วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๙๔ / วันที่ ๒๔ ส.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันศุกร์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ แล้วก็ศุกร์ อย่างเช่นในคืนนี้ เป็นประจำเวลาสามทุ่มตรงนะครับ เพื่อที่จะทักทายและก็ไถ่ถาม ตั้งปุจฉา ก็เข้ามาที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks แต่เดี๋ยวจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นิดหนึ่ง ต้องเล่าความเป็นมาเป็นไปก่อน หลายคนก็สงสัยว่า เอ มีแฟนเพจที่เป็น AskDungtrin อยู่แล้ว แล้วก็มีคนเข้าไปเป็น follower เยอะอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องมาตั้งคำถามกันที่ HowfarBooks ซึ่งเป็นวอลล์ส่วนตัว เดิมเป็นวอลล์ส่วนตัว เป็นอีกชื่อหนึ่ง

เดิมช่วงนั้นในแฟนเพจ AskDungtrin มีข้อผิดพลาด เวลาที่คนส่งข้อความเข้ามามันไม่อัพเดตให้ เหมือนกับมีข้อความตกหล่นบ้าง หรือที่แตกต่างสำคัญจากวอลล์ปกติซึ่งเป็นวอลล์ส่วนตัวก็คือ มันไม่อัพเดตให้อัตโนมัติ ต้องมีการอัพเดตกันเอง แล้วพออัพเดตแล้วบางข้อความก็ไม่มีปรากฏขึ้นมา ผมก็กลัวว่าจะตกหล่นข้อความของหลายๆท่านไป ซึ่งเข้าใจดีว่าถ้าหากข้ามข้อความ คำถามของใครไป มันก็เสียความรู้สึก ก็เลยตัดสินใจว่า อาจจะสร้างความสับสนให้แก่ทุกท่านนิดหนึ่งโดยการมาถามกันใน HowfarBooks นี้นะครับ

ปัจจุบันสังเกตมานานพอสมควรหลายเดือน เป็นเวลาสักครึ่งปี ก็เห็นว่าข้อความไม่มีการตกหล่นแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีการโพสต์ข้อความติดๆกันจากหลายคนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็เลยคิดว่าตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป จะให้เข้าไปไถ่ถามกันในแฟนเพจแล้วก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชื่อแฟนเพจปัจจุบันได้เปลี่ยนจาก AskDungtrin มาเป็น dungtrin เฉยๆ

ตรงนี้มีที่มาที่ไปว่า น้องคนหนึ่งเขาขออนุญาตแล้วว่าจะไปเปิดเป็น Dungtrin Fanclub เป็นเพจแฟนคลับของดังตฤณโดยเฉพาะซึ่งก็ใช้ชื่อไดเรกทอรี dungtrin น้องเขาไม่ได้ตั้งใจให้ทุกท่านสับสนนะครับ คือบังเอิญว่าตอนนั้นชื่อไดเรกทอรี dungtrin ยังว่างอยู่ก็เลยใช้ชื่อนี้แหละ ปรากฏว่าคนก็เข้าใจผิดกันเยอะ ส่วนมากเวลาที่เสิร์ชในเฟสบุ๊คหรือในกูเกิลหาชื่อ dungtrin ก็จะไปเจอแฟนเพจนี้กันเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็เวลาเข้าไปไถ่ถามน้องเขา ก็เข้าใจว่าเป็นตัวผมเองนะครับ คือที่ไม่ได้อ่านรายละเอียดที่น้องเขาพยายามจะเขียนว่าเป็น Dungtrin FC ปัจจุบันน้องเขาเลยเปลี่ยนชื่อไดเรกทอรีให้เป็น DungtrinFanClub‎ ให้ชัดเจน แล้วชื่อ dungtrin เฉยๆนี้ก็เลยว่าง ผมก็เพิ่งไปเปลี่ยนมาจาก AskDungtrin มาเป็น dungtrin เฉยๆ อันนี้ก็อธิบายที่มาที่ไปให้ทุกท่านเข้าใจกันนะครับ สัปดาห์หน้าที่ที่จะตั้งปุจฉา ตั้งคำถามก็คงจะย้ายไปที่แฟนเพจและตอนนี้ถ้าใครตั้งบุ๊กมาร์กแฟนเพจของดังตฤณไว้เป็น AskDungtrin ก็ขอความกรุณารบกวนนิดหนึ่งเปลี่ยนเป็น dungtrin ช่วงแรกๆอาจจะสับสนกันเยอะพอสมควร ก็คงยังไม่ได้มีคนฟังรายการออนไลน์ที่ผมออนแอร์อยู่นี้กันมากเท่าไหร่นัก คือจะน้อยกว่าจำนวน follower เยอะนะครับ แต่เดี๋ยวผมจะดำเนินการปักหมุดไว้ แจ้งบอกเป็นพิเศษว่าได้เปลี่ยนชื่อแล้ว สำหรับคนที่คลิก like อยู่ก็คงจะไม่มีปัญหา คงจะเห็นว่ามีสเตตัสขึ้นอยู่ตามปกติ แต่ว่าสำหรับคนไม่มีทะเบียนเฟสบุ๊คใช้ แล้วก็บุ๊กมาร์กไว้เฉยๆเดี๋ยวผมก็จะแจ้งให้ทราบเท่าที่ช่องทางจะอำนวย

