วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๙๓ / วันที่ ๒๒ ส.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่านสำหรับวันนี้ วันพุธที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธและศุกร์เวลาสามทุ่มตรง สำหรับผู้ที่จะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks



๑) ในการเจริญสติ คำว่ารู้ รู้สึก รู้สึกตัว และก็สติ มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

สำหรับความแตกต่างนะ ถ้าพูดถึงตัวสติในการเจริญสติแบบพุทธศาสนาแบบที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เนี่ย ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า เป็นสติที่ประกอบด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง พูดง่ายๆว่าขึ้นต้นมา ก่อนจะมีสติได้เนี่ยนะ จะต้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเราจะรู้ เราจะรู้สึกตัว หรือเราจะมีสติดูอะไร ถ้าหากว่ามีความเข้าใจ มีความเห็นชอบ หรือสัมมาทิฏฐินำหน้าแล้ว จะเป็นรู้ จะเป็นรู้สึกตัว จะเป็นการใช้คำไหนก็แล้วแต่ ล้วนแต่ใช่คำเดียวกันทั้งสิ้น บางที่ท่านบอกไว้ว่าสัมปชัญญะก็คือการมีสติที่ประกอบด้วยสัมมาทิฐินั่นเอง ถ้าหากว่าใช้คำว่าสัมมาทิฏฐิก็หมายถึง การมีสติรู้อย่างถูกต้อง คือกายใจนี้ไม่เที่ยงแล้วก็ไม่ใช่ตัวตน มันใช้สลับกันได้ ใช้แทนที่กันได้นะครับ ขอให้เข้าใจตรงกันนะว่า ถ้าพูดถึงสติ พูดถึงความรู้สึกตัวในแบบของพุทธ จะต้องประกอบด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องเสมอ ไม่ใช่ว่ารู้สึกตัวไปแล้วจะเป็นสติเหมือนๆกันไม่ใช่นะครับ สติในความหมายของพระพุทธศาสนาเนี่ย จะมีคำนำหน้าอยู่คือว่า ‘สัมมาสติ’ แตกต่างจากสติที่มีความเข้าใจ มีความเป็นสัมมาทิฐินะครับ

ก่อนที่จะเกิดสติ ถ้าหากว่ามีสติแบบธรรมดา พวกนักยิมนาสติกเนี่ยเค้ามีสติยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปอีก แต่เค้าก็ไม่บรรลุธรรมเพราะว่าสติแบบของเค้า เป็นสติรู้ความเคลื่อนไหวเพื่อที่จะแสดง เพื่อที่จะร่ายรำ หรือออกท่าออกทางในแบบที่เหนือกว่าคนปกติทั่วไปจะทำได้ แล้วสติแบบนั้นนำไปสู่การรู้สึกถึงตัว รู้สึกถึงกาย รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่คนธรรมดาไม่สามารถจะรู้ได้ เค้ารู้กันทุกกระดิกเลย แต่ก็ไม่บรรลุธรรม นั่นเพราะว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ประกอบด้วยสัมมาทิฐินำหน้านั่นเอง แต่ของเราเนี่ยถ้าหากประกอบด้วยสัมมาทิฐินำหน้า ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ทุกกระดิก ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ละเอียดขนาดที่เป็นนักยิมนาสติกนะ บางคนก็สามารถบรรลุธรรมได้ ถ้าหากมีอินทรีย์ที่แก่กล้ามากพอ

