วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๑๐๐ / วันที่ ๗ ก.ย. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันศุกร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้ท่านทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรงนะครับ เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการ ก็อยู่ในสเตตัสปัจจุบันนี่แหละนะครับ http://www.facebook.com/dungtrin ส่งคำถามได้เลย



๑) เราสามารถเจริญสติหรือทำสมาธิด้วยตนเอง โดยที่ไม่มีครูบาอาจารย์สอนแบบพบปะกันโดยตรง แต่อาศัยเพียงการฟังหรืออ่านเอาเองจากสื่อต่างๆได้หรือไม่? เคยได้ยินมาว่า จะต้องมีอาจารย์คอยสอนและสอบอารมณ์ด้วย หากทำเองได้ ช่วยแนะนำเทคนิควิธีหรือข้อควรทำและไม่ควรทำด้วยครับ? แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามาถูกทางหรือเปล่า ก้าวหน้าหรือยัง?

การทำเองนี่มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ที่เราจะไม่ได้มีการรับคำสอนมาจากใครไว้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจริญสติที่จะให้บรรลุมรรค บรรลุผลนะครับ ก็จำเป็นที่จะต้องมีกัลยาณมิตร เช่นมีพระพุทธเจ้าเป็นครู ถ้าเราคิดอยู่ในใจ ทำไว้ในใจว่า เรามีพระพุทธเจ้าเป็นครู อันนั้นใช้ได้ แต่ถ้าบอกว่าทำเอง แล้วอ่านจากทางโน้นทีทางนั้นทีแล้ว อันนี้ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นครูกันแน่

เราทุกคนต้องมีครู ทีนี้ครูไม่จำเป็นต้องมาพูดสอนอยู่ต่อหน้าต่อตาเสมอไป เช่นพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่อยู่แล้ว พระอรหันต์ครั้งพุทธกาลก็ไม่อยู่แล้ว ดับขันธปรินิพพานไปกันทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว เหลือแต่ครูบาอาจารย์ร่วมสมัย ซึ่งค่อนข้างยาก ที่เราจะไปหาครูบาอาจารย์มาคอยชี้แนะ คอยกระหนาบเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่นเดียวกันกับครั้งที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ อย่างพระพุทธเจ้านี่ ท่านตรัสเทศน์ให้คนร้อยคนฟังนี่นะ ท่านสามารถใช้ความสามารถเฉพาะพระองค์ ทำให้คนร้อยคนฟังแล้วเข้าใจไป หรือเห็น หรือว่าได้ยินท่านตรัสได้แตกต่างกัน เหมือนกับที่ท่านสามารถปรากฏพระวรกายไปได้หลายๆแห่งพร้อมๆกันในเวลาเดียวกันแบบนั้นนะ

ในยุคเรา ถ้าคิดนะว่าเราฟังซีดี เราอ่านธรรมะของหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านใด และนับถือท่านเป็นอาจารย์ด้วยใจเคารพท่านจริงๆนะ ก็เหมือนกับมีท่านมาสอนนั่นแหละ ไม่ได้แตกต่างกันมากนะ ถึงท่านมาสอน ท่านก็คงไม่ได้มาสอนตลอดเวลา

คนที่จะไปร่ำเรียนกับครูบาอาจารย์ที่จะคอยดูให้เราตลอดเวลา ดูว่าเราถูกหรือผิดน่ะ ก็จะเป็นพวกที่ต้องไปบวช แล้วก็อยู่กับท่านจริงๆ ไม่ก็ต้องเข้าคอร์สเข้าอบรม

ซึ่งถ้าหากว่า ในกรณีของครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนถูกแน่ๆ ผ่านทุกขั้นทุกตอนมาแล้วแน่ๆ ท่านหมดกิเลสแล้วแน่ๆ ก็ดีเหมือนกัน ก็คือท่านสามารถเห็น จะเห็นเป็นมุมมองจากเบื้องบนนะว่า การเดินทางของเรามาถึงไหนแล้ว แต่ละจุดของแผนที่นี่ ท่านจะรู้ ท่านจะทะลุมาหมดแล้ว สามารถมองออก หรืออ่านได้ว่า จุดที่เรายืนอยู่ หรือเดินทางมาถึงนี่ อยู่ตรงไหน จะต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา จะไปยังไงต่อ จะต้องเดินหน้าหรือถอยหลังบ้าง เพื่อจะไม่ให้ตกเหว ท่านก็จะบอกเราได้เป็นเรื่องๆ