ที่ผ่านมาเวลาที่ให้ Spreaker.com ไปตั้งสเตตัสให้ ทั้งในทวิตเตอร์และในเฟสบุ๊คก็จะมีปัญหา คือบางท่านก็มองเห็น บางท่านก็มองไม่เห็น เดี๋ยวผมก็เลยจะตัดปัญหา คิดว่าจะให้มีการตั้งสเตตัสในแฟนเพจแทนนะครับ ลองดูว่าจะยังมีปัญหาเหมือนเดิมไหม ถ้าไม่มีปัญหาก็จะได้ใช้ในระยะยาวอย่างถาวรไปเลย ไม่ต้องมาเปลี่ยน ไม่ต้องมาสับสนกันอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นแฟนใหม่ที่เสิร์ชจากกูเกิลหรือเสิร์ชจากเฟสบุ๊คก็จะได้เห็นชื่อ dungtrin ปรากฏและก็เป็นเพจของผมเอง โอเค ก็คงจะเรียนชี้แจง ใช้เวลาชี้แจงกันนิดหนึ่งนะครับ



๑) หลายปีก่อนหนูนอนเอาขาออกไปทางประตูหน้าบ้าน (เข้าใจว่าคงหมายถึงเอาเท้าชี้ไปหน้าบ้าน) แม่หนูเตือนแล้วว่ามันไม่ดีแต่หนูไม่ฟัง พอหนูหลับตาไปสักพัก ขยับไม่ได้ แล้วหนูได้ยินเสียงก้องกังวานว่า ‘เราคือยมบาล’ เสียงน่ากลัวมาก หนูกรี๊ดแล้วก็ขอให้เจ้าที่ช่วย แล้วเขาก็พูดอีกประโยคแต่หนูไม่ได้ฟัง พยายามกรี๊ดอยู่ หนูตกใจมากขยับตัวไม่ได้ อยากถามว่านั่นคือยมบาลจริงหรือเปล่า จริงๆคิดว่าจะไม่ถามเพราะกลัวค่ะ แต่มันสงสัย?

เรื่องของการปรุงแต่งจิตในขณะหลับ อะไรๆมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่อยากจะพูดอย่างนี้เป็น ๓ กรณี

กรณีแรก คือ อยู่ๆยมบาลไม่มาปรากฏตัวเล่นๆหรอก ไม่มาเอาตัวกันเล่นๆไม่มาขู่กันให้กลัวเล่นๆ ถ้ามานี่มาจริงเลย ยมบาลเองจริงๆแล้วถ้าเอาตามความเชื่อของผม มันก็คือความตายของเราเอง คือจิตของเราเองที่มันดับลงไปนั่นแหละยมบาลของแท้ นิมิตที่เราเห็นหรือว่าเล่าสู่กันฟังนี่ จะว่าอย่างไรดี คือแม้แต่ในพระไตรปิฎกก็มีนะครับแต่ว่าจะไม่ใช่ยมบาลในลักษณะมาเอาตัวไปภพภูมิอื่น แต่จะนุ่งโสร่งแดงมาเลยและประกาศตัวว่า คือ พญายม ยมทูต หรือเป็นผู้ที่จะทำการลงโทษหรือว่าเอาตัวไปเข้าสู่ขุมนรก อันนั้นชัดเจนเลยว่า มีนิมิตแสดงว่าจะมีการเอาตัวไปลงโทษในภพภูมิที่ต่ำที่สุด เดือดเนื้อร้อนใจมากที่สุด อันนี้ถ้าพูดง่ายๆว่าถ้าจะมาก็มาเอาตัวไปเลยไม่ใช่มาหลอกกันเล่นๆนะครับ

