วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๑๒๐ / วันที่ ๒๖ ต.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันศุกร์ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks



๑) การไปช่วยเหลือหรือเตือนคนอื่น จากสิ่งที่เราเห็นในความฝัน ถือว่าไปเบี่ยงกรรมเขาหรือไม่? แล้วสิ่งที่ควรทำสิ่งที่ไม่ควรทำกับการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้านี่มันคืออะไร?

ความฝัน ก่อนอื่นเริ่มจากประเด็นนี้ก่อนนะครับ ความฝันมันเป็นไปได้หลายอย่าง อาจจะเป็นฝันเหลวไหลเหมือนกับความฟุ้งซ่านธรรมดา แต่บางครั้งก็เหมือนกับเป็นการรู้ล่วงหน้าจริงๆ ซึ่งประสบการณ์ของคนในโลกนี้ เกินกว่าครึ่งเคยพบกับความฝันที่มันเป็นลางบอกเหตุ หรือว่าเป็นเครื่องหมายบอกถึงนิมิตในอนาคตตรงๆนะครับ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาบอกว่า โอ๊ยเหลวไหลไปซะทีเดียว เพราะว่ามันมีหลักฐานกันมาหลายคน แต่มันมาแบบไม่แน่ไม่นอน และไม่สามารถที่จะไปกำหนดเจาะจงรู้ได้ว่า เราจะฝันแม่นคืนไหน หรือฝันเหลวไหลคืนใด มันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ญาณหยั่งรู้ แต่เป็นสัมผัสที่มีปัจจัยบางอย่าง ที่ไปปรุงแต่งจิตของเราให้มันเกิดความฝันขึ้นมา

ถ้าหากว่าเราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แล้วเหตุการณ์นั้นมันกำลังจะเกิดขึ้นแน่ๆเนี่ย มันมาปรุงแต่งจิตของเราให้เกิดความเปลี่ยนไป เห็นนิมิต เห็นนั่นเห็นนี่ไป ไม่ถือว่าเป็นเรื่องอภินิหาร ไม่ถือว่าเป็นเรื่องลึกลับ แต่เป็นเรื่องที่มีเหตุผล ซึ่งเราไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงจะต้องไปฝันถึงอนาคตแบบนั้น

แต่เอาล่ะพอเรื่องเกิดขึ้น แล้วเราอาศัยประโยชน์จากการรู้ล่วงหน้ามาชี้แนะคน มาช่วยคน มาทำให้เหตุการณ์มันคลี่คลายจากร้ายกลายเป็นดีไปได้ นั่นก็แปลว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราต้องฝันถึง ฝันนั้นจะต้องมีประโยชน์กับใครบางคน เราจะต้องช่วยใครบางคนนะครับ แล้วเขาก็ได้ประโยชน์ไป ถือว่าเรามีโอกาสทำบุญในแง่ของการให้ทาน ในแง่ของการช่วยคน

ตัวอย่างที่จะเปรียบเทียบอาจจะไม่เหมาะเท่าที่ควร แต่ว่าที่ผมจะพูดถึงไม่ใช่ความฝันแต่เป็นพระญาณ อย่างพระพุทธเจ้าตื่นขึ้นมาตอนตี ๔ ท่านจะแผ่พระญาณ เพื่อที่จะดูเลยว่าวันนี้จะเจอใคร ที่มีโอกาสได้บรรลุมรรคผลบ้าง ท่านก็จะไปโปรด ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ท่านก็จะไปโปรด อันนั้นไม่ใช่ความฝัน อันนี้เป็นญาณหยั่งรู้ เป็นญาณเฉพาะที่มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะทรงขยันตื่นขึ้นมาตอนตี ๔ จะต้องแผ่พระญาณไป เพื่อไปโปรดสัตว์โดยเฉพาะ เป็นนิสัย เป็นวาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ครับ ก็เป็นตัวอย่างว่าการที่ใช้ความหยั่งรู้ล่วงหน้าไปช่วยคนเนี่ยมีประโยชน์จริง

ในส่วนของเรา โอเคอาจจะมาโดยที่เราไม่เข้าใจเหตุผล แต่ก็ให้เข้าใจเถอะว่า มันเป็นส่วนที่ปรุงแต่ง ให้เรามีโอกาสได้ทำบุญ ได้ช่วยคน