แต่ว่าครูบาอาจารย์ประเภทนั้นนี่ นอกจากหายากแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะไปอยู่ใกล้ท่าน ไม่ใช่ว่าท่านจะยอมสอนอยู่ตลอดเวลาง่ายๆนะ ท่านก็กลัวเราจะเป็นเด็กไม่ยอมโต อาจจะให้คำแนะนำไม่แตกต่างจากที่เราเคยได้ยิน หรือได้อ่านคำสอนของพวกท่านจากคำสอนในซีดี หรือหนังสือ ไม่ได้แตกต่างกันเลย ให้คำแนะนำแล้วไปปฏิบัติเอา

การที่เราจะได้รับการสอบอารมณ์ที่ถูกต้องจากผู้รู้แท้จริงนี่ ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ จะบอกว่า อย่าไปหาดีกว่านะ พูดอย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน ถ้าไปตั้งความหวังหรือหาอะไรแบบนั้น ลองคิดดู มีคนอยู่สักไม่มาก ทั้งประเทศ เอาแค่มีคนหมื่นคนอย่างนี้ แล้วมีครูบาอาจารย์ที่ทำได้อย่างนั้นจริงๆอยู่แค่สักสิบคน อย่างนั้นแปลว่า ต้องแบกรับภาระกันเป็นพันต่อคน

ส่วนการสอบอารมณ์ในลักษณะที่ถามมาแล้วตอบไปปากเปล่านี่ ถ้าเป็นไปในลักษณะอาการที่ถูกอัธยาศัย ก็โอเค แต่ระมัดระวังนิดหนึ่งแล้วกันนะครับ เพราะการที่เราจะไปให้ใครบอกนี่ จะถูกหรือผิดแค่ไหนยังไง ถ้าหากว่าสื่อสารกันไม่ตรงจริงๆ หมายความว่า เราเล่าอย่างหนึ่ง แล้วท่านตอบมาด้วยความเข้าใจอย่างหนึ่ง ซึ่งมีมุมมองอีกอย่างหนึ่งนี่นะ มันก็กลายเป็นคำแนะนำที่ผิดพลาดเหมือนกัน นอกจากทำให้เราไม่ก้าวหน้าแล้ว อาจทำให้เรามีอาการที่ผิดปกติบางอย่างได้ด้วย

ฉะนั้น โดยสรุปแล้ว ก็คือว่าถ้าอยากจะทำสมาธิ หรือว่าเดินจงกรมอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้จะสละความสุขในฆราวาสวิสัยเพื่อออกไปบวช พบครูบาอาจารย์ในป่าในเขาจริงๆ ก็ใช้วิธีอ่าน ใช้วิธีฟังเอานั่นแหละนะ

แล้วก็หลักการวิธีที่จะเป็นเครื่องประกันที่เราจะอยู่ในทางที่ถูกต้อง ไม่หลงพลาดไปหาอะไรก็ไม่ทราบ ก็ควรจะศึกษาพุทธพจน์ให้ดีว่า ท่านตรัสไว้อย่างไร เพราะพระพุทธเจ้า เป็นครูบาอาจารย์ของครูบาอาจารย์ทุกคนที่เรามีอยู่พระองค์เดียวเลย ในโลกเลย นี่ก็เป็นต้นแหล่ง ต้นกำเนิดของครูบาอาจารย์ไม่รู้กี่ล้าน กี่สิบล้านคน หรือกี่สิบล้านท่านน่ะนะครับ ฉะนั้นถ้าเราได้ศึกษาจากราก เราได้ทราบว่าบรมครู หรือว่าครูใหญ่ที่แท้จริงนี่ ท่านสอนอะไรไว้บ้าง ก็จะได้เป็นความอุ่นใจว่า เรามีภูมิต้านทานกับคำสอนผิดๆ หรือว่าพอเราไปพบกับข้อขัดแย้งใดๆขึ้นมา อย่างน้อยเราก็บอกตัวเองถูกว่า จะใช้หลักเกณฑ์อะไรในการตรวจสอบ ในการพิจารณาว่า นั่น เป็นคำสอนที่สืบทอด ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นจากครั้งพุทธกาลสู่ยุคไอทีของเรานี้นะ