กรณีที่ ๒ คือ เรื่องของเสียงที่ได้ยิน หรือภาพที่เห็นขณะหลับฝันมีอยู่สองแบบ แบบแรกคือเราฝันไปเอง จิตปรุงแต่งไปเอง อย่างในกรณีที่เราได้รับคำเตือนจากคุณแม่ว่าอย่าหันเท้าออกไปทางหน้าบ้านมันไม่ดี แล้วเราก็เกิดการคิดอยู่ในใจว่า แม่จะรู้อะไรจริงหรือว่าโบราณบอกเล่ากันมา มันจะมีที่จริงก็หาได้ยากเต็มที คือนึกไปต่างๆนาๆทำนองดูถูก หรือว่าในทำนองที่มีความลบหลู่อยู่ แล้วตามธรรมชาติถ้าไปลบหลู่หรือดูถูกแม่มากๆนี่มันมีการปรุงแต่งในแบบที่เป็นอกุศลมาก แล้วถ้าหากว่าฐานเดิมของเรามีความสว่างอยู่แล้วไปเกิดความขัดแย้งกับกระแสอกุศลแบบนี้ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ มันก็ไปลงโทษตัวเองได้ในเวลาหลับเวลาฝัน ก็อาจจะไปปรุงแต่งเสียงอะไรที่น่ากลัวขึ้นมาหรือภาพอะไรที่น่าสยดสยอง แล้วก็ทำให้เราเข็ดหลาบ หรือเกิดความรู้สึกเหมือนกับ โอยตายแล้ว นี่ไปลบหลู่พ่อแม่นะ ลบหลู่คำครูบาอาจารย์ หรือว่าโบราณาจารย์ที่ท่านว่ากันไว้ เอ้า เจอของดีเข้าแล้ว แล้วก็ทำให้เข็ด เกิดความหลาบจำ รู้สึกเคารพยำเกรงคุณพ่อคุณแม่มากขึ้นอะไรแบบนี้ อันนั้นก็เกิดขึ้นได้ แต่มันก็ไม่ได้เกิดทุกคนนะ คือ ฐานของเรานี่ต้องมีแนวโน้มที่อยากจะให้หัวอ่อน อยากเชื่อฟังพ่อแม่อยู่ด้วย มันถึงไปปรุงประกอบกันขึ้นมาทำให้เกิดนิมิตที่ทำให้เกิดความเข็ดหลาบได้

กรณีที่ ๓ คือว่า มีเทวดา หรือไม่ก็จิตวิญญาณที่ต่ำกว่าระดับของมนุษย์ จำพวกเปรต หรืออสูร อะไรทำนองนี้ เห็นเราแล้วเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ที่เราหัวแข็ง ดื้อด้าน หรือรู้สึกอยากจะนึกกระเซ้า นึกอยากจะกระทุ้งให้เกิดความขวัญหนีดีฝ่ออะไร หรืออาจจะเป็นอะไรสักอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับเราในทางใดทางหนึ่ง เขามีฤทธิ์มากพอที่จะมาสำแดงเดช แล้วก็รู้ว่าเราจะกลัวอะไรมากที่สุด เขาก็จะแสดงสิ่งนั้นให้เราได้ยินได้เห็นในขณะหลับฝัน มันแยกออกเป็นได้เป็นหลายกรณี

แต่กรณีที่น่าสนใจที่สุด เอาที่เราสามารถรับรู้ได้นะครับ ก็คือ ฟังเหตุผลของผู้ใหญ่แล้วนี่ ถ้าหากมีเหตุมีผลมากพอ เราสามารถทำได้ก็ทำเถอะนะครับ แต่ถ้าหากว่าเหตุผลของผู้ใหญ่ไม่ดีพอ เราต้องมีวิธีที่นิ่มนวล และมีความเมตตาต่อคำสอนของท่าน ไม่ใช่มีอาการลบหลู่ มันถึงจะเกิดการปรุงแต่งในทางที่ดี ในทางที่เป็นความสว่าง คือไม่เชื่อท่านได้ ถ้าเห็นว่าคำของท่านไม่ประกอบด้วยเหตุผล ถ้าอย่างนั้นขืนพ่อแม่ใช้ให้ไปผิดศีล ใช้ให้ไปฆ่าตัวตาย ใช้ให้ไปฆ่าคนอื่น เราก็ต้องทำตามหมด เราไม่จำเป็นต้องทำตามคำของพ่อแม่เสมอไป แต่อย่าลบหลู่ก็แล้วกัน อย่าดูถูก อย่ามีความคิดที่เป็นอกุศลต่อพวกท่านก็แล้วกัน พยายามมีความเมตตาต่อท่าทีแล้วก็ความคิดเห็นของท่านกันมากๆ ถึงแม้ว่าเราไม่เชื่อเราก็มีคำอธิบายที่ดีได้ หรือถ้าหากอธิบายไม่ได้เราก็มีวิธีเงียบที่จะไม่ทำให้ท่านเกิดความรู้สึกระคายขึ้นมาได้

