สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันศุกร์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการให้เข้าไปที่ http://www.Facebook.com/HowfarBooks นะครับ
หลายสิ่งหลายอย่างต่างไปให้เห็นได้เรื่อยๆ ใครมองเห็นความไม่เที่ยงได้มากกว่าคนอื่น ใจก็พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงมากกว่าคนอื่นครับ เริ่มคำถามวันนี้กันเลยนะ
๑) พี่เชื่อในเรื่องดวงไหม การที่คนเราจะมีโชคหรือดวงที่ดีได้ ขึ้นอยู่กับอะไร? สามารถแสวงหาได้เองไหม? ผมเห็นบางคนทำงานหาเงินหาทอง ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรวย แต่บางคนไม่ได้ทำอะไร อยู่ๆก็มีโอกาสเข้ามาในชีวิต ทำให้ตัวเองกลายเป็นเศรษฐีเสียอย่างนั้น หรือว่ามันขึ้นอยู่กับช่วงเวลา หรือตามที่หมอดูชอบดูกันว่า อายุเท่านั้นเท่านี้ถึงจะดวงดี มีโชค หรือว่ามันขึ้นอยู่กับกรรมเก่า? แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่ากรรมเก่าผมทำอะไรมามากน้อยแค่ไหน ในชาตินี้ผมต้องทำมากน้อยแค่ไหน? ไม่ได้ถามเพราะต้องการที่จะรวยหรอกครับ แต่ถามเพราะอยากรู้จริงๆ
เอาละ ถามเรื่องความเชื่อก็บอกว่า ไม่ได้เชื่อก็แล้วกัน แต่ว่าศรัทธาเลยนะ เปลี่ยนสักนิดหนึ่ง เปลี่ยนจากคำว่า ถามว่าพี่เชื่อเรื่องดวงไหมนี่ ถามว่าเชื่อเรื่องวิบากกรรมไหม อันนี้ชัดเจนเลยนะ ศรัทธาในเรื่องของวิบากกรรม ถ้าถามถึงเรื่องความเชื่อส่วนตัวนี่ ก็ได้มีการพิสูจน์ พิสูจน์ทราบหลายๆเรื่อง ด้วยตนเอง ด้วยชีวิตของตัวเอง เอาชีวิตของตัวเองเป็นตัวตั้งว่า นี่มันคือวิบากหรือเปล่า รูปร่างหน้าตาแบบนี้ เพศแบบนี้ สติปัญญาแค่นี้ ฐานะแค่นี้ แล้วก็เจอชะตากรรมอะไรแบบต่างๆ แบบที่มันบีบคั้นให้ต้องเข้าไปจนตรอกบ้าง บีบคั้นให้เข้าไป ซวย น่ะ คือพูดง่ายๆเจอเรื่องร้ายๆ หรือว่าเรื่องไม่เกี่ยวกับเรา แต่มันกลายเป็นเรื่องของเรา หรือบางช่วงบทวิบากดีมันจะให้ผลขึ้นมา มันเป็นความประจวบเหมาะอะไรหลายๆอย่าง คือถ้าหากว่าพูดถึงเรื่องของวิบากกรรมให้ผลนี่ มันมีวิธีพิสูจน์อยู่หลายๆวิธีเลย ลองเข้าไปอ่าน มีชีวิตที่คิดไม่ถึงในเว็บ http://www.dungtrin.com อ่านทั้งเล่มได้ฟรีเลยนะ
