วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๓๘ / วันที่ ๑๖ เม.ย. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันจันทร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเศษ ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks นะครับ

วันนี้คงเป็นวันกลับเข้าถิ่นฐาน เตรียมเริ่มงานกันตามปกติในวันพรุ่งนี้นะครับ ไม่มีใครได้ทุกสิ่งที่ต้องการ และสิ่งที่เกือบทุกคนต้องการก็น่าจะเป็นวันหยุดตลอดปีนี่แหละ ผมนำเพลงความอบอุ่นกลางสายฝนมาเปิดให้ฟังตอนต้นรายการ ในช่วงสองสามครั้งที่ผ่านมานะครับ ก็มีหลายท่านที่เพิ่งฟังรายการ ก็คือเพิ่งเริ่มฟังรายการเมื่อ ไม่นานที่ผ่านมานี่ ก็บอกกล่าวกันเข้ามาว่าชอบ อันนี้จริงๆ เคยเปิดตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้วนะครับที่จัดรายการมา ลองไปฟังรายการครั้งที่ ๗ กันดู เรื่องความปรุงแต่งของจิต และสามารถดาวน์โหลดไปฟังกันได้นะครับ ถ้าหากว่าชอบ และก็รายละเอียดจะอยู่ในสเตตัสของวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ในเฟสบุ๊คนะครับ



๑) หนูฟังการเจริญสติที่พี่สอน หรือตอบคำถามกับเพื่อนๆ มาตลอด ก็ทำตาม รู้สึกว่าอารมณ์ที่พอมีตัวกระตุ้นโทสะมากระทบจากคนในครอบครัวดีขึ้น จากที่เคยอย่างหนึ่งวันก็ลดลงมาตามลำดับจนเหลือแค่สิบห้านาที รู้สึกว่าดีมากค่ะ มันโล่งอย่างบอกไม่ถูก แต่เหมือนพอมันรู้สึกว่าเออจิตเราตามทันมัน มันก็ดันส่งบททดสอบในเรื่องเดิมแต่พัฒนาการให้จิตโดนกระทบแรงกว่าเดิมหลายเท่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอคำแนะนำด้วยว่าควรจะทำอย่างไรดี สำหรับหนูแล้วโทสะนี่แหละ ที่มันส่งมาทดสอบทุกวันจากการกระทำและคำพูดของคนในครอบครัว?

โลกนี้เต็มไปด้วยบททดสอบ แล้วก็มีมาทุกวันไม่ใช่เฉพาะทดสอบเรื่องของโทสะ มันทดสอบเรื่องโลภะ เรื่องโทสะ เรื่องโมหะ ครบเลยนะ แต่เรื่องของโทสะนี่มีมาได้ทุกวัน บ่อยกว่ากิเลสข้ออื่นๆจริงๆ เพราะอะไร เพราะว่าคนเรามีความถูกออกแบบมาโดยธรรมชาติให้มีความทนทานน้อย ผิวนี่บางมากอากาศกระทบแค่นิดแค่หน่อยนะ ถ้าเปลี่ยนแปลงไม่พอดีนี่ มันสามารถจะร้อนมากไป หรือว่าหนาวมากไป ทำให้เกิดความรู้สึกแย่ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนจะเป็นจะตาย แค่ความรู้สึกเหมือนกับแย่ๆจากอากาศเพียงเท่านั้นว่ามากน้อยเกินไป หนาวไปร้อนไปนี่มันทำให้เกิดความขัดเคือง เกิดความหงุดหงิดได้แล้ว นี่ยังไม่ต้องไปเจอบุคคลเลยนะ เจอแค่สภาพอากาศที่ห่อหุ้มร่างกายของเราอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ขอเพียงมันเปลี่ยนแปลงมากไปหรือน้อยไป ก็ทำให้เกิดความขัดเคืองขึ้นได้แล้ว นี่ธรรมชาติออกแบบมาให้เรามีความทนทานได้น้อยนะ

เรื่องของคนในครอบครัว เรื่องของคนใกล้ตัวมันไม่มีไม่ได้เพราะว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมต่อให้แยกตัวไปเป็นฤๅษีอยู่ในป่าก็ต้องมีสัตว์เป็นครอบครัวอยู่ดี มีพืชพรรณธัญญารอบ รอบตัวนี่นะในป่าดงพงพีนี่ เป็นเพื่อนแทนมนุษย์ด้วยกันอยู่ดี และสิ่งที่อยู่แวดล้อมเราไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันสามารถที่จะบีบคั้นให้เราไม่อยากทนทาน ความไม่อยากทนทานนี่มันเป็นตัวที่ก่อให้เกิดความขัดเคือง ความกระทบกระทั่งทางใจ ความขัดเคือง หรือว่าความกระทบกระทั่งทางใจนี้นี่ ทางพุทธศาสนาเราชี้ว่าถ้าไม่เจริญสติจนกระทั่งบรรลุมรรคผลถึงขั้นอนาคามี ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ ยังไงๆ นะ จิตก็ต้องเกิดความกระทบกระทั่งมีความขัดเคืองเป็นธรรมดา