แล้วในเรื่องของทิศทางนี่ บางทีนะ เดี๋ยวนี้เขาอธิบายกันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แค่หลักฮวงจุ้ย เขาบอกว่าถ้านอนขวางคลื่นแม่เหล็ก หรือว่านอนตามคลื่นแม่เหล็ก กระแสคลื่นแม่เหล็กอะไรต่างๆเนี่ยบางทีมันมีผล อาจจะทำให้นอนแล้วฝันดีฝันร้ายมากขึ้น หรือว่านอนแล้วจะทำให้ อันนี้ผมก็ไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งนะครับ แต่เท่าที่อ่านๆมา เขามีการทำการวิจัยในเรื่องทิศของการนอน การหันหน้าไปทำงาน มันมีเรื่องที่ลึกลับแต่ว่าเป็นธรรมชาติจริงๆที่วิทยาศาสตร์เพิ่งจะแกะรอยได้ เริ่มจะพิสูจน์ได้ ไม่ใช่ว่าเรื่องของทิศนี่เป็นเรื่องที่เหลวไหล อันนี้ก็คงไม่ได้ลงลึกเพราะผมก็ไม่ทราบวิธีค้นคว้าวิจัยอะไรของเขามากนะครับแต่ก็อยากจะบอกว่า บางอย่างที่เราไม่เชื่อทันที ด่วนตัดสินทันทีว่าไม่จริงนี่ บางทีภายหลังเขาก็สามารถพิสูจน์กันมาได้มาก ว่าอะไรที่มันใช่อะไรที่มันไม่ใช่ อย่าเพิ่งด่วนไปกล่าวว่าคำโบราณนี่เหลวไหลไปทั้งหมด คือบางอย่างมันเหลวไหลจริง เชื่อไม่ได้จริงๆ แต่หลายๆสิ่งหลายๆอย่างก็ต้องค่อยๆพิสูจน์กันไป ต้องค่อยๆทำความเข้าใจกันไปว่ามันมีเหตุผลอะไรซับซ้อนอยู่ที่เราไม่เข้าใจไหมนะครับ



๒) ตอนนี้ต้องเจอคนๆหนึ่งที่ไม่ชอบ ทั้งที่เมื่อก่อนก็เคยให้ความช่วยเหลือเขามาตลอด เวลาไม่เจอเขาจะรู้สึกให้อภัยและสงสาร แต่พอเจอหน้ากันก็จะรู้สึกไม่ชอบใจเหมือนเดิม ได้หาธรรมะเกี่ยวกับพรหมวิหาร ๔ มาฟังแต่ก็ไม่ได้ผล ตอนนี้หนูตั้งครรภ์อยู่ ไม่สบายใจกับความรู้สึกนี้เลย หลายคนบอกว่าท้องอยู่ ห้ามไม่ให้คิดไม่ดี แต่เรื่องความรู้สึกไม่รู้ว่าจะห้ามอย่างไร และกรรมดำของแม่จะมีผลอะไรกับลูกในท้องบ้าง?