ผมจะตีโจทย์ในเรื่องของวิบากกรรมนี่ มาเป็นเรื่องของคะแนน คะแนนในชีวิตนี้ว่า เรารู้สึกอย่างไรในช่วงต้นๆของชีวิต ไปเจอครูดี หรือไม่ดี มีพ่อแม่ที่เอาใจใส่แค่ไหน ทิศทางของชีวิตมันเป็นไปในทางที่จะทำให้เชื่อเรื่องการเบียดเบียน หรือว่าเชื่อเรื่องการเกื้อกูลอะไรแบบนั้น นับเป็นคะแนนหมดแล้ว ก็มาพิสูจน์ทราบกันด้วยเรื่องของการทำกรรมใหม่ ว่ามันเข้ากับของเดิม หรือว่ามันสวนทางกับของเดิมนะ ความสังเกตของคนที่เห็นว่า คนรู้จักบางคนพยายามแทบตาย ทำดีแทบตายแต่ไม่ได้ผลดี ส่วนบางคนมันชั๊วชั่ว มันก็เสวยสุขเอา เสวยสุขเอาอยู่นั่นแหละ นี่มันทำให้เราไม่อยากจะเชื่อเรื่องกรรมวิบากกัน ธรรมชาตินี่ใจร้ายนะ กรรมวิบากนี่เป็นของจริงที่สุด เป็นกฎเหล็กที่มันเป็นอมตะที่สุด แต่ว่าเขามีวิธีการให้ผล จะช้าเร็วต่างกัน คือไม่ได้ให้ผลทันที บางทีนี่กว่าจะเห็นผลชัดเจน มันข้ามชาติ ไปลบความจำของทุกคนไว้หมดตั้งแต่เกิด ขั้นตอนเก้าเดือนที่อยู่ในท้อง เป็นภวังค์เสียเยอะ แล้วก็ออกมาก็ร้องอุแว้ๆอยู่กับอึกับฉี่ตัวเอง แล้วก็จะต้องร้องไห้เรียกหา อะไรแบบเบลอๆมันไปลบความจำเสียหมดแหละ ที่เคยทำอะไรมาไว้ นี่ธรรมชาติเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เราเชื่อเรื่องกรรมวิบากนะ เขาตั้งใจที่จะทำให้เราไม่เชื่อ เริ่มต้นตั้งแต่ลืมก่อนเลย เสร็จแล้วเกิดมานี่ก็มาเห็นบางคนดีกว่าเรา เหนือกว่าเรา บางคนแย่กว่าเรา โดยที่ต่างคนต่างเหมือนกับไม่ได้ทำอะไรเลย เกิดมาก็อยู่กับพ่อแม่ที่ร่ำรวยเงินทอง เหมือนคาบช้อนเงินช้อนทองออกมาจากท้องแม่อยู่แล้ว บางคนก็อยู่กับผ้าขี้ริ้วมาตั้งแต่เด็กจนแก่ ไม่ได้ไปไหน ไม่ว่าจะทำอะไรอย่างไร บางคนพยายามทำตัวดีอย่างไรก็เจอแฟนไม่ดีอยู่ดี มันทำให้กำลังใจของเราถดถอย ทำให้เราไม่อยากเชื่อว่าวิบากกรรมมีจริง ทีนี้พอมาเจอหมอดู หมอดูที่ทั่วโลกเลยนะไม่ว่าจะเป็นชาติไหนภาษาไหน ก็มีหมอดูกันทั้งนั้นแหละ และก็ใช้คำง่ายๆบอกว่ามันเป็นเรื่องของดวง มันเป็นเรื่องของฤกษ์เกิด มันเป็นเรื่องของดาวที่กำหนดชะตาชีวิตไว้ และศาสตร์เกี่ยวกับการดูหมอก็มีหลากหลาย บางศาสตร์นี่แม่นถึงขนาดจับวาง บอกได้เป็นวินาที บอกได้เป็นนาทีเลยว่า ถ้าหากคนคนหนึ่งไปอยู่ ณ ที่นั้น ที่นี้ จะมีการตัดสินใจที่เป็นกุศล หรือว่าอกุศล
ในสมัย มันมีอยู่ในบันทึกของไทย รัชกาลอะไรที่ผมจำไม่ได้ หมอดูแม่นขนาดถึงที่บอกได้ว่า หนูตกลงมาตายกี่ตัว ทั้งๆที่ยังไม่เห็นนะ ยังมองไม่เห็นว่ามีอะไร คือกษัตริย์จะลองภูมิดูว่า คือพระองค์เห็นว่ามีหนูตกลงมาตายจากเพดาน ท่านก็สั่งให้คนเอาขัน หรือเอาอะไรมาครอบไว้ แล้วให้หมอดูมาทายว่ามีอะไรอยู่ในนี้ หมอดูก็บอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตห้าตัว สี่ตัวหรือห้าตัว ผมจำตัวเลขไม่ได้ชัด คือหลังจากที่คำนวณจับยามสามตา หรือใช้หลักวิชาอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ตอนแรกกษัตริย์ กับข้าราชบริพารก็หัวเราะกันบอกว่า รู้แล้วว่าทายผิด เพราะว่าเห็นกับตาว่ามีหนูตกลงมาตายตัวเดียว พอเปิดขันออกมาปรากฏว่ามีห้าตัวจริงๆเพราะว่าหนูตัวนั้นมันท้อง สิ่งที่อยู่ในท้องมันก็ตรงกับ คือบวกกันนี่แล้วมันได้สิ่งมีชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่ตายไปแล้วอย่างเดียว อันนี้เป็นเกร็ด แล้วทุกวันนี้ก็ยังมีศาสตร์ที่มันแม่นยำอะไรขนาดนี้ เพราะฉะนั้นคือเรื่องของหมอดู เรื่องของดวงนี่ มันเลยกลายเป็นของตั้งแต่ ที่ทำให้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองระดับกษัตริย์ ระดับประเทศชาติก็ยังมีการคำนวณดวงเมืองอะไรกัน แล้วก็มันจะมีประเภทหมอเดา ๙๙ เปอร์เซ็นต์ของหมอดูที่อยู่ในท้องตลาดนี่ มันครึ่งรู้ครึ่งเดา มันก็จะกระเดียดไปทางเดาเสียมาก เพราะฉะนั้น ศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของโหร เกี่ยวกับเรื่องของหมอดู มันเลยกลายเป็นเรื่องของการหลอกลวงกันไป หรือต่อให้แม่นจริง หมอดูก็ไม่สามารถบอกได้ตามตำราว่า ไอ้ชะตาที่มันเกิดขึ้นในแต่ละช่วงชีวิต มันมาจากกรรมแบบไหน เคยไปทำอะไรมา ฉะนั้นการไปดูหมอมันก็เลยกลายเป็นเรื่องของการงมงาย คือไม่เข้าใจเหตุไม่เข้าใจผล รู้แต่ว่า เออ มีอะไรบางอย่างที่บีบบังคับหรือว่าควบคุมชะตาชีวิตของเราไว้จริงๆ มันจะต้องเจอแบบนั้นแบบนี้ นี่ถ้าได้คำอธิบายแบบพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะว่า กรรมเก่านี่มันให้ผลจริงๆ มันบีบคั้นแบบที่ว่า บางชนิดจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ จะต้องตายไม่ดีแน่ๆ จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีซ้ำซากแบบนั้นแบบนี้ เพราะว่าเคยไปทำเขาไว้มาก เคยไปทำเขาไว้ทั้งชาติในลักษณะนั้น แต่กรรมส่วนใหญ่ที่คนเราทำกันมา มันมียืดหยุ่น คือทำแบบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวดีบ้าง เดี๋ยวร้ายบ้าง ไม่ได้ใจร้ายอย่างเดียว ไม่ได้ใจดีอย่างเดียว เวลากรรมเผล็ดผลมันก็เลยมีโอกาสยืดหยุ่นให้แก้ตัว ถ้าหากว่าเรามีพลังของกรรมใหม่มากพอ มีความหนักแน่น มีความรุนแรง มีความใหญ่ ที่จะเอาชนะวิบากเก่าได้ มันก็จะสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากดีเป็นร้าย หรือว่าเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีนะ
คำถามที่ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่ากรรมเก่าผมเคยทำอะไรมามากน้อยแค่ไหน? คำถามนี้ลองรบกวนให้เข้าไปอ่านดู ‘มีชีวิตที่คิดไม่ถึง’ ในเว็บ http://www.dungtrin.com ก็จะมีหลักวิธี มีหลักเกณฑ์ ให้ค่อนข้างละเอียดเลย เพราะพูดกันแค่ครึ่งชั่วโมงไม่จบหรอก เรื่องของวิบากกรรม และแม้แต่หนังสือมีชีวิตที่คิดไม่ถึง ก็พูดไม่ได้ละเอียดมากถึงขนาดที่จะครอบคลุมกับทุกคน แต่ให้หลักการคร่าวๆไว้ เราจะสังเกตชีวิตอย่างไร ตีความตีค่าออกมาเป็นแต้มได้อย่างไร และก็จะทำกรรมใหม่แบบไหน ในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล หรือในเรื่องของการเจริญสติให้คะแนนนี่มันเกินกัน และวัดกันที่ความรู้สึกว่าชีวิตมีความสุขมากขึ้นนะ
๒) ได้อ่านหนังสือ ‘๗ เดือนบรรลุธรรม’ เกี่ยวกับเรื่อง ‘ขันธ์ ๕’ ที่บอกว่า แต่ละกองขันธ์นั้น หากเรามีสติมองเห็นพวกมันตามที่เป็นอยู่จริง ก็จะไม่เกิดอะไรขึ้น หนึ่งขันธ์ปรากฏตามเหตุปัจจัยและดับลง ไม่มีใครทุกข์ ไม่มีใครเดือดร้อน ไม่มีใครแฝงอยู่ตรงไหนของขันธ์ เช่น เมื่อเกิดความเจ็บใจ ก็เห็นแต่เวทนา สัญญา สังขารมันเจ็บใจ พอเวทนา สัญญา สังขาร ดับไปตามธรรมชาติ ก็เป็นอันจบ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ใคร คำถามคือ ใครไหนเป็นผู้เจ็บใจ หรือใครไหนเป็นผู้เจ็บใจต่อ? รู้สึกว่าทำใจให้คิดอย่างที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้
ที่อ่านแล้วเข้าใจ คือมันเข้าใจชั่วขณะที่อ่านแล้วเข้าใจ แต่ยังเป็นระดับความคิด อยากทราบว่ามีขั้นตอนอย่างไร ที่จะให้เกิดปัญญาเห็นตามได้ ตรงที่มาถึงขั้นของขันธ์ ดูขันธ์นี่มันแอดวานซ์แล้วนะ ไม่ใช่ขั้นของความคิดแล้วนะ จำไว้นะว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องขันธ์ ๕ สำหรับผู้มีสมาธิมากพอที่จะเห็นกายใจ โดยความเป็นสภาวธรรมได้แล้ว ไม่ใช่ผู้ที่ยังคิดๆอยู่หรืออยากจะหายเจ็บใจ แล้วแกล้งมองว่ากายใจเป็นขันธ์ ๕ อย่างนี้มันไม่ได้ผลอะไรขึ้นมา ได้ผลนิดหน่อย ตอนที่รู้สึกตามได้แว็บๆว่า เออ จริงด้วย ลมหายใจก็ไม่เที่ยง สุขทุกข์ก็ไม่เที่ยง ความหมายจำ ความรู้ ความสำคัญเอา ที่ใจมันสำคัญมั่นหมายว่า อะไรเป็นอะไรนี่ ล้วนแล้วแต่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนึง แล้วเดี๋ยวมันก็ดับไป ช่วงที่เรา สายตาของเรายังจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือที่เป็นธรรมะ แล้วก็ใจของเรารับ ข้อความ รับเนื้อสารที่ปรากฏเป็นตัวหนังสือนี่ เกิดความเข้าใจขึ้นมาว่า เออ จริงๆนะ ไม่มีอะไรในตัวเราสักอย่างเดียวที่มันเที่ยง ต่างฝ่ายต่างกำลังแสดงความไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น ใจมันก็คลาย ใจมันก็เบิกบาน ใจมันก็เลิกยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาชั่วขณะ แต่ถ้าหากว่าคุณมีความเจ็บใจ มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่จริงๆไอ้ความยึดมั่นถือมั่น ไอ้ความเจ็บใจนั้นจะกลับมาเล่นงานทันทีที่คุณละสายตาจากหนังสือธรรมะ