หมายความว่าต่อให้เจริญสติจนกระทั่งบรรลุธรรม เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี ก็ยังต้องมีความขัดเคือง มีความกระทบกระทั่งทางใจ ใจเหมือนถูกกระทบกระแทกอยู่ดี คือคิดง่ายๆว่าเป็นคลื่นกระแทกนะ ที่มันส่งเข้ามากระทบแล้วใจนี่เกิดความสั่นไหวได้ เกิดความขัดเคืองได้ เกิดความโมโหโกรธาได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมานี่ ท่านไม่ได้มาเพื่อกำจัดสิ่งกระทบกระทั่งจิตใจ แต่ท่านให้ฝึกที่จะตอบโต้กับสิ่งกระทบกระทั่งในทางที่จะเป็นคุณ ในทางที่จะเป็นประโยชน์ ในทางที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้ได้หลุดพ้นจากความไม่รู้ หลุดพ้นจากความกระทบกระทั่ง หลุดพ้นจากความเบียดเบียนทั้งปวง เพื่อที่จะใช้โทสะเป็นอุปกรณ์เป็นเครื่องฝึกให้เกิดความหลุดพ้นได้ ต้องเห็นตัวโทสะโดยความเป็นของไม่เที่ยง ซึ่งน้องก็คงจะได้ฝึกมาแล้วอย่างที่เล่าให้ฟังว่า จากที่มันเคยหมกมุ่นอยู่กับความโมโหโกรธานะ คั่งแค้นอยู่ทั้งวันเหลือแค่ประมาณสิบห้านาที แล้วรู้สึกว่าชีวิตมันเปลี่ยนแปลงไป จากที่มันรกไปด้วยความร้อนมันกลายเป็นความโล่ง ความเบา ชีวิตมันบรรจุอยู่ เต็มอยู่ด้วยความเย็น นี่คือสิ่งที่เห็นได้จากการเจริญสติ

ไม่ว่าใครไม่ว่าเพศไหน ชาติใดภาษาใดก็ตาม เจริญสติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องแล้ว มันได้รับประสบการณ์ตรงกันแบบนี้เสมอ เพียงแต่ว่าคนเรานี่นะอยู่ๆไปคิดทำเองนี่มันไม่มีกำลังใจ ที่จะอาศัยกำลังใจในการไปพัฒนาตัวเองด้วยการเจริญสติแบบนี้ได้นี่ก็ต้องมีกัลยาณมิตร มีสิ่งแวดล้อมคือพูดง่ายๆ ว่ามีสังคมของกัลยาณมิตร อย่างพวกเรามาคุยกันเยอะๆ มาโต้ตอบกัน มันมีความรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำอยู่คนเดียว คนอื่นเขาก็ทำกัน เลยไม่รู้สึกว่าเป็นตัวประหลาด ไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดที่จะเจริญสติ พอไม่รู้สึกแปลกประหลาดเมื่อจะเจริญสติ มีศรัทธา มีความพยายาม มีความเพียรที่จะทำให้จริงจังขึ้นมา มันก็เกิดผล พอเกิดผลนี่ สิ่งที่มันจะเป็นตัวต่อยอดก็คือเกิดกำลังใจในขั้นต่อๆ ไปอีก

ทีนี้น้องบอกว่าทุกครั้งพอมันเกิดกำลังใจขึ้นมามันเกิดความเบา มันเกิดปีติขึ้นมา ชอบมีบททดสอบที่หนักกว่าเดิมเข้ามา ขอให้รู้ว่าถ้าใครเกิดประสบการณ์แบบนี้บางทีมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ บางทีมันเป็นแรงดึงดูดของสังสารวัฏที่เขาส่งเข้ามาตามธรรมชาติ คิดกันได้ด้วยวิธีมองเห็นภาพเลยก็ได้ สมมุติว่าเราอยู่ในครอบครัวที่มีความกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา แล้วต่างฝ่ายต่างก็เห็นว่ากันและกันนี่เป็นเครื่องกระทบ แต่ละฝ่ายมีกันและกันเป็นเครื่องกระทบ แล้วก็เป็นตัวรุนไฟเป็นตัวโหมไฟให้มันร้อนขึ้น ต่างฝ่ายต่างมีความรู้สึกว่าเคยชินอยู่กับสภาพความร้อนที่เกิดจากการกระทบกระทั่งเสียดสีกัน กระทบกระแทกกันมันเกิดความเคยชินกันแบบนั้น มันมีความรู้สึกว่าถ้าวันไหนอีกฝ่ายมีความสุขมากกว่าเดิม มีความเยือกเย็นมากกว่าเดิม มันอาจเกิดความหมั่นไส้ขึ้นมา มันอาจเกิดความรู้สึกว่าเอ๊ะไอ้ตรงนี้มันมีความสุขกว่าเรา คนนี้มันไม่มีความทุกข์แบบเดิม คือมันไม่ได้คิดออกมาเป็นภาษา ไม่ได้คิดออกมาเป็นคำๆแบบนี้ แต่คิดออกมาด้วยความรู้สึกจากส่วนลึกว่ามันเคยร่วมทุกข์กันมา มันเคยสร้างความร้อนให้กันและกันมา มันเคยเป็นเหตุแห่งโทสะให้กันและกันมา อยู่ๆมีอยู่คนหนึ่งในบ้านมันจะหลุดพ้นออกไปมันจะเข้าสู่วงจรความเย็น บางทีมันเข้าไปกระตุ้นให้คนอื่นนี่เขาเกิดความรู้สึกว่าอยากจะลากกลับมาร่วมวงโคจรเดิมนะ อยู่ในวงโคจรเดิมด้วยกัน

มนุษย์นี่นะ คืออย่าไปเอาเรื่องเหตุผล มนุษย์นี่จริงๆแล้วไม่มีเหตุผลหรอก อารมณ์น่ะนำหน้า เอาความรู้สึกกันเป็นหลัก ถ้าทั้งบ้านร้อนอยู่แล้วเราเย็นอยู่คนเดียวบางทีเขาก็อาจจะเกิดความรู้สึกโมโหขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คือไม่ได้ตั้งใจจะโมโหนะ ถ้าเอาตามการเลือก ก ข ค แบบเด็กประถมนี่ถามว่าควรจะส่งเสริมให้คนในครอบครัวมีความสุขหรือเปล่า ผมเชื่อว่าคนทั้งโลกต้องตอบว่าควรจะส่งเสริมให้มีความสุข แต่ในทางปฏิบัติแล้วนี่ คนในครอบครัวคนที่ใกล้ชิดกันนี่นะ ถ้าฝ่ายหนึ่งมีความทุกข์แล้วอยากจะลากอีกฝ่ายหนึ่งมามีความทุกข์ตามด้วย มันไม่ค่อยอยากจะปล่อยให้ไปมีความสุขหรอก มันมีความรู้สึกเหมือนโดนทอดทิ้ง เพราะฉะนั้นอันนี้เราก็มองเป็นเรื่องของธรรมชาติก็แล้วกัน ถ้าไม่มองเป็นเรื่องลึกลับหรือว่าเรื่องแบบทดสอบนะ ที่จะทำให้เราไต่ขึ้นสูงอะไรต่างๆ นี่ ถ้าหากว่าเรากำลังทวนกระแสกิเลสขึ้นสูง จำไว้เลยว่ามีแรงดึงดูด ให้กลับเข้าทางของความทุกข์ความร้อนตามเดิม ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง

แต่ถ้าหากว่าเราผ่านแบบทดสอบ เราสามารถเอาชนะแรงดึงดูดให้กลับเข้าวงโคจรเดิมได้หลายๆครั้งเข้า มันเท่ากับการที่เรามีความสามารถจะทวนกระแสขึ้นสูง เขยิบขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง มีกำลังมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง ในแต่ละครั้งที่สามารถเอาชนะได้ ก็ให้มองเป็นภาพใหญ่ภาพรวมไว้อย่างนี้ก่อนมันจะได้เกิดกำลังใจ มันจะได้ไม่เกิดความรู้สึกว่าถ้าพยายามไปแล้วมันจะสูญเปล่า แต่ละครั้งที่พยายามแล้วประสบความสำเร็จในการเอาชนะกิเลสได้ จิตวิญญาณของเราจะสูงส่งขึ้นเสมอ กำลังของใจเราจะดีขึ้นเสมอ และยิ่งสะสมมากนานเดือนนานปีเข้า ในที่สุดมันจะเกิดเป็นความปกติ เป็น กลายเป็นปกติของใจที่จะสามารถชนะกิเลสได้ และผู้ที่สามารถชนะกิเลสได้จริงๆ มีใจจริงๆ ของเรานี่เป็นหลักฐาน เป็นพยานของความเย็น เย็นแบบพุทธ มีสติแบบพุทธ มีความสว่างแบบพุทธ ตัวตนใหม่ของเราจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบข้างเกิดความรู้สึกอยากเย็นตาม อยากสว่างตาม มันจะหายหมั่นไส้ไปเอง มันจะเลิกเพียรพยายามที่จะลากกลับเข้ามาสู่วงจรเดิมนะ มันจะเลิกมีความรู้สึกว่าข้าทุกข์เอ็งต้องทุกข์ด้วย มันจะกลายเป็นความรู้สึกว่า เออ เธอเย็นแล้วฉันอยากเย็นตาม ขอให้เธอเป็นที่พึ่งของฉันบ้างเถิด

คนมันอย่างนี้นะคือไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันในฉับพลันทันที ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงกันชั่วข้ามคืนทั้งเราทั้งเขา ถ้าเราเปลี่ยนก่อนถือว่าเราเอาบุญมาโปรดคนในบ้านก่อน เราเอาความสว่างเอาความเยือกเย็น เอาทิศทางใหม่ที่ตรงกับทางสวรรค์และนิพพานมาสู่บ้านที่เคยมืดมน หรือว่าขมุกขมัวอยู่ด้วยหมอกพิษ ไอพิษของโทสะ อันนี้เรื่องของกำลังใจ เรื่องของกำลังใจนี่นะบางทีมันเกิดจากมุมมอง มันเกิดจากการเห็น มันเกิดจากความเข้าใจ เข้าใจอะไรแบบนี้แหละ เข้าใจให้ชัดๆแล้วเกิดกำลังใจขึ้นมาจริงๆ มันจะแปรตัวเป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง มันจะมีมานะที่จะต่อสู้ น้องบอกว่าน้องรู้หมดแล้ววิธีที่จะเจริญสติในขณะที่เกิดโทสะ แต่ตอนนี้มันเจอเรื่องลำบาก มันผ่านยาก แบบทดสอบที่มานี่แต่ละครั้งนี่โหดขึ้นทุกที และมันชอบมาตอนดีๆอยู่ด้วย ไม่ใช่มาตอนกำลังเสียๆนะ กำลังดีๆอยู่โดนแกล้งให้เสีย

ก็เลยพูดให้เห็นภาพว่าเรากำลังเผชิญกับอะไร อยู่บนเส้นทางแบบไหน และพอเรามองออกว่าเรากำลังเดินทางอยู่บนเส้นทางแบบไหน เกิดกำลังใจขึ้นมาแล้วมันก็จะเดินต่อ ตอนที่เดินต่อนั่นแหละไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดนะ การที่เดินต่อ จำเป็นคีย์เวิร์ดไว้นะ ความต่อเนื่องนั่นแหละความก้าวหน้า จริงๆนะคือคิดเป็นทางกายภาพก็ได้ เราเดินไปนี่ถ้าเดินอย่างต่อเนื่องนี่มันก้าวหน้าไปเรื่อยๆถูกไหม อันนี้ก็เหมือนกัน แต่เรามองไม่เห็น มันไม่มีเครื่องวัดที่ชัดเจน มันไม่มีระยะทางบอกเป็นหลักไมล์ แต่มีความรู้สึกบอกเป็นความโล่ง เป็นความชัดเจนว่าอันนี้แหละของจริง อยู่จริง นานจริงไม่ใช่อยู่ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ใช่จะต้องไปเชื่อไปเลื่อมใสอะไรในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือว่าอะไรที่มองไม่เห็น แต่ว่าเอาที่รู้สึกได้อยู่ในใจนี่แหละ เราปฏิบัติมาแบบนี้ตามทิศทางแบบนี้ แล้วมันเกิดผลขึ้นมา รู้สึกได้เห็นได้ด้วยใจ นี่แหละ ตัวนี้แหละนะ จะทำให้เราเกิดความเพียรพยายามที่ต่อเนื่อง ความพยายามที่ต่อเนื่อง ความต่อเนื่องนั่นแหละคือความก้าวหน้า คงไม่ได้มีอะไรที่มากไปกว่ากำลังใจหรอกที่จะให้กันเอาละครับคำถามนี้โจทย์ข้อนี้มันเป็นของหลายๆ คน เพราะฉะนั้นก็เลยตอบยาวหน่อย



๒) ช่วงนี้จิตเฉื่อยมากค่ะ?