เรื่องของคลื่นจิต คลื่นใจระหว่างแม่กับลูกที่อยู่ในท้องนี่มีจริงนะครับ มีจริงอย่างเห็นได้ชัดเลย คือไม่ต้องไปหาคำยืนยันจากที่อื่น ลองสังเกตความรู้สึกของตัวเอง เอาความเป็นแม่นี่แหละ บางวันอยู่ๆมันหงุดหงิดขึ้นมาเฉยๆแล้วถามว่ามันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาได้อย่างไร บางทีมันไม่ได้เป็นความคิดของเราเองเลย ไม่ได้เป็นคลื่นความรู้สึกแย่ๆ หรือว่าเคยคิดอะไรอย่างนั้นมาก่อน บางทีมันเป็นคลื่นรบกวนออกมา สืบๆไป สืบๆมามันออกมาจากท้องนั่นแหละ แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าเรากำลังมีจิตใจที่ชื่นบาน มีความปลอดโปร่ง มีความผ่องใส สวดมนต์ไหว้พระตั้งแต่เช้า แล้วก็ใส่บาตรพระบ่อยๆนะครับ หรือว่าให้ความช่วยเหลือผู้คน มีจิตใจเมตตาคิดให้อภัยใครได้ จนเกิดความรู้สึกว่า ตัวเรา จิตของเรามีความสว่าง มีความเบิกบาน มีความตั้งมั่นอยู่ในกุศลเป็นปกติ คุณจะรู้สึกขึ้นมาว่าลูกที่อยู่ในท้องนี่ มีความดี๊ด๊า มีความรู้สึกเหมือนจะมีอีกคนหนึ่ง ยิ้มออกมาจากข้างในเรา มันจะเหมือนมีอีกคนหนึ่งที่พลอยรู้สึกชื่นบานคล้ายๆกับได้รับความสว่าง ได้รับความเย็นจากส่วนบน แล้วเขาอยู่ข้างล่าง อยู่ตรงกลางของเรานะครับ แล้วก็มีความชุ่มฉ่ำ มีความรู้สึกว่าเขาพลอยได้ดีไปกับเรา
มันเหมือนกับเป็นปีติที่ซ้อนกันสองชั้น ปีติชั้นแรกเป็นปีติของเราเอง ปีติอีกชั้นหนึ่งมันเหมือนกับลูกเขาให้ ชื่นบาน ให้ความสดชื่นออกมา หรือรู้สึกได้ว่าลูกกำลังยิ้มอยู่ อันนี้จะเป็นความรู้สึกส่วนตัวมาก เป็นประสบการณ์ตรงของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ แล้วก็หลายคนเลยที่จะมีประสบการณ์ทำนองว่า คนโน้นก็ทัก คนนี้ก็ทัก หน้าตาเราแปลกไป หรือว่ามีรัศมีแจ่มใสเป็นพิเศษ หรือว่ามีหน้าตาดูสวยขึ้นดูขาวขึ้นอย่างน่าพิศวง อะไรอย่างนี้ นั้นก็อาจจะเป็น คาริสมาของลูกฉายรัศมีออกมานำหน้าเลยว่า นี่เด็กมีบุญมาเกิดแน่ๆเพราะว่ามีผลมาถึงแม่ทำให้แม่ดูสวยขึ้นได้ ดูผ่องแผ้วขึ้นได้

ทีนี้ถามว่าทั้งหลายทั้งปวงนี่ ถ้าเด็กมีบุญมาเกิด แล้วเราทำตัวไม่ดี ทำเหมือนกับว่าอะไรนิดหน่อยก็ขัดเคือง เป็นฟืนเป็นไฟไปหมด อย่างนี้มีผลกับลูกไหม มีแน่นอนครับ ถ้านิสัยเดิมของเรามีความหงุดหงิดง่าย ขี้กังวล คิดมาก แล้วพอตั้งครรภ์ขึ้นมานี่มันคิดมากเป็นสองเท่า มันมีผลกับลูกคือ ลูกจะรู้สึกถึงความอึดอัด ลูกจะรู้สึกถึงความไม่สบายขณะอยู่ในท้องของเรา อันนี้มีในพระไตรปิฎกนะครับ ท่านบอกไว้ว่า ตั้งแต่เด็กมาเกิดนี่ ขันธ์ ๕ มีครบเลยนะครับ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ มีทั้งรูป หมายถึงรูปกาย มีหัว มีหู มีขา มีแขนอะไรต่อมิอะไร ถึงแม้ว่าขนาดจิ๊บจ้อยแค่ไหนก็ตามแต่นั่นก็ถือว่าเป็นรูปแล้ว เป็นมหาภูตรูป คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม มาประกอบกันแล้ว แล้วก็มีความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ได้ อันนี้วิทยาศาสตร์บอกไม่ได้ แต่ว่าพระไตรปิฎกบอกไว้ ซึ่งมันจะตรงกันกับความรับรู้ของคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในท้องว่าตัวเองสามารถ สุขได้ ทุกข์ได้ ตามจังหวะที่ลูกดิ้น หรือลูกมีความเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่ข้างใน บางคนช่วงแรกๆอาจจะสังเกตได้แล้วไม่อยากเชื่อว่า เอ นี่มันเป็นผลมาจากความรู้สึกของลูก แต่พอสังเกตไปบ่อยๆโดยเฉพาะผู้หญิงที่เจริญสติ จะเห็นเลยว่า ความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ ที่เกิดขึ้นบางทีไม่ได้มาจากข้างในตนเอง แต่มาจากภายนอก และภายนอกนั้นก็คือ ส่งมาจากคลื่นความรู้สึกของลูกนะครับ

อันนี้แหละเรียกว่ามี เวทนาจริง มีสัญญา สัญญาหมายถึงความจำได้หมายรู้ คือจดจำได้ถึงผัสสะต่างๆว่าดีหรือไม่ดี เป็นกุศล หรือว่าอกุศลนี่เด็กจำได้นะครับ คือในพระไตรปิฎกไม่ได้บอกไว้ขนาดที่ว่าจำได้หรือเปล่าว่าตนเองเป็นใคร จำได้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังอยู่ในท้องใคร แต่บางคนจะมีบอกเล่ากันเยอะทั่วทุกมุมโลกเลยว่าเขาจำได้ว่าขณะอยู่ในท้องรู้สึกอย่างไร นอกจากมีสัญญา แล้วก็มีสังขาร สังขารขันธ์ หมายถึงความคิดดีชั่ว ความคิดชอบใจหรือไม่ชอบใจ อันนี้นี่ชัดเจนเลย คืออย่างคุณแม่หลายๆคนจะบอกเลยว่าพอตัวเองกำลังคิดมากอยู่ ก็รู้สึกเหมือนลูกดิ้นแปลกๆแล้วก็มีความไม่ชอบใจออกมา มีอีกกระแสหนึ่งแสดงถึงความไม่ชอบใจ แสดงถึงความไม่สบอารมณ์ แสดงถึงอาการต่อต้าน หรือบางทีคุณแม่บางคนเอานิทานธรรมะอ่านให้ลูกฟัง มันเหมือนมีความชอบใจออกมาจากในท้อง เหมือนมีความติดใจ เหมือนมีความอยากฟังอีกอะไรแบบนี้ หลายๆคนก็ต่างประสบการณ์กันไป และส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เกิดกับตัวเองก็จะว่า ฟุ้งซ่านไป บ้าไปเอง หรือว่าเห่อลูกมากไปหน่อยอะไรแบบนั้น นะครับ แต่คนที่เป็นเจ้าของท้องก็จะทราบได้ว่า ความรู้สึกมันเป็นอย่างไรถ้าหากว่าไปทำอะไรที่เป็นกุศลมากๆหรือทำอะไรที่เป็นอกุศล เป็นบาปมากๆ สุดโต่งสองขั้วนี้นะครับ กุศลมากๆลูกจะเกิดความเบิกบาน ถ้าหากอกุศลมากๆลูกจะเกิดความรู้สึกอึดอัด ชิงชังหรือมีการต่อต้าน นะครับ