อย่างสมัยพุทธกาลเนี่ยนะ ยังไม่ทันฝึกเจริญสติปัฏฐานกันเท่าไหร่ แต่ว่าได้พบพระพุทธเจ้าหรือว่าได้พบพระสาวกนะ มีความเลื่อมใสมันได้กระแสน่ะ พอเราเลื่อมใสใครเนี่ย มันก็จะได้กระแสของคนนั้นมาอยู่ในใจของเราโดยไม่รู้สึกตัวนะ อย่างพระสารีบุตรเห็นพระอัสสชิเกิดความเลื่อมใสเนี่ยนะ พระรูปนี้ต้องมีอะไรดีแน่นอน ไม่ใช่คนธรรรมดาแน่นอน มีความสงบ มีกระแสที่เยือกเยือน มีกระแสความว่างที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เท่านั้นเองกระแสความว่าง กระแสความไม่ยึดมั่นถือมั่นในกายใจก็เข้ามาสู่ใจของพระสารีบุตร พอพระสารีบุตรไปถามว่า ใครเป็นศาสดาของท่าน ศาสดาของท่านสอนอย่างไร พระอัสสชิตอบแค่ว่า พระศาสดาของเราเนี่ย พูดเรื่องเหตุและผล ถ้าหากว่าดับเหตุ ผลก็จะดับตาม เท่านี้พระสารีบุตรซึ่งท่านก็มีปัญญามากอยู่แล้วเนี่ยก็สามารถบรรลุธรรม สติที่เกิดจากการฟังเนี่ย เป็นสติที่ประกอบด้วยความเข้าใจ เข้าใจว่าคือแค่ท่านสัมผัสถึงกระแสความเป็นพระอัสสชิเนี่ย ก็รู้ว่ากระแสแบบนี้เข้ามาดูตน เข้ามาใส่ใจนะครับในลักษณะความเป็นตนเอง ไม่ได้ไปแส่ส่าย ไม่ได้ไปฟุ้งซ่าน หาเรื่องนอกตัวนะครับ กระแสแบบนั้นก็โน้มนำให้พระสารีบุตร เกิดการมีสติเข้ามาในกาย มีสติเข้ามาในใจ แล้วก็ปล่อยที่กาย ปล่อยที่ใจ ตั้งแต่ต้นพอฟังแค่ว่าเรื่องของเหตุ เรื่องของผล ดับเหตุผลก็ดับ ท่านก็เข้าใจ ท่านเป็นคนมีปัญญามาก รู้เข้ามาที่กาย รู้เข้ามาที่ใจ แล้วดับกันที่ตรงนี้ ดับเหตุดับผลของความทุกข์ ดับเหตุดับผลของการยึดมั่นถือมั่นกันที่ตรงนี้ นี่เรียกว่าเป็นการมีสติอย่างประกอบด้วยความเข้าใจ มีสติโดยประกอบไปด้วยความเห็นชอบ มีสติด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องนะครับ ตรงนี้ก็เป็นความแตกต่าง จะมาใช้คำว่ารู้ รู้สึก รู้สึกตัว นะครับ ถ้าหากว่าโดยนัย มีความหมายนำหน้าด้วยสัมมาทิฐิแล้ว เป็นอันว่าใช้ได้เหมือนกันสรุปนะครับ



๒) มีคำถามว่า การเป็นศิษย์มีครู รู้สึกว่าเวลาจะทำอะไรที่ตึงเกินไปในทางธรรมะ ก็จะถอนออกมา หรือจะมีอีกจิตที่คอยนำทางสว่างมาสู่ตัวเรา บอกทางเรา ทั้งที่เราไม่เคยศึกษาหรืออ่านที่ไหนเลย แต่รับรู้ได้ เหมือนมีคนนำทางให้อยู่ในสายกลาง แต่ก็ไม่เคยเห็นท่านเลยค่ะ หลังจากที่เจอท่านครั้งแรก ตอนที่ท่านเมตตารับเป็นศิษย์ แต่สัมผัสได้ว่ามีคนคอยช่วยเหลือบอกว่าควรหรือไม่ควร มากหรือน้อยไป หนูเข้าใจไปเองหรือเพราะหลวงพ่อเมตตาช่วยนำทางสว่างให้?