มันเหมือนเมื่อกี้เราแกล้งคิดไป มันเหมือนเราแกล้งปลอบใจตัวเองว่า เออ มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวตน มันไม่ใช่เรามันไม่ใช่เขา แต่พอสายตาละจากหนังสือธรรมะปุ๊บ ใจยึดเลย ใจมันเจ็บเลย มันเหมือนมีอะไรมาบีบคั้นหัวใจทันที นี่ รู้สึกว่าของจริงมันเป็นตัวนั้นมากกว่า ฉะนั้นเราทำใจไม่ได้ด้วยการอ่านหนังสือ เราไม่สามารถทำความเข้าใจธรรมะขั้นสูง แล้วจะสามารถคลายจากอาการยึดมั่นถือมั่นได้ ยกเว้นแต่ว่าใจเรามีความโน้มเอียงที่จะปล่อยวางความเป็นขันธ์ ๕ ออกจากใจได้จริงๆอยู่แล้ว มีความสามารถที่จะบรรลุมรรคผลนั่นเองน่ะ พูดง่ายๆนะ ถ้าหากเป็นบุคคลประเภทนั้น ก็ถือว่า มีวาสนา มีโชคดีไป ที่ถ้าอ่าน หรือว่าถ้าฟังธรรมะ ในแง่ของความไม่เที่ยง หรือว่าความเป็นอนัตตา แล้วสามารถหลุดพ้นได้ มีจิตหลุดพ้นได้
แต่เมื่อเรายังมีความผูกยึดอยู่ เราต้องยอมรับตามจริงว่า อะไรๆมันต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าถามว่าทำอย่างไร ถึงจะทำใจได้ง่ายๆ เพราะว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องคอขาดบาดตายของชีวิตนะ เรื่องการปล่อยวางนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เป็นเรื่องของการเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตทีเดียว มันไม่ใช่แค่อุบายอะไรตื้นๆ แล้วจะทำให้จิตใจของเราแตกต่างไปจากเดิม เป็นคนละคน ส่วนใหญ่จะเข้าใจกันผิดและก็มักจะมี คืออย่าง ‘๗ เดือนบรรลุธรรม’ นี่นะ ผมเอาชื่อ ๗ เดือนเป็นตัวตั้ง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า ใครก็ตามจะหญิง จะชาย จะอายุแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากว่าได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ นะ อย่างเต็มที่ ตามที่พระองค์ตรัส อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ๗ ปีอย่างช้าเลย ช้าที่สุดเลย ได้เป็นพระอนาคามี ไม่ใช่ได้เป็นพระโสดาบัน หรือพระสกคาทามีนะ อย่างช้าที่สุดเลย ได้เป็นพระอนาคามี และท่านไม่ได้บอกด้วยนะว่าจะบวชอยู่หรือเป็นฆราวาสอยู่ ผมก็เอาตัวนี้มาเป็นตัวตั้งนะ อย่างช้าสุด ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน และก็อย่างต่ำ อย่างน้อยที่สุดนี่ ๗ วัน ถ้าเจริญสติตามหลักของสติปัฏฐาน ๔ อย่างเต็มที่แล้วเนี่ย บรรลุธรรมแน่นอน และในเรื่องนี่ผมก็พยายามจาระไนนะว่า ตัวละครของเรื่อง เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่ง ตัวละครของเรื่องนี่ตื่นขึ้นมาตี ๔ ทุกวัน เพื่อที่จะมานั่งสมาธิ มาสวดมนต์ มาเดินจงกรม มาทำตอนเช้าให้เป็นช่วงเวลาของพลังแห่งสติ เป็นขุมพลังแห่งสติ