ในคำถามบอกว่าตัวเองกำลังไม่ชอบใจใครคนหนึ่งอยู่ ก็อาศัยเขานั่นแหละ เป็นตัวตั้ง ทำเพื่อลูกนะครับ ถ้าอภัยใครได้ ในขณะที่ตั้งครรภ์อยู่ ก็สามารถคาดหมายได้เช่นกันว่าลูกจะออกมาเป็นคนที่ไม่ผูกใจเจ็บใครง่ายๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรามีใครที่ไม่ชอบใจอยู่เยอะๆยิ่งดีเลย อาศัยช่วงเวลาที่ลูกกำลังอยู่ในท้องนั่นแหละ ฝึกหัดและเผื่อแผ่ ความสุขอันเกิดจากการให้อภัยไปถึงลูกน้อย พยากรณ์ได้เลยว่า ถ้าช่วงนั้นเราให้อภัยบ่อยๆไม่ถือสาใครเลย ลูกจะเป็นคนที่มีความสุข ไม่เป็นคนอาฆาตพยาบาทง่าย แล้วหากว่าของเก่าของลูก สมมติว่าเขาเป็นคนเป็นฟืนเป็นไฟง่าย มีความอาฆาตพยาบาทผูกใจเจ็บอย่างเหนียวแน่น ก็จะได้ส่วนลด ก็จะได้ส่วนช่วยจากเราขณะที่อยู่ในท้อง อาการยึดมั่นถือมั่น ถือสาง่าย เป็นฟืนเป็นไฟง่ายก็จะลดทอนลงไป แทนที่จะเลี้ยงยาก แทนที่จะว่ากล่าวไม่ฟัง ตักเตือนไม่ฟัง ก็จะเป็นคนหัวอ่อนลง จะเชื่อเรามากขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ทราบจะบอกเป็นหลักฐานพิสูจน์อย่างไร ต้องให้พิสูจน์กันเองเป็นปัจจัตตังนะครับ เป็นสิ่งที่ต้องรู้เฉพาะตน ถ้าหากว่าเราทำได้ สิ่งที่เกิดความมั่นใจได้อย่างหนึ่งก็คือ ตัวเราเอง ใจเราเองจะมีความเป็นกุศล มีความสว่าง มีความพร้อมที่จะไม่ถือสาลูก ไม่โกรธลูกง่ายๆไม่มีความใจร้อนกับลูก มีความใจเย็น โอกาสที่ลูกจะออกมาแล้วรักเรา มีโอกาสสนิทสนมแน่นแฟ้นกับเรา เชื่อเราก็มีสูงมากนะครับ



๓) เคยได้ยินคำว่า ‘นิพพานอยู่แล้ว’ ไหมคะ และที่ว่า ‘รู้’ เป็นวิญญาณขันธ์ แล้วเราเอาขันธ์ ไปเจริญขันธ์ มันจะปลงขันธ์ได้อย่างไร การรู้บ่อยๆทำให้เสพติด ‘รู้’ มีความเห็นอย่างไรคะ?

‘นิพพานอยู่แล้ว’ นี่ไม่มีนะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพาน เป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก ต้องทำให้ต้นเหตุทุกข์ดับลง ถึงจะเห็นไปนิพพานได้ ทะลุออกไปจากอุปาทานขันธ์ คือกายใจนี้ไปเห็นอะไรอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่กาย ไม่ใช่ใจ ไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม แล้วกายใจนี้ ตั้งอยู่ในนิพพานไม่ได้ แต่จิตนี้รู้นิพพานได้ ส่วนวิญญาณขันธ์ เอาขันธ์ไปเจริญขันธ์ อันนี้เขาเข้าใจผิดแล้วนะครับ วิญญาณขันธ์มันทำหน้าที่ รู้ เฉยๆ แต่ว่าสิ่งที่ไปปลงขันธ์นี่เป็นสังขารขันธ์ เป็นการปรุงแต่ง การรับรู้อีกชั้นหนึ่งให้เกิดการรู้ว่า การรู้ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่ารูปไม่ว่านามหรือแม้แต่ตัววิญญาณขันธ์เองมันไม่เที่ยง มันเป็นอนัตตา แล้วถึงจะปลงได้

คือไม่ใช่รู้อย่างเดียว เอาใจไปรู้อย่างเดียวแล้วจะปลงได้จะดับอุปาทานได้ มันต้องรู้ด้วยปัญญา ต้องประกอบด้วยปัญญา วิญญาณขันธ์นั้นต้องนำหน้าด้วยปัญญา ต้องถูกปรุงแต่งด้วยปัญญานะครับ มีสังขารขันธ์เป็นปัญญา มีสังขารขันธ์เป็นความเห็นถูกเห็นชอบ เป็นสัมมาทิฐิแล้วก็รับวิธีการ แนวทางที่จะรู้ที่จะดูมาตามลำดับขั้นได้

ส่วนการรู้บ่อยๆทำให้เสพติด ‘รู้’ อันนั้นเป็น สติ ‘รู้’ มันไม่ใช่ยาเสพติดนะ ไม่ทราบจะพูดอย่างไรในเวลาแคบๆในเวลาอันสั้นนะ เอาเป็นว่าคนพูดนี่คิดเองเออเองหมดเลยนะครับ วิญญาณขันธ์หรือว่าลักษณะการรู้นี่เราต้องพูดกันยาว เอาเป็นว่าสตินี่มันไม่มีการเสพติดหรอก แต่ถ้าติดใจได้ มีฉันทะได้ อันนี้ยิ่งดี เป็นอิทธิบาท ๔ เป็นกำลังของการรู้นะครับ



« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น