อันนี้ก็ประสบการณ์ที่หลายคนนะครับได้รับหรือพบกับตัวเอง เวลาที่ได้ไปเจอครูบาอาจารย์ที่ท่านมีกระแสความเป็นผู้ปฏิบัติที่เข้มข้นนะครับ คือมีกำลังจิต กำลังใจ หรือว่าการสั่งสมความเพียรของท่านมามากเนี่ย ความเข้มข้นก็ประทับลงไปในจิตของเรา ทำให้เราจำได้ ทำให้เรานึกถึง หรือจิตเนี่ยคอยประหวัดมาหาท่านอยู่บ่อยๆ แล้วการปรุงแต่งของจิตเนี่ย บางทีเนี่ยนะครับ ท่านไม่ต้องลงทุน ลงแรงเองหรอก จิตของเราจะปรุงแต่งให้

ถ้าหากว่าเราเอาง่ายๆที่เกิดประสบการณ์กันเยอะที่สุดก็คือ เวลากราบพระพุทธรูป หรือว่ามีการอ่านหรือฟังเทศน์จากพระพุทธพจน์โดยตรงแล้วเกิดความซาบซึ้งมาก เกิดปีติมากแล้วก็นึกถึงพระองค์ท่าน ราวกับว่าพระองค์ท่านยังมีชีวิตอยู่ จิตก็ไปปรุงแต่งเอาเองเลย เวลานั่งสมาธิก็ดี หรือหลับฝันก็ดี ความประทับลงไปในจิตของเรา ที่เกี่ยวกับพระองค์ท่านที่มีความรุนแรงมาก ก็จะทำให้เหมือนกับว่าเห็นพระองค์ท่านยังมีชีวิตอยู่มีพระชนม์ชีพอยู่ ก็เห็นไปต่างๆนานากัน บางทีก็เห็นพระองค์มายืนยิ้มให้เฉยๆ หรือว่าบางคนก็เห็นว่าพระองค์มาตรัสเทศน์ให้เฉพาะตัวเราเลย เรื่องที่เรากำลังคาใจอยู่ แล้วก็เกิดความรู้สึกทะลุปรุโปร่งอย่างยิ่ง นิมิตนั้นหรือความเคลื่อนไหวที่เกิดจากการปรุงแต่งของจิตนั้น ไม่ใช่บอกว่าเป็นพระองค์มาเอง แต่เป็นการบอกว่าจิตของเรามีพระองค์อยู่ มีการปรุงแต่งเป็นความจำที่แม่นยำ แล้วก็ฝังความจำลงไปในใจเราลึกมาก แล้วก็เกิดความปรุงแต่งที่มีความเป็นกุศลมาก ก็เลียนแบบท่าทางหรือว่าพระสุรเสียงของพระพุทธเจ้าได้เหมือนจริงเลยทีเดียว ทำให้จิตเชื่อเลยว่าพระองค์จริงมาโปรด

ก็ทำนองเดียวกัน เราไปพบครูบาอาจารย์ที่มีชีวิต ก็ยิ่งชัดเจนได้มากกว่านั้น เพราะเห็นด้วยตาฟังด้วยหู มีสัมผัส ผัสสะที่กระทบเข้ามาสู่ใจ ทำให้เกิดความย้ำ ทำให้เกิดความตอกแน่นเข้าไป ถ้าหากว่าเรารู้สึกถึงพลังของท่านมาก มีความเคารพมีความเลื่อมใสท่าน เกี่ยวกับปฏิปทาของท่านมาก จิตก็จะเปิดรับ จิตที่เปิดรับกระแสของใครมากๆ ก็จะเหมือนมีความเป็นคนๆนั้นมาประดิษฐานอยู่ในใจของเรา แล้วการที่มีใคร ความเป็นใครมาประดิษฐานอยู่ในใจของเราอย่างชัดเจน อย่างโดดเด่นเลยที่กลางใจเนี่ย กลางใจนั้นเองก็จะปรุงแต่งให้ คือตัวความทรงจำกับสังขารขันธ์ ที่มันปรุงแต่ง มันก็จะจัดการให้เองเลย ไม่ว่าจะเป็นคำบอก ไม่ว่าจะเป็นภาพนิมิต มาปรากฏในขณะเราเดินจงกรมหรือว่าจะนั่งสมาธิอะไรแบบนี้ ก็เป็นเรื่องของปาฏิหาริย์ทางการปรุงแต่งของจิต ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ขององค์ท่าน หรือถ้าหากว่าท่านจะเมตตาเป็นพิเศษ เห็นว่าเราสนิทเคยเป็นลูกเป็นหลานมาก่อนในอดีตชาติ อันนี้ก็มีเหมือนกัน แบบที่ว่าท่านจะส่งจิตมาช่วยหรือส่งกำลังใจ แต่ไม่ใช่ว่าตัวท่านมาเอง ก็ในกรณีที่ตัวท่านมาเอง มันมีน้อยมาก อย่างในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ ก็มีตัวอย่างในพระสูตรที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงเมตตาคนที่จะบรรลุธรรม ถ้าหากว่าท่านเห็นว่าเป็นโอกาส เป็นจังหวะเหมาะที่จะใส่ธรรมะอะไรบางอย่าง หยอดธรรมะอะไรบางอย่างเข้าไปกระทุ้ง ให้เกิดความรู้แจ้งหรือว่ามีสภาพที่พร้อมจะบรรลุมรรคผลเนี่ย ท่านก็เข้าไปช่วย อันนั้นของจริง