ถ้าไม่มีหลัก ไม่มีเกณฑ์ ไม่มีต้นเค้า ไม่มีต้นแหล่งที่เราจะเชื่อได้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนพูด เราก็จะเหมือนกับฟังคนโน้นที ฟังคนนั้นที ไม่ทราบว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของเขาหรือท่าน หรือว่าเป็นการคิดเอาเอง หรือว่าเป็นการตีความเอาเองของใคร

ในเรื่องความเชื่อ ในเรื่องศรัทธา ในเรื่องของข้อสรุป หรือการตีความในพระพุทธศาสนานี่ เป็นสิ่งซับซ้อนที่ตกทอด แต่ละรุ่นก็มีความซื่อสัตย์ต่อพุทธพจน์ มีความจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้าไม่เท่ากันนะครับ

อันนี้ก็สรุปนะครับ ลองหาสิ่งที่เราเชื่อได้ว่าเป็นพระไตรปิฎกมาศึกษาดู ขอแนะนำว่า ให้ไปดูมาจากพระไตรปิฎกของ อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ หาเอาในอินเตอร์เน็ตนี่แหละ มีให้อ่านฟรีๆเลย

หลักการโดยรวมนี่ ถ้าเราเข้าใจดีแล้ว เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว เวลาไปอ่านหรือฟังหลักวิธีปฏิบัติของอาจารย์ท่านใด เราจะมีทุนอยู่ในใจ เราจะรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ คือไม่มีใครสามารถบอกได้ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ผมก็ได้เห็นได้ยินได้ฟังอะไรมาเยอะ แต่ละคนก็จะคิดว่าตัวเองถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ความเป็นจริงก็คือ แต่ละคนรับเอาความเชื่อหรือรับเอาความรู้ที่แตกต่างกัน ที่คลาดเคลื่อนกันมาคนละนิดคนละหน่อย แม้แต่ผมเองก็ต้องปรับความรู้ ก็ต้องสำรวจสอดส่องอยู่เรื่อยๆ บางครั้งช่วงแรกที่อ่านมาฟังมาในช่วงที่สนใจพุทธศาสนาใหม่ๆ ก็ปักใจเชื่อว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้แน่ๆ ตอนหลังมาก็ อันนี้ไม่ใช่แน่ อันนี้ก็ไม่เชิง ก็เป็นแค่การตีความสรุปของใครบางคน หรืออันโน้นยิ่งแล้วใหญ่ เป็นการที่เอาคำพูดของตัวเองไปใส่พระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า โดยไม่มีมูล ไม่มีความจริงใดๆทั้งสิ้นเลย

อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับกันตามจริง ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจพอสมควร ที่เราอยู่ในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้าคอยชี้ว่า อะไรถูกอะไรผิด แต่นั่นแหละก็เป็นสิ่งที่แลกกัน นั่นคือในยุคไอทีของเรา ที่เราจะสามารถศึกษาค้นคว้าคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า หรือคำสอนที่ตกทอดมาสู่ครูบาอาจารย์ที่รู้แจ้งเห็นจริงได้ง่ายดายเหลือเกินครับ อยู่กับบ้าน ใช้ปลายนิ้วกระดิกไม่กี่ทีนี่ เราได้หลักธรรมคำสอน ได้หลักวิธีปฏิบัติมามากมายก่ายกอง ซึ่งอันนั้น บางทีพูดตรงๆอาจจะต้องอาศัยแบล็กกราวนด์ของเรา

ซึ่งแบล็กกราวนด์ของเราหมายถึง ของเดิมที่ผูกมาในอดีตตามแนวทางของท่านไหน และแนวทางปัจจุบันว่า เราอ๋อ พร้อมพอที่จะศึกษา มีกำลังใจที่จะกระตือรือร้นแค่ไหนด้วยนะครับ แต่ไม่แนะนำเลยที่ว่า จะให้เราแส่ส่ายไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่หยุดว่าเป็นของครูบาอาจารย์ท่านใด เรารับหมด อันนี้ก็ไม่เหมาะเหมือนกัน เพราะจะพบว่ากี่ปีๆผ่านไป เราไม่ถึงไหนซักที มันย้อนกลับไปนับหนึ่งใหม่อยู่นั่นแหละ นับหนึ่งกับคนโน้นที คนนี้ที