จิตเฉื่อยก็ทำให้มันมีความกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง ไม่ว่าจะด้วยทางกายหรือทางใจนี่ ทางกายเราก็อาจจะเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนอากาศซะหน่อย ทางใจก็ให้มันมีความหลากหลายความเปลี่ยนแปลงอะไร ความพยายามที่จะเห็นความคืบหน้าหรือว่าความแตกต่างที่มันทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้หน่อย เพราะว่าจิตเฉื่อยนี่จริงๆแล้วส่วนใหญ่ก็มาจากการที่จำเจอยู่กับอะไรอย่างหนึ่ง ร่างกายไม่ค่อยขยับหรือว่าไม่ค่อยออกไปหาอากาศสดชื่น ส่วนจิตนี่ก็อาจจะเนือยๆ รู้สึกว่าทุกอย่างดีหมดแล้ว ไม่เห็นมีอะไรมาก หรือไม่ก็อีกทีทางตรงกันข้าม กลับกันก็คือว่าเจอแต่เรื่องแย่แบบเดิมๆ ไปไม่ถึงไหนสักทีนะ

มนุษย์นี่มีศักยภาพอย่างหนึ่งคือสามารถจะเปลี่ยนความเหี่ยวเฉาให้กลายเป็นความสดชื่นได้ขอแค่พยายามทำอะไรให้แตกต่าง พยายามทำอะไรให้ดีขึ้น พยายามทำอะไรให้หลากหลายนะ ถ้าหากว่าเราเอาชนะความเฉื่อยไม่ได้ มันก็เหมือนกับเป็นเครื่องสะท้อนว่าเรากำลังนั่งอยู่เฉยๆ งอมืองอเท้านั่นแหละ



๓) เรื่องที่อยากจะถามจะเป็นเรื่องอจินไตยหรือเปล่าไม่ทราบนะคะ เพราะก็ยังไม่รู้ขอบเขตว่ามันเป็นอย่างไร คือ ทำไมคนเราถึงมีฝาแฝดคะ เกิดจากปัจจัยชาติก่อนอย่างไรบ้าง การมีชีวิตเป็นฝาแฝดก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย คือหนูมีแฝดแล้วทุกอย่างมันสัมพันธ์กันหมดเลยค่ะ วุ่นวายกว่าคนอื่น ถ้าเราไม่อยากเกิดมาเป็นฝาแฝดกันแล้วจะต้องทำอย่างไร?

โอ้โห อืม ก็อันนี้เป็นความในใจ ถือเป็นความในใจจากคนที่เป็นคู่แฝดนะ คู่แฝดมีหลายประเภทมากๆ คู่แฝดเกิดจากไข่คนละใบก็มีหน้าตาไม่เหมือนกันเลย นิสัยไม่เหมือนกันเลย แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กับที่มาจากใบเดียวกันนะก็จะดูเหมือนกับรับอะไรๆมาคนละครึ่งจริงๆ จากพ่อจากแม่แบบเดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน นิสัยเหมือนกัน เคยมีคนที่มีแฝด มีแฝดอยู่คู่หนึ่ง เป็นแฝดพลังจิต เขาเรียกอะไรนะ เดี๋ยวมันมีอะไรทวิน จำไม่ได้ ก็เขามีฉายาอะไรของเขาอยู่นะ

ก็เรียกว่าอันนี้เล่าให้ฟังเป็นเกร็ดนิดหนึ่ง ที่คนมักสงสัยกันว่าฝาแฝดนี่สามารถรู้ใจกันได้หรือเปล่า ฝาแฝดนี่สามารถจะซิงค์กันเป็นไปด้วยกันในทางดีในทางที่เป็นสุขได้หรือเปล่า เขาก็บอกว่ามีแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นนะในช่วงวัยเด็กของฝาแฝดส่วนใหญ่ที่มีประสบการณ์รู้สึกว่าสามารถรู้ใจกัน นอกนั้นอีก ๗๐ เปอร์เซ็นต์นี่ก็เหมือนกับพี่น้องธรรมดาทั่วไป รู้บ้างไม่รู้บ้าง อยากใกล้ชิดกันบ้างอยากอยู่ห่างกันบ้าง ผมเคยเจอมาตั้งแต่เด็กๆเลย เพื่อนที่เป็นฝาแฝดนะแบบไข่คนละใบนี่ที่เป็นชายเป็นหญิงแล้วก็ไม่คุยกันเลย คือตอนแรกผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นพี่เป็นน้องกันเพราะไม่คุยกันเลย ไม่เคยเห็นว่ามาสังสรรค์เสวนา หรือว่าอะไรทั้งสิ้นนะ ก็แปลกใจพอรู้ว่าเป็นพี่เป็นน้องกัน เขาบอกมันอึดอัด มันมีความรู้สึกไม่ดีว่ามีคนที่มากับเราอยู่ในท้องเดียว เคยอยู่ในท้องเดียวกับเรา อันนี้เป็นคำให้การตั้งแต่สมัยเป็นเด็กๆเลยนะ คือเป็นความรู้สึกออกมาจากใจของคนที่เขาก็มีอะไรแบบนี้มา

แต่แฝดบางคู่ อย่างเช่นนี่ ที่ผมนึกไม่ออก เดี๋ยว ทวินอะไรสักอย่างนี่ คือรู้สึกไซคลิคทวินนะถ้าจำไม่ผิดนะ ทวิน ทวินไซคลิคหรืออะไรนี่แหละ เขียนหนังสือออกมาด้วยกันเลยแล้วก็ออกรายการอะไรร่วมกันด้วย ทำงานร่วมกันมาตลอดชีวิตนะ ล่าสุดนี่ก็เป็นประเภทมีพลังจิตอะไรแบบนี้ ช่วยเหลือคน ด้วยการบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับใคร จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกอะไรแบบนี้นะ ด้วยการรีเช็คคือต่างฝ่ายต่างเห็นภาพเดียวกัน แสดงว่าจิตนี่ซิงค์กันมากแล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่า เริ่มรู้สึกถึงความสัมผัสความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายหนึ่งนี่ตั้งแต่สมัยยังเด็กๆอยู่นะ อีกคนหนึ่งเจ็บเราก็รู้สึกเจ็บด้วย หรือว่าอีกคนหนึ่งอยากได้อะไรอีกฝ่ายก็อยากได้ตามด้วยนะ มันปรากฏเป็นภาพในใจแล้วก็เกิดเป็นความรู้สึกที่มันเหมือนกับเป็นไปด้วยการเป็นคนเดียวกัน แล้วทีนี้พอตอนโตขึ้นมาแล้วนี่ มีความสามารถในการที่จะช่วยคนนี่ มันเริ่มปรากฏขึ้นมาตอนที่ เริ่มสังเกตเข้าไปในความสามารถที่ทั้งสองฝ่ายมีว่า ถ้าเห็นตรงกันนี่ แปลว่าน่าจะใช่ เป็นอะไรที่คลื่นของจิตนี่พอตรงกันแล้ว จูนตรงกันแล้วนี่มันเลยกลายเป็นสิ่งยืนยันว่านี่ของจริง ไม่ใช่ของหลอกนะ

ก็อย่างนี้ก็แล้วกันคือ ถ้าพูดถึงกรรมเก่าในอดีตที่จะทำให้เกิดเป็นแฝดนี่ ถ้าเป็นแฝดคนละใบนี่ก็คือเป็นพี่น้องธรรมดาเลย ไม่ได้ทำอะไรมาร่วมกัน เพียงแต่ว่ามีเหตุที่จะต้องมีจุดตัดของการเกิด มีปฏิสนธิจิต ในคราวเดียวกันหรือว่าไล่เลี่ยกันในพ่อแม่คู่เดียวกัน คือมีวิบากที่จะบันดาลให้เกิดชะตาชีวิตตรงกัน มาอยู่ในพ่อแม่สิ่งแวดล้อมแบบเดียวกันเพียงแต่ว่านิสัยไม่จำเป็นต้องเหมือนกันนะ มันมีแค่ความประจวบเหมาะเท่านั้นเอง

แต่ถ้าหากว่าเป็นแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน มีอะไรซิงค์กัน ส่วนใหญ่แล้วมาจากการที่เคยทำกรรมแบบเห็นดีเห็นงามตามกันทั้งชีวิต พวกนี้ก็อาจจะเคยเป็นพี่เป็นน้องกันมาก่อน แล้วก็มีบางคู่นะก็อาจจะเคยเป็นภรรยาร่วมสามีเดียวกันแล้วก็ปรนนิบัติสามีคนเดียวกัน มีความชอบใจอะไรเหมือนๆ กัน แล้วมีเหตุให้ได้ทำกรรมร่วมกันในแบบที่เหมือนกันเด๊ะ จะไปวัด จะปรนนิบัติสามี หรือว่าจะมีความคิดความเห็น มีรสนิยมอะไรต่างๆนี่ ราวกับว่าร่วมเป็นบุคคลคนเดียวกัน ก็เลยมีพลังขับดันให้มาเกิดพร้อมกัน ตายพร้อมกัน แล้วก็มา อันนี้ต้องสำคัญเลยนะคือต้องตายพร้อมกันและมีจุดตัดของเวลาเกิดที่ตรงกันด้วย มันถึงได้เกิดในไข่ใบเดียวกัน แล้วก็เป็นแฝดแท้นะ ไม่ใช่แฝดเทียม

ซึ่งแฝดแท้นี่พอพิจารณาจากกรรมเก่าว่าเคยทำอะไรมาเหมือนๆกัน ก็เหมือนกับมีการจูนจิตให้ตรงกันอยู่แล้วด้วยศรัทธา ด้วยศีล ด้วยจาคะ ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะรู้สึกเหมือนๆกัน หรือว่าตรงกันเมื่อมาพบกันนะ คลานตามกันมาแล้วมาพบกันนี่ ก็เป็นไปได้สูง ที่นี้ถ้ามันเกิดปัญหาตรงที่เรามีความขัดแย้งทุกอย่างมันกลายเป็นความอึดอัดอะไรมา ก็อาจเป็นไปได้ที่ว่า เราเป็นแฝดประเภทที่เคยร่วมกันในทั้งเรื่องของบุญและก็ในเรื่องของบาป มีความสบายใจต่อกันด้วยแล้วก็มีความอึดอัดต่อกันด้วย มันก็เลยเหมือนกับมาเจอเพื่อที่จะก่อความรู้สึกอึดอัดให้แก่กันและกัน ก็ให้ปฏิบัติเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปอย่าคิดว่าเป็นแฝดก็แล้วกัน ขอให้คิดว่าพี่สาวหรือน้องสาวเรานี่ เป็นอีกคนหนึ่ง เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข ที่เคยทำอะไรอาจจะเป็นเหตุของความอึดอัดมาร่วมกัน เพื่อที่จะได้เจอกันอีก แล้วก็เกิดความสบายใจต่อกันนี่ก็แค่ให้อภัยกันบ่อยๆ แล้วก็ทำความเข้าใจกันเรื่องของการมีกรรมสัมพันธ์ในแบบที่มันจะรบกวนความรู้สึกของกันและกันว่ามีโทษอย่างไร ถ้าจะต้องไปเจอกันอีก อาจจะไม่ใช่เป็นแฝด อาจจะเป็นคนที่ใกล้ชิดกัน อาจจะกลายไปเป็นพี่น้องกันอีก หรือว่าอาจจะกลายไปเป็นเพื่อนบ้านกัน หรืออาจจะเป็นเพื่อนที่โรงเรียนแล้วเกิดความบาดหมางกัน