แต่ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์ร่วมสมัยเราเนี่ย ก็อาจมีที่ท่านแยกภาคได้ แต่ว่าคงน้อยเต็มที และส่วนใหญ่ท่านก็จะเหนื่อยอยู่แล้วที่ว่ามารับศิษย์เป็นร้อยเป็นพัน บางทีท่านต้องทำธุระปะปังเกี่ยวกับกิจของสงฆ์อยู่ คงจะไม่มีความสามารถแยกภาคแบบพระพุทธเจ้ากันซักเท่าไหร่ คือมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มีนะ แต่ผมพูดแบบแบ่งรับแบ่งสู้ให้ ว่าส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ เป็นการปรุงแต่งของจิตเราเอง ซึ่งมีค่าเทียบเท่ากันนั่นแหละกับที่ท่านมาให้ ถ้าจิตของเรามีการปรุงแต่งในลักษณะที่เป็นกุศล ในทางที่เรียนแบบทำจริงของพวกท่านเนี่ย ก็ได้ประโยชน์ ได้กำลังใจ ได้แนวทางที่จะยกระดับให้เรามีความก้าวหน้าขึ้น คืออะไรนะที่เกิดขึ้นแล้วมันเป็นไปในทางดี ไม่ทำให้เราลุ่มหลงในนิมิต ไม่ทำให้เราติด หรือว่าทะนงตน ว่าเรามีของดี มีเทวดา มีครูดีคอยประคับประคองเนี่ย ก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้น

จำไว้ว่าในทางปฏิบัติของพุทธเรานะครับ จะเน้นย้ำในเรื่องของการพึ่งพาตัวเองมากกว่าอย่างอื่น ถ้าหากว่าเราเกิดนิมิตหรือว่ามีความเชื่อเกี่ยวกับการช่วยประคับประคองของครูบาอาจารย์ ถ้าถามว่ามันดีไหม มันดีในแง่ของกำลังใจในเบื้องต้น แต่ว่ามันเสียในแง่ของความเคยตัวในระยะยาว เพราะว่าส่วนใหญ่ในธรรมชาติในมนุษย์ ชอบที่จะมีใครมาอุ้มไปสวรรค์ มีใครมาอุ้มไปนิพพาน ซึ่งมันไม่มีใครทำให้ มันไม่มีใครพร้อมจะทำให้ ไม่มีใครมีกำลังมากขนาดพระพุทธเจ้า แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านแยกภาคได้จริง ท่านมีอภิญญาสูงที่จะสามารถไปปรากฏตัวได้หลายๆที่พร้อมกัน ในสมัยพุทธกาลมีพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกที่มีอภิญญาแก่กล้าสามารถทำได้อย่างนั้น แม้กระนั้นพระพุทธเจ้ายังตรัสออกตัวเลยว่า อย่าหวังพึ่งเรา เราเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ไม่ใช่นักอุ้ม ท่านไม่ได้อุ้มใครขึ้นหลัง ท่านไม่ได้อุ้มใครเหมือนอุ้มบาตร เพื่อที่จะพาใครไปนิพพานร่วมกับท่าน ท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทางแล้วให้เราเดินเอง