๒) ถ้าต้องอยู่กับคนที่มีบุญคุณ แต่เขาเป็นคนขี้หงุดหงิด อารมณ์ขึ้นลงง่าย ชอบโมโห และชอบด่าว่าคนใกล้ตัวแรงๆในเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นเรื่อง แม้บางครั้งเขาไม่ได้ว่าเรา แต่อากัปกิริยาหรือเสียงที่ว่าคนอื่นนั้น ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจมากๆ ทำได้แค่เดินหนี แต่ก็เป็นไปไม่ได้ทุกครั้ง เราควรจะหลบหลีกหรืออยู่ร่วมกับคนแบบนี้ได้อย่างไร?

คือเราอย่าไปตั้งความคาดหวังหรือตั้งเป้าไว้ในแบบที่เป็นไปไม่ได้ คือการอยู่ร่วมกับใครสักคนหนึ่งนี่นะ มันบอกได้อย่างหนึ่งว่า มันมีผลของกรรมที่จะต้องรับอย่างไร

ถ้าต้องอยู่กับคนขี้หงุดหงิดง่ายและก็ชอบมีวาจาเสียดแทง ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็เกือบทุกคนในโลกนั่นแหละ ที่จะต้องเคยอยู่ร่วมกับคนประเภทนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีในช่วงชีวิตหนึ่ง มันต้องมีแหละ มันไม่ใช่บังเอิญ มันต้องมีสายสัมพันธ์ระหว่างญาติ ระหว่างคนใกล้ชิดสนิท หรือคนที่มีอิทธิพลทางใจกับเรา มันส่องสะท้อนว่า เราก็เคยทำกับใครบางคนหรือหลายๆคนมาแบบนี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเจอหรอก ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะอยู่ๆก็ถูกจับตัวมาวางไว้ในที่ที่จะได้รับความร้อนจากคนขี้หงุดหงิด ไม่มีความบังเอิญหรอก แต่ในที่สุดแล้ว ทุกอย่างมันจะต้องต่างไป ความไม่เที่ยง ความไม่อาจจะอยู่ยั้งค้ำฟ้า ของคนเรา ทำให้รู้ได้ว่า ทุกอย่างจะต้องต่างไป ไม่ช้าก็เร็วแหละ

การที่เราไปตั้งความคาดหวังกับตัวเองว่า อยู่ใกล้กับคนขี้หงุดหงิดแล้ว เราจะไม่ได้รับความกระทบกระเทือน ไม่ได้รับความกระทบกระทั่งทางใจ หรือเราจะไม่พลอยหงุดหงิดตามนี่ อันนี้ไม่ใช่วิสัย มันเป็นการตั้งเป้าผิดๆ ซึ่งเราจะไม่มีวันสมหวัง

แต่ถ้าตั้งเป้าไว้ว่า การอยู่กับคนขี้หงุดหงิดจะเป็นแบบฝึกหัด เป็นบทเรียน หรือว่าเป็นหลักสังเกต เป็นจุดสังเกตว่าใจของเรามันพลอยร้อนรน หรือว่าเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาได้บ่อยๆ คือตั้งเป้าไว้ต่างกัน คือไม่ตั้งเป้าไว้ว่าเราจะไม่หงุดหงิดตามคนประเภทนี้ แต่ตั้งเป้าเอาไว้ว่าเราจะอาศัยเขาเป็นเครื่องฝึกหัด สังเกตดูว่า เรามีความขัดเคืองตามเขา ตามเสียง ตามสีหน้า ตามอากัปกิริยาที่มีความร้อน ที่เต็มไปด้วยความร้อน แล้วนี่ใจของเรามันลุกเป็นไฟตามเขา หรือมีความขัดเคือง มีความระคายได้แค่ไหน