คือพอมันเห็นอนาคตขึ้นมารำไร ลางๆนะ ว่า เออมันอาจจะเป็นอะไรอย่างนี้ได้ ถ้าหากว่ารากของอนาคตคือปัจจุบันนี่ ยังมีความบาดหมางกันอยู่ ยังมีการผูกเวรกันอยู่นี่ ซึ่งก็คงไม่พ้น ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง อาจจะในรูปแบบที่เรานึกไม่ถึง ไม่ใช่แฝดแบบนี้นะ อาจจะเป็นอะไรที่เราไม่เคยพบไม่เคยเจอมาก่อน อย่างเช่นว่าไปเกิดในบ้านเดียวกันนะแล้วก็ต่างฝ่ายต่างประเภทตัวติดกันอะไรแบบนี้นะ ตัวติดกันแล้วมันเลยทำให้ชีวิตของอีกฝ่ายหนึ่งไม่เป็นสุข ไม่สามารถที่จะอยู่แบบสบายได้อะไรแบบนี้ พอเห็นโทษเห็นภัยของอนาคตมันก็จะได้มีแก่ใจว่าทำปัจจุบันนี่ให้มันดีขึ้น ให้อภัยกันมากขึ้น แล้วก็สร้างเหตุของความสุขความสบายใจต่อกันและกันมากขึ้นนะ

คือเห็นจากปัจจุบันนี่แหละว่ามันคงต้องเคยอะไรสักอย่าง มีเมล็ดพันธุ์ของความทุกข์นี่ที่เราไปโปรยไว้ในอดีตนี่ มันเลยมีสภาพปัจจุบันที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นแฝดกัน รักก็รักนะ ไอ้ที่ชังก็ชังอะไรแบบนี้ อย่าให้เกิดขึ้นอีกเลยนะ ต่างฝ่ายต่างพยายามทำตามแนวทางของพุทธคืออยู่ด้วยกันด้วยดี มีศรัทธา มีศีล มีจาคะ มีปัญญา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่ว่าจะเป็นญาติมิตร หรือว่าจะเป็นคู่รักก็ตาม พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าสิ่งที่จะทำให้กลมกลืนกันเข้ากันได้หรือพูดง่ายๆ ว่าจูนจิตให้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันนี่ก็ได้แก่การมีศรัทธาร่วมกัน เลื่อมใสร่วมกันในสิ่งที่ดีในสิ่งที่งาม การที่ตั้งใจว่าจะรักษาศีลอย่างเช่น ไม่คิดทำร้ายกัน ปวารณาตัวว่าสามารถตักเตือนกันได้นี่เรียกว่ามีศีลเสมอกันนะครับ แล้วมีจาคะคือมีน้ำใจ น้ำใจที่จะอภัย น้ำใจที่จะเกื้อกูลกัน น้ำใจที่จะช่วยเหลือสังคมรอบข้างด้วยกันนะ ถ้าหากว่ามันมีทั้งศรัทธา ทั้งศีล ทั้งจาคะได้เสมอกันนี่ ปัญญามันเกิดขึ้นตามมาเองคือมีความเข้าใจตรงกัน พูดภาษาเดียวกัน คุยกันรู้เรื่อง ตรงนี้แหละที่มันจะจูนจิตให้ตรงกันได้ แล้วก็รู้สึกดีต่อกันนะ สามารถที่จะพูดได้เต็มปากว่าเป็นพี่เป็นน้องกัน



๔) บางครั้งเวลาพระมาบิณฑบาตที่บ้านตอนเช้า ถ้าของเยอะหนูจะอาสานำของท่านไปไว้ที่วัด เพื่อที่ท่านจะได้บิณฑบาตต่อได้สะดวก แต่บางครั้งท่านให้นำของไปไว้ที่วัดทั้งย่ามเลย หนูกลัวท่านอาบัติเพราะคิดว่าผู้หญิงไม่ควรไปแตะต้องของพระ แต่ก็ไม่กล้าถามท่าน ท่านจะอาบัติไหมคะ แล้วหนูจะควรทำอย่างไรดี?

แน่นอนครับ คือ อย่างที่น้องเข้าใจนะ คือกิจแบบนี้นี่เราเป็นผู้หญิง เราเป็นโยมนี่ไม่น่าจะอาสาท่านด้วยซ้ำ แต่ถ้าเรามีเพื่อนไป เรามีเพื่อนชายเรามีคนที่บ้านไปด้วยกันอะไรแบบนี้ก็ว่าไปอีกอย่างหนึ่ง ถ้าพระจะอาบัตินี่ ก็ที่ชัดๆก็คือว่าอยู่ สองต่อสองกับผู้หญิง โดยที่ไม่มีบุคคลผู้รู้เดียงสาเป็นพยานอยู่ใกล้ๆ ด้วย บุคคลผู้รู้เดียงสาก็อย่างเช่น เณร หรือว่าใครก็แล้วแต่ที่สามารถเห็นได้ รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากับท่านาหากว่ามีระยะห่างบุคคลกั้นขวางแบบนี้ก็ไม่เป็นไรนะ แต่ถ้าหากว่าเราจะไปช่วยท่าน อันนี้เยอะเลยนะ บางทีคิดไม่ถึงกัน อาสาช่วยอะไรแบบนี้แล้วแค่จะต้องลับมุมบังอะไรนิดเดียวนี่ผิดวินัยเลยนะ ถ้าพระอยู่กับหญิงนี่โดยที่ไม่มีสายตาอื่นรู้เห็น ในที่ที่กั้นบัง ในที่ที่ไม่มีใครรู้เห็นนี่ แค่นี้ถือว่าอาบัติแล้ว แต่เป็นอาบัติเบา อาบัติที่แก้ได้ไม่ยาก เพราะว่าอาบัติที่ร้ายแรงจริงๆ นี่ก็คือต้องมีการแตะต้องเนื้อตัวด้วยความยินดีในเชิงราคะ ถ้าจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมหรือว่าจะให้เกิดความสบายใจจริงๆ ก็คือไม่ต้องไปอาสาอะไรแบบนั้น หรือไม่ถ้าจะหากจะทำบุญด้วยวิธีนี้ก็ควรจะมีเพื่อนไปเป็นกิจจะลักษณะนะครับ