ถ้าเราจับหลักตรงนี้ไว้มั่นๆ เวลาเกิดนิมิตเวลาเกิดเสียงบอก หรือว่าเกิดการทำให้เข้าใจไปเวลามีใครมาช่วย เราก็จะไม่หลงยึดติด แล้วก็มีความคิดที่ถูกต้อง มีดำริชอบ คือเห็นว่านั่นเป็นการปรุงแต่งของจิต ที่แท้ แล้วเราต้องทำเอาเอง แล้วก็ไม่ไปหวังว่าเดี๋ยววันนี้จะมีเสียงกระซิบมาบอกอะไรต่ออีก หรือว่าท่านจะมาช่วยในแบบไหนอีก อันนี้พูดเผื่อไว้เลยนะ มีจริงนะ ประเภทว่ามารมาดลใจหรือว่า คือไม่ได้พูดในกรณีของผู้ถามนะ แต่พูดเผื่อไว้กรณีหลายๆคนเคยได้รับคำถามมาเยอะ มีกรณีเทวดามาสอนชัดๆเลยมาทุกวัน นั่งสมาธิแล้วบางทีพาไปดูนิพพาน และก็บรรยายสภาพนิพพานเป็นอวกาศนะ ไปลอยอยู่เท้งเต้งไม่มีอะไรเลย นิพพานแบบนั้นไม่น่าอยู่เลยนะ คือเหมือนกับถูกปล่อยออกนอกโลก มันไม่รู้จะพอใจตรงไหน ไปลอยอยู่ในอวกาศเฉยๆ มาบอกนั่นเป็นนิพพานเนี่ย นี้คือคนเราเนี่ยพอปักใจเชื่อไปแล้วว่ามีเทวดามาสอน มีของดี มีครูดีมาคอยชี้นำให้ในสมาธิ พอปักใจเชื่อแบบนั้นไปเนี่ย มารได้ช่องที่จะเข้ามาเสียบ พอเห็นเราเชื่อช่องทางแบบไหนเนี่ย บางทีถ้าเคยผูกเวรกันมา เขาแกล้งเข้ามาปรากฏเหมือนกับจะชี้ช่อง เห็นเราเชื่อแล้วเนี่ย ยิ่งชี้อะไรผิดไปเรื่อย ออกอ่าวไปเสร็จแล้วกู่ไม่กลับ แม้ใครบอก แม้ครูบาอาจารย์มาเตือนอะไรต่างๆก็ไม่เชื่อละ เพราะว่ารู้สึกมีครูบาอาจารย์เหนือชั้นกว่าเป็นเทวดา เป็นคนที่เหนือกว่ามนุษย์เป็นคนที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป บางทีถ้าพูดง่ายๆนะ ถ้าหากว่าเกิดนิมิตหรืออะไรทำนองนี้ ให้คิดไปก่อนว่ามันคือการปรุงแต่งทางใจ อย่าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะพอยึดไปแล้ว มันมักจะได้เรื่องไม่ดีมากกว่าที่จะได้เรื่องที่ดีๆนะครับ



๓) ผู้รู้เป็นวิญญาณขันธ์ ใช่หรือไม่คะ?