เมื่อสามารถสังเกตว่าใจของเรามีความร้อนได้แค่ไหน มีความระคายได้เพียงใด เราก็จะค่อยๆเป็นผู้สังเกตไปด้วยว่า ความร้อนแบบนั้นมันอยู่ได้นานแค่ไหน ซึ่งถ้าเราสังเกตอยู่เรื่อยๆทุกวัน เราจะพบว่า สติที่เราสั่งสมใช้ไปในการสังเกตนี่นะ มันจะค่อยๆแก่กล้าขึ้นมา

เอาอะไรมาวัดความแก่กล้า เอาตัวที่มันเห็นโทสะ เห็นความหงุดหงิด เห็นความขัดเคืองที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งนั่นแหละ มันอยู่ได้ไม่นาน อยู่ได้ในระยะเวลาที่สั้นลงเรื่อยๆ หรือการที่เราสามารถสังเกตจิตสังเกตใจของเราในระหว่างโมโหได้ออก เวลาที่มีของกระทบกระทั่งพวกนี้เข้ามานี่นะ เรามองออกได้ว่า จิตของเราไปผูกไปยึดหรือว่าเก็บมาคิดต่อ เก็บมาขัดเคืองมากน้อยเพียงไร พูดง่ายๆว่า เห็นอาการผูกพันทางใจกับเสียง หรือว่าสีหน้าของเขา

ถ้าหากว่าเราเริ่มรู้สึกว่าการที่เราอยู่ใกล้คนที่มีแต่โทสะ มีแต่ควันไฟ มันทำให้เห็นทั้งความไม่เที่ยง และเห็นทั้งอาการผูกของทั้งจิตทั้งใจของใจเรากับสิ่งร้อนๆมันต่างไป มันเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆตามความสมัครใจ ตามความกระตือรือร้นที่จะสังเกต จะนึกขอบคุณเขาขึ้นมาในวันหนึ่ง วันหนึ่งที่เราเก่งพอที่จะเห็นความขัดเคืองของตัวเอง เก่งพอที่เห็นเป็นเพียงสภาวะ สภาวะหมายความว่าอะไร? หมายความว่าสีหน้าสีตาของเขา หรือว่ามีสุ่มเสียงของเขามากระทบอยู่แล้วเร่าๆนั่นแหละ แต่ความขัดเคืองนั้น แสดงทั้งความไม่เที่ยง แสดงทั้งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนออกมาชัดขึ้นทุกที มันได้ความรู้ มันได้ปัญญา มันได้สติอยู่กับตัวเราเอง

นี่คือหลักการง่ายๆเลย ที่จะแปรเปลี่ยนของลบให้กลายเป็นของบวก เปลี่ยนความรู้สึกแย่ๆกับใครบางคนให้เป็นความรู้สึกที่ดีกับเขา แล้วใจที่เกิดความรู้สึกดีๆกับเขาจริงๆ มันจะเป็นใจที่มีเมตตาอย่างแท้จริง ทุกครั้งที่เกิดความขัดเคืองเราจะยิ่งรู้สึกว่า เออ จะมีโอกาสฝึก โอกาสฝึกเรื่อยๆนี่จะเปลี่ยนเป็นความขอบคุณขึ้นมา อันนี้คือใจความสรุป แต่ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ห้ามไม่ให้ตั้งเป้าไว้ว่าจะอยู่กับคนแบบนี้โดยไม่หงุดหงิด แต่ให้ตั้งเป้าไว้ว่าเราจะหงุดหงิดโดยมีสติรู้ว่าในแต่ละครั้ง ความหงุดหงิดมีอะไรให้เราดูบ้าง ตามหลักการเจริญสตินะ แล้วในที่สุดเราจะเป็นผู้มีความเมตตาออกมาอย่างเหลือเชื่อทีเดียว เป็นความมหัศจรรย์ของการเจริญสติ