๕) วันนี้มีเรื่องกลุ้มใจมากเลยค่ะ อยากถามคือการระงับความโกรธ สามารถควบคุมไว้ได้ พยายามข่มเอาไว้นะ พิจารณาแล้วแต่เหมือนเผลอหรืออะไรไม่ทราบ มันเผลอพุ่งขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้วีนไปนะคะ เหมือนมีออร่าทะมึนๆ น่าขยะแขยงออกมาจนรู้สึกได้ พอไม่ได้ระบายออกไป ผลก็คือเหมือนอาการทางหัวใจกำเริบค่ะ แต่ไม่ได้แสดงความโกรธออกมานะคะควรทำอย่างไรดี?

คือเข้าใจว่าอันนี้คงเป็นออร่าของตัวเองนะ ตรงนี้รู้สึกได้นี่ดีเลย เพราะว่าทุกคนนี่รู้สึกเหมือนกันหมดแหละแต่ว่าไม่สังเกต แล้วก็ไม่เชื่อว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นเป็นของจริง เอาเป็นว่าถ้าเรารู้สึกว่ามีอะไรทะมึนๆ ขึ้นมา แล้วก็รู้สึกจุกอก รู้สึกว่ามันแน่นไม่ได้ระบายออกไปนี่ ก่อนอื่นเลย ให้พยายามที่จะขยับเนื้อขยับตัวอะไรเสียบ้าง มันจะได้มีจุดสังเกตของสติ มันจะได้มีจุดสังเกตว่าเรานี่สามารถที่จะตั้งสติขึ้นมาได้หรือเปล่า ถ้าขยับเนื้อขยับตัวแล้วรู้สึกว่ามันยังทื่อๆ มันถูกบล็อกนะ ขยับแล้วก็ยังไม่รู้สึก หรือรู้สึกแบบขาดๆ เหมือนกับหนังขาดเหมือนกับตุ๊กตาล้ม เหมือนกับหนังที่มันไม่ต่อเนื่องที่มันไม่ติดประติดประต่อ แบบนั้นนี่เราได้จุดสังเกตแล้วว่าสติของเรานี่มันขาดตอน สติของเราไม่เกิด ณ ขณะนั้น ถ้าเกิดความรู้สึกอึดอัดอยู่นะขอแนะนำให้มีความเคลื่อนไหวแบบเร็วๆ

สมมติว่าอยู่ในสถานการณ์ที่เดินไปไหนไม่ได้นี่ เราก็เดินวนเวียนอยู่แถวนั้นแหละ ก็เดินแบบชับๆๆ เพื่อให้เกิดความรู้สึกกระทบอะไรขึ้นมาบ้าง ที่มันเป็นกระทบแบบไม่ร้อน กระทบแบบไม่มีความเสียดแทง อย่างความรู้สึกเท้ากระทบพื้นนี่มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เสียดแทงนะ มันเป็นความรู้สึกว่า กระตุ้นให้เกิดความรับรู้ว่านี่มันมีอาการตั๊บๆๆกระทบระหว่างฝ่าเท้านุ่มๆ ของเรากับพื้นแข็งๆ แล้วเกิดความรู้สึกเหมือนกับรู้สึกตัวขึ้นมาได้ มีความรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาได้ว่านี่เป็นกระทบของจริงเป็นกระทบอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่กระทบอันเกิดจากไฟร้อนทางคำพูด หรือไฟร้อนของสายตา ของคนที่อยู่ต่อหน้าต่อตาเรา

พอเกิดความรู้สึกถึงกระทบได้ นั่นแสดงว่าสติเกิด พอสติเกิดขอให้สังเกตเลยอาการอึดอัดจุกอกหรือว่าออร่าทะมึนๆ อะไรทั้งหลายที่เรารู้สึกได้นี่มันจะลดลง มันจะคลี่คลายลง เราก็รีบบอกตัวเองเลยว่านี่เห็นความเปลี่ยนแปลงของโทสะแล้ว ระดับของโทสะมันลดดีกรีลงแล้ว แล้วจากนั้นนี่ คือถ้ายังพูดอะไรไม่ออก มันยังไม่สามารถระบายอะไรออกไปได้ ก็ให้ใช้สติดูโทสะไปเลยนะ เข้าใจไหม

คือเริ่มต้นขึ้นมานี่ เราต้องหาจุดสังเกตของสติว่ามีกำลังแค่ไหนก่อน อย่างเช่น ร่างกายนี่มันถ้าได้เคลื่อนไหวไปบ้างนี่มันมันปลุกสติขึ้นมา มันสังเกตได้ว่าสติของเรามีกำลังมากพอหรือเปล่า ถ้าหากว่ามันไม่สามารถรู้ได้กระทั่งอาการเคลื่อนไหวของร่างกายนะ มันไม่มีทางเลยที่เราจะไปรู้ลักษณะของความเป็นโทสะที่กำลังปรากฏอยู่ ณ ขณะนั้น แต่ถ้าหากว่าเราสามารถรู้สึกถึงร่างกายขึ้นมาได้อันนั้นแหละเราถึงจะสามารถรู้สึกถึงโทสะขึ้นมา และเมื่อสามารถดูโทสะได้ เห็นว่าโทสะมันไม่เที่ยงได้ ตรงนั้นความอึดอัดมันจะหายไปทันที เพราะปัญญามันเกิด สติมันเกิด กุศล พอกุศลจิตเกิดนะ ร่างกายมันผ่อนคลายตาม มันตอบสนองต่อกุศลจิตทันที นี่แหละที่ จะทำให้อาการอึดอัดไม่เกิดขึ้นแล้วก็อาการทางหัวใจก็จะไม่กำเริบนะครับ