วิญญาณขันธ์ท่านใช้ในความหมายที่มีการรับรู้เฉยๆ แต่ยังไม่ได้บอกว่ามีญาณประกอบ มีสติประกอบอยู่ด้วย มีความเข้าใจที่ถูกต้องประกอบอยู่ด้วยหรือเปล่า วิญญาณขันธ์ก็อย่างเช่นเวลาที่เราเกิดการรับรู้ขึ้นมาว่า นี่เป็นรูป เป็นสี นี่เป็นสีขาว สีดำ สีแดง เนี่ยตัวนี้มีสัญญาเกิด และตัวที่รู้ว่าเป็นสีอะไร เกิดการรับรู้ทางตาหรือว่าเกิดการรับรู้ทางหูอันนั้นล่ะเรียกว่าวิญญาณขันธ์ แต่ตัวที่จะเป็นผู้รู้ ผู้มีสติเนี่ย ต้องประกอบไปด้วยสัญญาขันธ์ ต้องประกอบไปด้วยสังขารขันธ์ ต้องประกอบไปด้วยวิญญาณขันธ์ รู้ว่าเกิดเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง รู้ว่าเกิดรูปกระทบแบบใดแบบหนึ่ง อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้รู้ รู้ด้วยว่าสิ่งที่ปรากฏมันเป็นแค่ของชั่วคราวปรุงประกอบขึ้นมามีองค์ประกอบต่างๆ ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เราเขา อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้รู้ ในความหมายแบบพระป่า คำว่าผู้รู้เนี่ยจัดเป็นศัพท์ของพระป่าท่าน



๔) ถามว่า กรรมเก่า ถ้าเราไม่ทำเพิ่มแล้วหมั่นสร้างบุญกุศลเพิ่มกรรมเก่าจะหมดไหมครับ ถ้าหมดเราจะรู้ได้ยังไงว่ามันหมดแล้วมีโอกาสที่จะหมดภายในชาตินี้ได้มั้ย?

จริงๆแล้วในเรื่องของกรรมนะครับ เป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่อาจคะเนได้ ไม่อาจประมาณเอา ไม่อาจคาดคะเนเอา แต่ผมบอกได้อย่างนี้ คิดง่ายๆก็แล้วกัน ถ้าหากว่าเราทำบุญมาแบบนึง ที่จะให้ผลในช่วงตอนเด็ก มันจะมาในรูปที่ว่า มาเกิดกับพ่อแม่คู่หนึ่งที่ดีหรือไม่ดี จะเลี้ยงดูเราอย่างประคบประหงมเรา แบบประณีตหรือว่าแบบลวกๆหยาบๆ หรือว่าบุญแบบไหนที่จะทำให้โตขึ้นมาจะได้เรียนแบบใดกับใคร จะมีชะตาชีวิตได้ไปทำงานในแบบใด อันนี้เขาจะให้ผลชัดเจนว่าจะนำเราไปพบกับใครบ้าง ถ้าหากว่าจะมองว่าบุญให้ผลอย่างไร จะมองเป็นหลักๆอย่างนี้ก่อน เขาพาเราไปเจอใคร แล้วนี่เราจะทำกับเขายังไง จะทำกับพ่อแม่อย่างไร ทำกับครูบาอาจารย์อย่างไร อันนี้เป็นเรื่องของกรรมใหม่แล้ว มองอย่างนี้ อันนี้มองแบบคร่าวๆหยาบๆที่สุดนะ ถ้าหากว่ามองเป็นระยะการให้ผล เราก็อาจจะมองได้ว่า ถ้าทำบุญมามาก อาจจะให้ผลไป ๒๐ ปี มีความสุขไม่มีความทุกข์เลย ไม่มีชะตาร้ายๆเลย คือไม่มีเรื่องกระทบใจ ไม่มีเรื่องที่จะมาทำให้กายต้องบาดเจ็บ หรือว่ามีอาการที่ทุพพลภาพต่างๆนะครับ อย่างนี้ก็ ๒๐ ปีนั้นบุญให้ผล เขาวางแผนไว้ว่าจะให้ยาวขนาดนี้ประมาณนี้ ถ้าหมด ๒๐ ปีนั้นก็อาจจะเจอทุกข์บ้าง อาจจะเกิดชะตากรรมบางอย่างที่มาตัดรอนความสุข มาบั่นทอนความรู้สึกสบายใจ อันนี้เป็นเรื่องของการวางแผนของบุญเก่า ซึ่งเราไม่สามารถเห็นเป็นภาพ ยกเว้นจะมีอภิญญา แต่สามารถรู้ได้ด้วยประสบการณ์ตรง ว่าช่วงนี้โชคดีตลอด ช่วงนี้ทำไมแย่นักมีแต่เรื่องร้ายๆ มีแต่เรื่องผีซ้ำด้ำพลอย ลากจูงกันมาเลย ดวงไม่ดีเรื่องนี้ไม่พอ ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกอะไรแบบนี้นะครับ นี่ก็เรียกว่าเป็นประสบการณ์ตรงที่เราจะรู้สึกได้ว่าวิบากของกรรมเนี่ย มีมืดบ้าง มีสว่างบ้างอย่างไร