๓) หนูรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งมาสามปีแล้ว ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาก็บอกรักหนูอยู่ทุกครั้งที่คุยกัน แต่ตอนหลังหนูมารู้ว่า เขาหมั้นได้สองปีแล้วโดยวิธีคลุมถุงชน หนูตกใจและเสียใจมากที่เขาไม่เคยบอกหนูเรื่องนี้ หนูคิดว่าตนเองกลายเป็นมือที่สามของเขาไป โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย หลังจากที่หนูรู้เรื่อง เขาก็ยังไม่เลิกโทรมา เขารั้นจะเป็นแฟนหนูให้ได้ โดยเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เขาเลิกกับคนนั้นแล้ว แต่ยังไม่ขาดเสียทีเดียว เพราะคงค้างทางผู้ใหญ่ เขาบอกว่าเขาไม่ได้รักคนนั้น เขาบอกให้หนูรอเขา เพราะเรื่องกำลังจะจบแล้ว หนูไม่รู้จะทำอย่างไร ใจหนูก็รักนะ แต่ก็ไม่อยากขัดศีลธรรม ผู้หญิงคนนั้นก็รักเขามากเหลือเกินค่ะ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี?

เรื่องประเภทนี้นี่มีบ่อยมากและเพิ่มขึ้นทุกปีเลย เพราะว่าคนเรามีความละอายต่อบาปน้อยลง และมีความเกรงใจคนอื่นน้อยลง จะเอาแต่ใจตัว จะเอาแต่สิ่งที่ตัวเองจะได้มาแล้วมีความสุข ไม่สนใจว่าคนอื่นเขาจะเป็นทุกข์ขนาดไหนนะ แล้วเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ แต่ก็ทำกันเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆเลยในปัจจุบันนี้ แล้วก็อ้างกับตัวเองว่า ถ้าทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่หลอกไม่โกหกก็ไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการน่ะสิ นี่คิดกันแค่นี้แหละ คิดกันสั้นๆ

ท่องไว้นิดหนึ่ง ตรงเรื่องของความรัก เรื่องของการพยายามที่จะจับคู่ครองเรือนอยู่ด้วยกัน มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูกในเรื่องของความชอบใจ คือเราจะไปบอกไม่ได้ว่า นี่เป็นความผิดของเธอนะที่ไม่มารักฉัน ไม่มาชอบฉัน ทั้งๆที่ฉันดีกับเธอขนาดนี้แล้ว ฉันตั้งใจจริงขนาดนี้แล้วนี่นะ แต่ในขณะเดียวกันในทางตรงกันข้าม เราก็ไม่สามารถจะไปบอกได้ว่า การที่เขามีคู่แล้วหรือมีคนรักแล้ว แล้วเราเกิดไปมีความชอบ เกิดไปรักเขามันมีความผิด มันห้ามไม่ได้ มันเป็นปฏิกิริยาทางใจ

หลักการของการเจริญสติก็บอกไว้ว่า เมื่อเห็นรูปที่ชอบใจ มันก็เกิดความติด มันก็เกิดความยินดี เมื่อได้ยินเสียงที่น่าชอบใจน่าใคร่ มันก็เกิดความติด มันก็เกิดอาการผูกโยงระหว่างใจเรากับวัตถุที่น่าติดใจอันนั้น อันนี้ไม่ใช่ความผิด แต่สิ่งที่จะวัดว่าผิดหรือถูก เราเอาเรื่องของศีลธรรมมา

แล้วศีลธรรมบอกไว้ว่าอย่างไร? ถ้าหากมีการประกาศต่อคนรู้จักหรือสาธารณชนให้เป็นที่รับรู้ว่า ได้มีการหมั้นหมาย มีการจองตัวแล้ว แล้วแต่นี้ไปเราไปยุ่งเกี่ยว มีเพศสัมพันธ์กับคนประเภทนั้น นั่นถือว่า ผิดศีลธรรม

แต่ถ้าหากว่าเราไม่รู้ คือตั้งต้นขึ้นมาเราไม่ได้พยายามที่จะเข้าไปเป็นมือที่สาม ด้วยความไม่รู้นั้น ด้วยการไม่ต้องอาศัยทางใจที่จะเข้าไปเป็นมือที่สามนั้น เราจะยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่ได้มีความผิด ไม่ได้มีอะไรที่ต้องมาตำหนิตัวเองได้เลยว่า นี่เราเป็นคนบาป เราเป็นคนผิด แต่คนที่รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าอะไรเป็นอะไร แล้วยังไม่ยอมบอก นั่นแหละผิดเต็มประตู แล้วยังจะได้รับผลของกรรมคูณสองเข้าไป ทั้งโกหกด้วย และหลอกลวงให้เราเข้าใจผิดมาเป็นสิทธิ์ของเขาด้วย

