดมาถึงขั้นไหน ผมขอแนะนำอย่างนี้สั้นๆนะ อันนี้บอกไว้หลายคนแล้ว ถ้าหากว่าเรารู้อยู่ว่า ตัวเองมีแก่ใจนะ แล้วยังคุย ยังขืนคุยกัน ตรงนั้นนะ มันเป็นรากของความผิด เป็นรากของความยุ่งยาก เป็นรากของความซับซ้อนในชีวิต เป็นรากของความสับสน เป็นรากของอะไรหลายๆอย่าง ที่สรุปแล้วเนี่ยมันไม่ได้มีความสุขหรอก ถ้ามีใจกับคนที่มีเจ้าของแล้วนะ ทางที่ดีที่สุดเนี่ย สำรวจใจตัวเอง ตอนไหนที่มีความรู้สึก ที่มันผิดจากเพื่อน มันผิดจากคนที่ห่างเหิน มันผิดจากคนที่แปลกหน้ากันเนี่ย ก็สมควรที่จะไม่พูด หรือพูดให้น้อยที่สุด เจอกันให้น้อยที่สุด แล้วไม่ใช่เราจะคิดง่ายๆว่า มันไม่มีอะไรนี่ มันไม่มีถ้อยคำอะไร ที่จะบ่งบอกว่า เราจะไปเอาเขามา คือมันไม่ใช่อยู่ที่คำพูดนะ ความทุกข์เนี่ย ความทุกข์มันอยู่ที่ใจคิด ถ้าใจมันรู้สึกอยู่ รู้ตัวอยู่ และเห็นด้วยว่า เขาก็มีท่าที มีแนวโน้มที่จะรู้สึกแบบเดียวกับเรา อันนั้นนะ ใจมันเล็งตรงกันแล้ว คือบุญเนี่ยนะ บุญเก่าเนี่ย มันสร้างความซับซ้อนให้ชีวิตเราอย่างนี้แหละ เราคงเคยทำบุญร่วมกับเขามา หรือกระทั่งอาจจะเคยอยู่ร่วมกับเขามา ไม่ว่าจะในฐานะของพ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย หรือว่าเคยเป็นสามีภรรยากันมาก็ตาม แต่ชาตินี้ไม่มีสิทธิ์แล้ว เพราะเขามีครอบครัว มีเจ้าของ คำว่ามีเจ้าของก็คือ เราเนี่ยไม่มีสิทธิ์แล้ว หมดสิทธิ์แล้ว หมดสิทธิ์แม้กระทั่งว่า จะปล่อยให้ตัวเองเนี่ยนะ เผลอไปเรื่อยๆ แล้วก็มีความรู้สึกไปเรื่อยๆวันต่อวัน ว่าวันนี้จะคุยอะไรกันอีกไหม วันนี้เขาจะส่งมาไหม เราจะส่งไปหาเขาดีไหม ทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย ขอให้คิดเห็นใจตัวเองเถอะว่า ในอนาคตเมื่อสั่งสมความรู้สึกผูกพันเข้าไปมากๆ มันจะไม่มีทางที่จิตใจจะสงบสุขได้ ทางที่ดีเนี่ยไม่คุยเลยดีกว่า อันนี้คือวิธีที่ดีที่สุด แต่ถ้าหากตัดใจไม่ได้จริงๆ ก็มีอีกวิธีนึงคือว่า เราต้องประเมินตัวเองอาทิตย์ต่ออาทิตย์ ว่ามันเขยิบใกล้เข้าไปรึเปล่า อีกนิดนึงรึเปล่า ถ้าหากว่ารู้ตัวเห็นตัวเองอยู่นะว่า แม้กระทั่งใจเนี่ย มันคืบคลานเข้าไปทีละนิดๆ มันไปผูกยึดกับเขา แล้วก็เหมือนกับมีเขาวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา มากขึ้นทุกทีเนี่ย ตัวนั้นแหละ ตัวตัดสินว่าเราเป็นทุกข์แล้ว ถึงแม้จะยังไม่ทำผิดศีลอะไรเลยก็ตาม ต้นเหตุของทุกข์ควรจะตัดไม่ใช่หรือครับ ถ้าหากว่าเรารู้ว่า นี่คือต้นเหตุของทุกข์ ก็อย่าไปเสี่ยง อย่าไปเอาใจเนี่ยไปเล่นกับทุกข์เลย เหมือนกับเราไม่ควรเอามือไปเล่นกับไฟนั่นแหละ อันนี้ก็คือคำแนะนำที่คิดว่าครอบคลุมที่สุดนะครับ เพราะว่าปัจจุบันเป็นปัญหาของหลายๆคน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวันเลย เนื่องจากวิถีชีวิตของเราซับซ้อนมากขึ้น ด้วยระบบอินเทอร์เน็ตเนี่ยแหละ มันคุยกันได้ง่าย มันติดต่อกันได้แค่ขยับนิ้วไม่กี่ครั้ง พิมพ์ไม่กี่คำ หรือว่าคลิกไม่กี่คลิกเนี่ย มันสามารถที่จะส่งใจถึงใจแบบเป็นรูปธรรมได้แล้ว



๓) ตัดใจอย่างไรให้ขาดจากคนรักเก่า แม้ตัวเราจะรอคอยเขาอยู่ตลอด ต้องทำอย่างไรดีคะ?

เรารอคอยเขาอยู่ตลอดหรือครับ ไอ้อาการรอคอยนั้นนะ ลองดูก็แล้วกัน วิธีหรือเทคนิคที่จะตัดใจจากคนรัก มีหลายวิธี แต่ว่าถ้าจะเอาตรงประเด็นสำหรับแต่ละคนนะ ก็ต้องดูว่าอาการทางใจของเรา ผูกอยู่กับเขาด้วยอาการอย่างไรโดยมาก อย่างกรณีนี้ บอกว่าตัวเรารอคอยเขาอยู่ตลอดเวลา อาการรอคอยเนี่ยสังเกตมั้ย ว่ามันมีหน้าตาเป็นยังไง มันมีอาการยืดเยื้อ มันมีอาการยืดยาด มันมีอาการที่อ้อยอิ่ง มันมีอาการที่เหมือนใจลอยไปอยู่ข้างนอกตลอดเวลา ยืดออกไปนอกตัวตลอดเวลา ไม่สามารถเอากลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้ ถ้าเราสามารถเห็นลักษณะอาการของใจ ที่มันยืดเยื้อ ยืดยาดนะ แล้วก็เหมือนกับไปแปะติดอยู่กับอากาศเวิ้งว้างภายนอก โดยไม่มีเป้าหมาย โดยชีวิตมันเหมือนไม่มีจุดหมายอะไรที่ชัดเจนอยู่เลย ดูลักษณะของใจแบบนั้นนะ ที่มันเกิดขึ้นบ่อยๆเนี่ยนะ รู้ไปเพื่ออะไร รู้เพื่อให้เห็นว่า เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เรารู้สึกถึงอาการยืดเยื้อ เรารู้สึกถึงอาการที่จิตเนี่ย มันเหมือนเลื้อยออกไปนอกตัวบ่อยๆเข้า เราจะรู้สึกถึงความน่าเบื่อหน่าย ของอาการทางจิตแบบนั้นๆ มันเหมือนคนเป็นโรคอะไรชนิดหนึ่ง แต่ถ้าไม่มองให้เห็นอาการทางใจนะ มันจะมัวเฝ้าสร้างแต่มโนภาพตัวตนของเขาขึ้นมา หรือว่าหวนไปนึกถึงอดีตที่น่าประทับใจ อดีตที่น่าติดใจอยู่ร่ำไป เมื่อเราแทนที่มโนภาพดีๆ มโนภาพเก่าๆที่น่าติดใจ ด้วยความน่าเบื่อหน่ายของลักษณะทางจิต นานเข้าจิตจะฉลาดขึ้นเอง ฉลาดเห็นว่า อาการทางใจที่มันยืดเยื้อ ที่มันมีความรอคอย ที่มันไม่มีเป้าหมายชัดเจน มันเป็นแค่สภาพอะไรอย่างหนึ่ง ที่น่าเบื่อเป็นที่สุด ปกติเราจะไปนึกว่า ชีวิตเป็นของน่าเบื่อ ในเวลาที่เรารอสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ แต่จริงๆแล้วเนี่ยนะ เมื่อเรามีสติเห็นได้ชัดว่า อาการทางใจเป็นอย่างไร มันจะอ๋อขึ้นมาเอง อ๋อขึ้นมาดังๆว่า สิ่งที่น่าเบื่อไม่ใช่ชีวิตนะ แต่เป็นสภาพทางใจ แต่เป็นอาการทางใจนี่เอง ที่มันน่าเบื่อที่สุด ที่มันไม่ได้น่าอาลัยอาวรณ์ ไม่ได้น่ารัก น่าพิศวาสอะไรเลย อดีตที่ผ่านไปแล้ว มันจะน่าพิศวาสแค่ไหนไม่รู้ แต่รู้เลยว่า อาการรอแบบไม่มีที่สิ้นสุด อาการรอแบบยืดเยื้อเปล่าๆเนี่ย อาการทางใจแบบนั้นเนี่ย มันไม่น่ารักเอาเลย ถ้าเปรียบเป็นหน้าตาของคน ก็บอกได้ว่า สภาพจิตที่มีการรอคอยเนี่ย เป็นคนที่หน้าตาขี้เหร่ เป็นคนที่ไม่น่าคบหา เป็นคนที่มีสภาพที่ไม่น่าเข้าใกล้เป็นที่สุด แต่เราปล่อยให้คนพันธุ์นั้นเนี่ย หรือจิตพรรค์นั้นเนี่ยมาอยู่ติดตัวเราได้ ก็เพราะว่าเราไม่ได้มอง เรามองไม่เห็น เรามองไม่ชัด มีความมืดบางชนิดบดบังอยู่ มีความมืดอันเกิดจากความอยาก ความอยากแบบไม่มีที่หมายปลายทาง ไม่มีจุดหมายปลายทาง ความอยากในแบบที่เหมือนเราตกอยู่ในห้องมืด ที่ไม่มีคนมาส่องแสงไฟให้ ทีนี้ถ้าหากว่า เราเอาสติมาเป็นแสงไฟ ส่องให้เห็นว่าไอ้ห้องมืดนั้นน่ะ มันไม่ได้มีความน่าติดใจอะไรอยู่เลย มันมีแต่ความว่างเปล่า มันมีแต่ความรกร้าง มันมีแต่ความรก มันมีแต่กลิ่นเหม็น มันมีแต่ความชื้นแฉะ ที่ไม่น่าที่จะอยู่อาศัย อยู่ในนั้นเอาซะเลย พอเห็นบ่อยเข้ามันจะเริ่มตื่น ตอนเนี่ยเหมือนกับยังหลับอยู่ ยังหลงอยู่ ยังไม่ตื่นนะ ให้สติมาเป็นแสงนำ ให้สติมาเป็นตัวปลุกให้ตื่นนะครับ ก็ต้องเกิดขึ้นบ่อยนะ ของพรรค์นี้เนี่ยไม่เกิดขึ้นกับตัว ก็ไม่รู้หรอกว่า มันจะต้องใช้สติไปนานแค่ไหน แต่จะนานแค่ไหนมันคุ้มครับ เมื่อผลเกิดขึ้น ผลคือความสุข ผลคือชีวิตใหม่ ผลคือความสว่างที่มันต่างไปนะ


เอาล่ะครับ คืนนี้ต้องล่ำลากันที่นาทีนี้ครับ ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านนะครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น