เสร็จแล้วก็มีคนอ่านชอบมาอ้างกัน โอ้นี่ ๗ เดือนเข้าไปแล้ว ๗ ปีเข้าไปแล้วก็มี ยังไม่ได้แบบตัวละครสักที ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ นี่ถามตัวเองนะ ว่าทำมาตามลำดับหรือเปล่า ตื่นขึ้นมาตี ๔ เพื่อที่จะเจริญอานาปานสติไหม ระหว่างวัน จิตใจมีความผูกพันอยู่กับการเห็นกายเห็นใจ โดยความเป็นของไม่เที่ยงมั้ย ทำเป็นขั้นเป็นตอน ทำตามลำดับ ทำให้มันกลมกลืนอยู่กับชีวิตจริงๆ ของจริงๆ ในระหว่างวันหรือเปล่า ถ้าหากว่าเรามีความเข้าใจมากพอ ความอดทน ความมีมานะ ความมีขันติ มันจะเป็นไปเอง มันจะไม่มีอาการเร่งร้อน มันจะไม่มีอาการเร่งรีบ แต่จะมีอาการว่าประมาทไม่ได้ ใจนี่จะต้องเอาตามสูตรเลย คือกายใจเกิดอะไรขอให้ได้รู้ ไม่ใช่ขอให้ได้คาดหวังว่า ใจเราจะหายเจ็บได้ หรือว่าตัวเราจะได้บรรลุมรรคผล เมื่อนั่นเมื่อนี่นะ การที่เราสามารถเห็นอย่างชัดเจน นี่ตามรายละเอียดในตัวละครที่บรรยายไว้แล้วนะ บอกว่าถึงจุดๆหนึ่ง มันมีแต่ความสุขที่จะมองเห็นความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตนของกายใจ ในส่วนต่างๆ ในรายละเอียดปลีกย่อย และในภาพรวม มันไม่มีความคาดหวังเหลืออยู่เลยว่า เราจงหายเจ็บใจ เราจงได้บรรลุมรรคผล ถึงตรงนั้นแหละ ถึงตรงที่มีสติเต็มขั้นอย่างนั้นแหละ เรียกว่าเป็นผู้พร้อมที่จะบรรลุมรรคผล เป็นผู้พร้อมที่จะถอนความเจ็บใจออกไปจากชีวิตได้นะครับ
๓) ถ้าเราแผ่เมตตาให้วิญญาณที่เราไม่รู้จักเขาเลย เขาจะได้รับไหมคะ? ทำได้หรือเปล่า? คือดูรายการหนึ่งแล้วสงสารเขามาก โดนข่มขืน ขังเอาไว้ จะหนีก็ตกลงมาตายอีก แล้วอยากได้ตัวตายตัวแทนประมาณนั้น เลยอยากแผ่บุญให้เขา เขาจะได้ไม่ทรมาน หรือทรมานน้อยลง
การอุทิศส่วนกุศล ส่วนใหญ่ถ้าหากว่าจะพูดกันในระดับของชาวบ้านธรรมดา คนที่เป็นญาติใกล้ชิดสนิทกัน ราวกับว่านึกถึงกันแล้ว จะสามารถคุยกันได้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนี้ มันมีสิทธิ์มากกว่าคนอื่น มีสิทธิ์มากกว่าเพื่อน แต่ถ้าหากว่าเป็นคนไม่รู้จักกันเลย กระแสเมตตาของเรายังออกไปเป็นห้วงๆ มีกำลังอ่อนอยู่ก็อาจจะได้บ้าง ถ้าสมมติรวมกันเยอะๆนี่ หลายๆคน พอดูข่าวแล้ว แหมสงสารจัง