ในกรณีของน้องนี่นะ ถ้าเป็นเรื่องจริงว่าเขาจะเลิกรา ไม่มีความต้องการที่จะข้องเกี่ยวกับฝ่ายหญิงแล้ว อันนั้นก็โอเค ก็มีความจริงอยู่ตรงนั้นบ้าง มีอะไรดีๆให้รู้สึกได้บ้าง ส่วนที่ว่าเขาเป็นที่รักของฝ่ายหญิงมากมายแค่ไหน ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปจัดการ ไม่ได้ไปบงการให้ฝ่ายหญิงเขามารู้สึกอย่างไรกับผู้ชาย ตรงนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของเรา ถ้าหากว่าเขาจะทิ้งกัน มันเป็นเรื่องของภัยเรื่องของเวรในส่วนของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง มันไม่เกี่ยวกับความต้องการของเราที่ไปให้เขาเลิกกัน หรือให้เขามาหาเรานะครับ ตรงนั้นไม่ใช่ความตั้งใจของเรา

เรามีจุดยืนอยู่แค่ตรงนี้แหละ เราจะไม่เป็นฝ่ายที่สนับสนุน ไม่เป็นฝ่ายที่ให้ความหวังใดๆที่จะให้เขามาหาเรา ถ้าเขามาเอง เป็นความรับผิดชอบของเขา เป็นกรรมของเขา ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรา แต่ถ้าสำรวจเข้าไปที่ใจเราแล้วนี่ มีแม้แต่นิดเดียวที่เราอยากให้ทั้งคู่เลิกรากัน หรือแม้แต่ว่าเอาเราเข้าไปมีเอี่ยวอยู่ด้วยนะ ที่จะดึงเขาเข้ามา อันนี้ พูดง่ายๆว่าเราเริ่มจะมีภัยมีเวรติดอยู่กับฝ่ายหญิงที่เขาเสียอกเสียใจแล้วนะ

เรื่องของความรัก ย้ำอีกทีหนึ่งว่า ไม่มีความผิดไม่มีความถูกในกรณีที่ใครจะรู้สึกรักใคร แต่มันมีผิดมีถูกตอนที่มีการประกาศ มีการจองตัวกันแล้ว แล้วเราน่ะรู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าเขามีการจองตัวกันแล้ว แล้วไปยุ่งเกี่ยวด้วย นั่นแหละนะ ผิดศีลผิดธรรมแล้ว แต่ถ้าพ้นไปจากนั้น เราก็ยังจะต้องดูนะว่าใครจะเจ็บแค่ไหน หรือว่ามีใครที่ตั้งใจจะแย่งของของอื่นเขามาเพียงใด เรียกว่าก็ต้องมีผลของกรรม อันเป็นโทษานุโทษที่เหมาะสมของแต่ละคนไป

เรื่องของความรัก เรื่องของความเกี่ยวพันระหว่างชายหญิง หรือที่เราเรียกกันว่าเป็นเรื่องชู้สาวนี่ มันเป็นความวุ่นวาย มันเป็นความไม่ลงตัว มันเป็นความไม่สมบูรณ์ที่มีมาแต่ไหนแต่ไร แล้วเราก็ยังต้องวนเวียนกันไปอย่างนี้ ถ้าหากว่ายังไม่สามารถตัดใจจากการมีความรักและการครองคู่ได้นะ

สรุปนะครับ อยู่อย่างมีศีลมีธรรมนี่ก็คือ อยู่อย่างคนที่คิดว่า สำรวจตัวเองว่า ใจเรานี่ไปมีเอี่ยวกับการแย่งชิงของของคนอื่นเขามาหรือเปล่า ถ้าไม่มีเอี่ยว ถ้าไม่มีความตั้งใจอยู่เลย ก็สบายใจ เราก็อยู่ในส่วนของเราไป แต่ถ้าเขาเลิกกันเอง แล้วมาหาเรา อันนั้นก็ว่ากันไปอีกทางหนึ่ง


เอาล่ะครับ คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น