๖) ทำอย่างไรให้รู้สึกดีกับตนเอง ชอบจริงจังเกินเหตุ จึงทำให้เครียดและกังวลบ่อยๆ บางครั้งรู้สึกโดดเดี่ยวค่ะ อาจเพราะขาดความอบอุ่นตั้งแต่เด็ก ที่ผ่านมาก็ต้องช่วยเหลือตัวเองตลอด ต้องเจริญสติให้รู้สึกผ่อนคลายใช่หรือเปล่าคะ?

วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้รู้สึกดีกับตัวเองคือ เห็นว่าตัวเองนี่มีความก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ในทางใดทางหนึ่งนะ หรือไม่ก็ตัวเองนี่มีประโยชน์กับชาวโลกในทางใดทางหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้นนะคนเราไม่มีทางรู้สึกดีกับตัวเอง ต่อให้ได้ไปได้เหรียญทอง หรือว่าไปสอบได้ หรือว่าทำงานได้ หรือว่าได้เงินได้ทองอะไรมาแค่ไหนก็ตาม มันจะเป็นความรู้สึกแค่วูบๆวาบๆ ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีต่อตนเองอย่างแท้จริง ลองนึกดู ถ้ามีใครบอกว่าคุณเป็นคนโชคดี กับอีกคนหนึ่ง บอกว่าคุณเป็นคนมีค่า ความรู้สึกแบบไหนที่จะทำให้เรารู้สึกดีได้กับตัวเองจริงๆ ความโชคดีนี่มันให้มาไม่ใช่ด้วยความพยายาม มันไม่ใช่ด้วยการสร้างบุญสร้างกุศล ไม่ใช่ด้วยการก่อกรรม แต่เป็นด้วยอะไรก็ไม่รู้ คนเรานี่มันระลึกชาติไม่ได้ มันก็ไม่รู้ว่าบุญมาจากไหน ลาภมาจากไหน ที่บุญหล่นทับนี่ ที่ส้มหล่นหรือว่าที่ถูกล๊อตเตอรี่อะไรต่างๆนี่ มันมาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้ใช้ความพยายามไม่ได้ใช้คุณค่าของตัวเอง

แต่ถ้าหากว่าจิตใจของเรา จิตวิญญาณของเราพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มันสามารถให้อภัยคนได้ มันสามารถสร้างค่าให้ตัวเองด้วยการทำประโยชน์ให้คนอื่นได้ วันหนึ่งเมื่อมีใครจะระลึกถึงเรา เมื่อเราจากไปแล้วนี่ เขาจะพูดว่า นี่คุณคนนี้นะช่วยให้ชีวิตฉันดีขึ้น คุณคนนี้นะช่วยให้ฉันพ้นจากความยากลำบาก คุณคนนี้นะให้อภัยฉันทำให้ฉันเกิดแรงบันดาลใจ อยากจะให้อภัยคนอื่นบ้าง มองโลกในแง่ดีขึ้นได้ อย่างนี้นี่คือมันเป็นความทรงจำดีๆที่ถูกทิ้งไว้ในโลก มันมีค่ามากกว่ากัน มันมีค่ามากกว่าความโชคดี

ทีนี้มองกลับกันอย่างน้องบอกว่ามันเหมือนกับถูกทอดทิ้งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอันนี้ก็คือความโชคร้าย ความโชคร้ายมาจากไหนไม่รู้ เราจำไม่ได้ เราระลึกชาติไม่ได้ว่าเคยไปทำอะไรมา ถึงได้ถูกทอดทิ้ง แต่เราสามารถมองออกว่า ความโชคร้ายนี่มันไม่ได้แย่ไปกว่าการที่เรางอมืองอเท้า ที่จะหมกจมอยู่กับความเศร้า งอมืองอเท้าที่จะทำประโยชน์เฉพาะให้กับตัวเองไม่ทำประโยชน์ให้คนอื่นนะ ความโชคร้ายนั้นมันยังดีซะกว่าการที่เราหมกจมอยู่กับความเศร้าไปเปล่าๆ ถ้าหากว่าเราแค่จะเจริญสติเพื่อให้ความหมกจมนั้นมันถอนออก นี่แค่นี้เรามีค่าขึ้นแล้ว มันจะรู้สึกดีกับตัวเองแล้ว ว่าเกิดมานี่โชคร้ายแต่ชีวิตนี้ทำให้ตัวเองรู้สึกดีได้ มันเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นอะไรที่ดีกว่าคนที่เขามีความสุขอยู่แล้วแล้วเขาก็มาสร้างความสุขต่อยอดให้กับตัวเอง เพราะคนที่มีความสุขแล้วมามีความสุขเพิ่มนี่ มันดูเหมือนง่าย แต่คนที่เกิดมาไม่มีความสุขแล้วสามารถทำให้ตัวเองมีความสุขได้ ทำให้คนอื่นมีความสุขได้ เคยถูกทอดทิ้งแต่เราไม่ทอดทิ้งใคร เคยต้องให้กำลังใจตัวเอง ไม่มี ไม่ได้รับกำลังใจจากคนอื่น แต่มีความสามารถที่จะให้กำลังใจคนอื่น สามารถที่จะให้กำลังใจตัวเองได้ คนแบบนี้ไม่ใช่หาง่ายๆ และมันเกิดขึ้นได้เพียงเราตั้งใจที่จะเป็นไปแบบนั้นนะ


เอาล่ะครับ เหลืออีกสามสิบวินาที คืนนี้คงต้องล่ำลากันไปก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น