แต่ถ้าหากเรามองออก มองกายของตัวเองออก มองใจของตัวเองออก มองเห็นว่าลักษณะของกายเนี่ย มีส่วนผสมของความสว่างหรือว่าความมืดมากกว่ากัน อย่างเช่น บางคนรูปร่างหน้าตาดี สุขภาพดีอันนี้เขาก็เรียกว่าผลของความสว่างมีความชัดเจนมากกว่าความมืด หรือในทางจิตใจเรามีความคิดดีหรือความคิดร้ายมากกว่า อะไรที่มันดลใจออกมาจากข้างใน ให้มันรู้สึกโน้มเอียงไปในทางบุญ หรือทางอกุศลมากกว่ากัน นี่ก็เรียกว่าเป็นของเก่าที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกใฝ่ดีหรือใฝ่ร้าย ตัวที่มันจะตัดสินใจจริงๆ ว่าจะคล้อยตามอาการดีหรืออาการร้าย จะต่อต้านแรงยั่วยุให้ทำบาปทำกรรมแค่ไหน ตัวนี้เราจะมองเห็นว่ามันมี ฝรั่งเขาเรียกความมีไดนามิก คือไม่ใช่อยู่นิ่งมันมีส่วนผสมของการเคลื่อนไหว มันมีแรงเก่าและแรงใหม่