อยากแผ่เมตตาให้เขาได้มีความสุข อยากให้เขาเลื่อนภพ เลื่อนภูมิ กระแสความเย็น กระแสความสว่างอาจจะมีมากพอที่เขาจะรู้สึกได้ ขอให้นึกถึงตอนที่คุณเข้าไปในที่ชุมนุมชนนะ แล้วมีการโห่ร้อง มีการแซ่ซ้องสรรเสริญบุคคลคนเดียว คุณจะรู้สึกถึงความชื่นบาน รู้สึกถึงความสดชื่นรอบๆบริเวณนั้นราวกับว่ามีแสงสว่างเกิดขึ้น รู้สึกได้ด้วยใจ ไม่ใช่เห็นได้ด้วยตานะ อะไรแบบนั้นแหละเป็นทำนองเดียวกัน ถ้าหากว่ามีการนำเสนอข่าวที่น่าสงสาร แล้วผู้คนพากันรู้สึกแบบคุณ แล้วก็อยากจะให้เขาได้ไปดี มีความสุข มันอยากช่วยเหลือเกิน ความสว่างของผู้คนเป็นล้านๆนี่นะ ที่ได้เกิดขึ้นพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน มันช่วยได้จริงๆมันทำให้เขาเกิดความรู้สึกตื่นขึ้นมาได้จริงๆ แต่จะทำให้หลุดจากกรงของวิบากกรรมที่เขาขังตัวเองไว้ด้วยกรรมเก่าหรือเปล่า อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ความเย็นความสว่างที่มันเกิดขึ้นน่ะ เขาได้แน่
แผ่เมตตานี่ ถ้าคุณเห็นจริงๆ มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากนะ แล้วสรุปนี่มันง่ายๆนิดเดียว คีย์เวิร์ดมีอยู่นิดเดียว กำลังความสว่างนั้นเพียงพอที่จะกระตุ้นให้วิญญาณเกิดความสว่างตามหรือเปล่า ถ้าหากว่ามีความสามารถจะสว่างตามแรงกระตุ้นที่ส่งมาได้ อันนั้นโอเค พระบางท่านมีฌานสมาบัติ มีความบริสุทธิ์สูงส่งของเรื่องการรักษาศีล คือแค่แผ่เมตตาไปนิดเดียว นี่วิญญาณถึงกับตื่น แล้วก็เลื่อนชั้น เลื่อนภูมิก็มี ถ้าไม่ใช่วิญญาณที่ติดบาป ติดกรรมอะไรมากมาย ก็สามารถสว่าง แล้วรู้สึกเย็นโล่ง รู้สึกว่า เออ มันนึกออกว่าบุญกุศลเป็นยังไง ระลึกได้ว่าเราเคยทำบุญอะไรไว้บ้าง ขอให้ลองนึกดูง่ายๆ ถ้าคุณตื่นมากำลังสะลึมสะลือนี่ ใครมาชวนทำบุญ คุณก็คงทำหน้าบอกบุญไม่รับ อย่างนี้ มันนึกไม่ออกว่าจะไปทำบุญทำกุศลให้มันสว่างขึ้นมาได้อย่างไร มันงัวเงีย มันโมโหอยู่ แต่ถ้าหากว่าคุณตื่นขึ้นมางัวเงียๆ แล้วมีการไชโยโห่ร้อง หรือว่าญาติพี่น้องพากันแห่เข้ามาหา มาแสดงความยินดี หน้าตาแต่ละคนสดใส กำลังใจที่ได้จากพี่น้องอันเป็นที่รัก หรือว่าบุคคลอันเป็นที่รัก ทำให้เกิดความสดชื่น ลืมความง่วงได้ แล้วก็มีกำลังใจมากพอที่จะไปร่วมยินดี ร่วมความรู้สึกเป็นกุศลกับเหล่าพี่น้องอันเป็นที่รักได้ อย่างนั้นแหละทำนองเดียวกัน อันนี้แค่เปรียบเทียบเฉยๆ แต่ว่าในโลกวิญญาณหลังความตาย มันเป็นอะไรที่ เอาง่ายๆเลย เราสามารถจะทำให้เขาออกจากความมืดได้หรือเปล่า ถ้าหากว่ากำลังของเรา ความสว่างของเรามีมากพอ มีความคงที่ มีความคงเส้นคงวา มีความหนักแน่น มีพลังยิ่งใหญ่มากพอที่จะครอบงำความมืดของเขา ขจัดความมืดให้เขาได้ นั่นแหละ ถึงจะโอเคนะ
แล้วก็เรื่องของการคุยกับวิญญาณเนี่ย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ไม่เหมือนคนคุยกับคนแบบมีเหตุมีผลนะ คือวิญญาณถ้าตายลงไปด้วยขณะจิตแบบใด ก็จะเกิดสัญญา จะเป็นกุศลสัญญา หรือว่าอกุศลสัญญา ก็ขึ้นอยู่กับการปรุงแต่งของใจในช่วงสุดท้าย ถ้าหากว่ามันปรุงแต่งแล้วเกิดกุศลจิต หรือว่าอกุศลจิตสืบต่อจากช่วงที่มันตายดับไปจากความเป็นมนุษย์นี่ จิตดวงแรกที่เกิดขึ้นด้วยกุศลหรือว่าอกุศลนั้น จะเป็นตัวชี้เลยว่าเขาจะยึดอะไรเป็นหลัก อย่างถ้าส่วนใหญ่ พวกเปรตนี่ ที่ถือกำเนิดขึ้นด้วยอกุศลสัญญา อกุศลจิตนะ หรือว่ากรรมวิบากฝ่ายมืด เขาบันดาลให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นด้วยความมืด โอกาสที่เขาจะยึดกับความรู้สึกร้ายๆ หรือว่าสัญญาเก่าร้ายๆ ความรู้สึกที่ไม่ดีทั้งหลายนี่ มันก็จะเหนียวแน่น โอกาสที่ใครจะไปแผ่เมตตา จะไปคุยให้รู้เรื่องนี่ มันยากมาก ยากมากๆเลย มันไม่เหมือนกับมนุษย์คุยกับมนุษย์ อันนี้พูดถึงโดยคร่าวๆ แต่ว่าถ้าหากเรามีความสงสารใคร แล้วใจเราอยากช่วยเขาจริงๆอย่างแรง อันนั้นคนที่ได้แน่ๆคือเราเอง คือเราจะเป็นพวกไม่ดูดาย เราจะเป็นพวกที่มีความกรุณา คือเมตตาต่างกับกรุณาตรงนี้ เมตตานี่คิดอยากให้มีความสุข แต่ว่ากรุณานี่อยากช่วย อยากลงมือช่วย ช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ช่วยให้เขาได้ดีขึ้น ช่วยให้เขาได้มีสภาพที่มันไม่ต้องน่าเวทนา อย่างที่เป็นอยู่ อยากลงมือจริงๆ คือไม่ใช่เอาแต่คิดอย่างเดียว ลักษณะที่เราได้อุทิศส่วนกุศลให้เขานี่นะ มันเป็นการสร้างกรุณาบารมี ยิ่งถ้าหากว่าเราเข้าใจจริงๆว่าจะสร้างความสุขไว้ในตัวเองยังไง จะสร้างกุศลขึ้นมาในตัวเองอย่างไร จะเริ่มต้นด้วยการไปใส่บาตร หรือว่าจะมาสวดมนต์อิติปิโสฯ หรือว่า จะคิดตั้งใจว่า วันนี้จะมีแต่พูดดีกับดี ไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ไม่ทำร้ายจิตใจใครนะ และตั้งสัจจวาจา ว่าจะรักษาแบบนี้ให้ได้ตลอดวัน แล้วสามารถทำได้ นั่นก็เป็นกุศลอย่างใหญ่หลวงแล้ว สามารถที่จะอุทิศบุญ อุทิศกุศล อุทิศความสว่างไปให้กับคนที่เรามีความเมตตาสงสารเขาได้แล้วนะครับ
เอาล่ะวันนี้เหลือเวลา ๓๐ วินาทีครับ คืนนี้คงต้องล่ำลากันไปก่อน ราตรีสวัสดิ์ แล้วก็ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านครับ
« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น