การที่มาตั้งคำถามว่า กรรมเก่าเราสร้างบุญกุศลอย่างเดียวโดยไม่สร้างบาปเพิ่มเนี่ย มันจะหมดได้รึเปล่าเนี่ย มันต้องตั้งโจทย์ใหม่นึดนึงว่า บุญเก่าของเรา เราต้องสร้างไว้อย่างไรแค่ไหน มันถึงจะให้ผลได้นานกว่า มันจะให้ผลชนะความอยากจะทำบาป ไอ้ที่ไม่ทำบาปเพิ่มเลยเนี่ยเป็นไปไม่ได้ เพราะคนเราเนี่ย ตราบใดที่ยังมีอวิชชาอยู่ ยังหลงผิดอยู่ มันไม่มีทางทำบุญได้อย่างเดียว เอาแค่ว่าโมโหคิดด่าในใจเนี่ยก็ทำบาปแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นบาปเล็กน้อยไม่ได้หลุดออกมาทางปาก การที่เราไม่ทำบาปเพิ่มเนี่ย บอกได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นแต่เป็นพระอนาคามี ตรงนี้บาปเริ่มจะไม่ทำแม้ด้วยอาการทางใจ แม้แต่พระโสดาบัน กับพระสกิทาคามียังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่ โอกาสที่จะทำกรรมด้วยใจก็ยังมีแม้ว่าจะไม่ค่อยทำด้วยวาจา ไม่ได้ทำด้วยทากายกรรมแล้ว แต่ก็ยังทำด้วยใจอยู่ นี่ก็เป็นเรื่องที่ว่าเราต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าการทำบุญไม่สามารถเป็นไปได้อย่างเดียว ยังไงๆก็ต้องทำบาปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยที่เราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ส่วนที่ว่าบุญเก่าจะหมดหรือไม่หมดแค่ไหน ก็ถ้าเราไม่มีอภิญญาก็ต้องดูด้วยประสบการณ์ตรง ว่าช่วงไหนดวงดี ช่วงไหนดวงร้าย กรรมเก่าเขาวางแผนมาหมดแล้ว มันจะสลับกัน ช่วงขึ้นช่วงลง ช่วงสว่างช่วงมืด แต่ถ้าเราเจริญสติไปมากๆเข้า เห็นกายเห็นจิต จนกระทั่งประมาณถูกว่าอย่างนี้เรียกว่าความมืด อย่างนี้เรียกว่าความสว่าง มองเห็นแม้ว่าจากตัวตนนี่เลย ที่กำลังปรากฏนั่งอยู่นี่ ที่ยืนอยู่นี่ คุยกันอยู่นี่ ฟังกันอยู่นี่ว่า สัดส่วนนี้มีความสว่างหรือความมืดมากกว่ากัน แล้วมองเห็นนิมิตเป็นชีวิตโดยรวมเลยว่า ช่วงของความสว่างจากของเก่า มันให้ผลช่วงไหน ช่วงต้นชีวิต ช่วงกลางชีวิต หรือช่วงปลายชีวิต และมันจะค่อยๆเห็นไปเป็นเรื่องอจินไตย ความสว่างประมาณนี้ช่วงแรกๆก็อาจจะมองว่าสัก ๑๐ปีได้มั้ง หรือสัก ๒๐ ปี หรือสักครึ่งชีวิตได้มั้ง แต่จะไม่มีเห็นเลยว่าชีวิตของใครมีแต่สว่าง ผลมีแต่ความสว่างรออยู่อย่างเดียวไม่มี มันมีแต่มืดแล้วก็สว่าง มืดแล้วก็สว่างสลับกัน เพียงแต่มันจะเห็นคลี่ออกมาเป็นไทม์ไลน์ว่า สว่างยาว มืดสั้นๆ แล้วก็กระโดดกลับไปสว่างอีก แล้วบางทีสลับกลับมามืดยาวบ้าง ตรงนี้มันเป็นสิ่งที่เราจะเห็นคำว่าบุญเก่าหมดเนี่ย มันไม่มีหรอกมันมีแต่ว่าถูกวางแผนมาเป็นล็อกๆไว้อย่างไร แต่ว่าตอนนี้เรากำลังทำบุญมากกว่าทำบาป หรือทำบาปมากกว่าทำบุญ มันจะซ้อนเข้าไปเป็น ๒ มิติ มิติของของเก่าที่ให้ผลอยู่ กับมิติของของใหม่ที่เรากำลังสร้างอยู่ มันเป็นปฏิสัมพันธ์กัน มันเป็นอะไรที่เคลื่อนไหวไปขนานกัน แต่จะไม่มีเด็ดขาดที่เห็นแต่สว่าง เห็นแต่มืดอย่างเดียว


เอาละครับคืนนี้ ก็ต้องขอแจ้งว่า สำหรับการแจ้งบอกทางทวิตเตอร์คงต้องตัดทิ้งไป เนื่องจากว่าทาง Spreaker.com ไม่ทราบว่าเขาไปปรับปรุงอะไร หรือว่าทางเฟสบุ๊คไปเกิดการบล็อกอะไรเข้าอย่างไร ถ้าหากว่าผมต้องแจ้งเตือนอัตโนมัติเนี่ย ก็จะมีความผิดพลาดในการทำงานไม่สามารถเข้าในคอนโซลของ Spreaker.com ได้ ก็คงจำเป็นต้องดูที่เฟสบุ๊คอย่างเดียว ก็ขออภัยนะครับบางท่านบอกว่าไม่มีเฟสบุ๊ค มีแต่ทางทวิตเตอร์อย่างเดียว ตอนนี้ผมไปแจ้งไม่ได้ ก็ขออภัยด้วย ณ ที่นี้นะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านนะครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น