ทีนี้การที่จะมาสรุปว่า การที่เราไปช่วยคนแล้วปัญหาของเขามาเข้าตัวเราเนี่ย เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน มันอาจจะมีกรรมอะไรบางอย่างของเรา ที่จะชวนให้เกิดความเข้าใจผิด ในเรื่องของกฏแห่งกรรมวิบาก นี่ถ้าจะคิดต้องคิดในแง่นี้นะ บางทีอาจจะไปทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิด หรือว่าไปบั่นทอนกำลังใจในแง่ที่ไม่ถูกไม่ต้องเนี่ยนะยกตัวอย่างที่ผมเคยเห็น เห็นแล้วสลดใจมากเลย อย่างบอกว่าบริจาคดวงตาเนี่ย ระวังนะเกิดมาชาติหน้าตาบอด หรือว่าที่เคยเห็นเขียนเป็นเรื่องสั้นเป็นตุเป็นตะ ไปบอกใครต่อใครเขาว่าเวลาที่อุทิศส่วนกุศลให้ใครอย่าอุทิศให้หมด เพราะไม่งั้นบุญของเราจะหมด เขาเอาไปหมด คือคิดเองเออเองเสร็จ แล้วมาทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิด ในเรื่องของหลักกรรมวิบาก โทษเนี่ยมันหนักหนาสาหัสมาก

นี้คือยกเป็นตัวอย่างว่า ถ้าหากว่าเราเคยไปบั่นทอนกำลังใจคนอื่น หรือทำให้คนอื่นเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกรรมวิบากผิดๆ มันอาจจะเกิดกรณีอะไรแบบนี้ คือพอเราไปช่วยใคร แล้วจะต้องจับพลัดจับผลูบังเอิญนะ มีวิบากเก่าที่เราเคยไปทำกับใครเขาไว้ หรือสิ่งที่มันเป็นปมปัญหาเป็นระเบิดเวลาของเราเนี่ย ได้เวลาระเบิดเขามาเฉพาะเจาะจง เหมาะเจาะที่จะทำให้เราเกิดความเข้าใจผิดหรือเกิดความไขว้เขวขึ้นมา

ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆนะสมมติว่า ถ้าการที่เราช่วยใครด้วยความรู้ความสามารถแล้วเราจะโดนซะเองเนี่ย อย่างนี้พวกจิตแพทย์นะหรือว่าพวกที่เป็นผู้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิต หน่วยงานที่เกี่ยวกับเรื่องการแก้ปัญหาสังคมอะไรต่างๆ วันๆนี่เจอเป็นสิบ ยี่สิบ สามสิบ หรือว่าบางแห่งเนี่ยเจอเป็นร้อยนะ ก็คงจะรับเละเลย สารพัดที่เขาไปช่วยคลี่คลายปัญหาให้ชาวบ้าน แล้วนักจิตวิทยาหรือนักจิตแพทย์บางคนมีทักษะ มีความสามารถ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว หรือสามารถที่จะเห็นอะไรล่วงหน้าได้แต่เขาจะไม่พูดกัน มีบางคนมีความสามารถเฉพาะตัว แล้วก็เอาความสามารถเฉพาะตัวนั้นไปช่วยคนนะครับโดยที่ผู้ได้รับความช่วยเหลือเอง ก็ไม่ทราบว่าเขาไปรู้มาจากไหนเห็นมาจากไหน นี้ก็เป็นตัวอย่างที่ยกมาให้ฟังง่ายๆเลยว่า การช่วยคนเป็นบุญ ไม่ใช่ว่าช่วยแล้วจะไปเอาบาปของเขา เอาวิบากของเขามาเข้าตัวเรานะครับ เปลี่ยนความเข้าใจซะ เรื่องกรรมวิบากนี่จริงๆแล้วเป็นเรื่องที่จะว่าไปแล้ว ทุกคนพร้อมที่จะเข้าใจอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อนเพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจกันได้ง่ายนัก



๒) การที่คู่รักที่ไม่ได้หมั้นหมายหรือแต่งงานกัน คนใดคนหนึ่งเกิดการนอกกายหรือแม้กระทั่งนอกใจแบบนี้ถือว่าบาปไหม? ไม่ว่าจะเจตนาอย่างไร บทลงโทษของการเป็นแฟนกันกับคู่ที่แต่งงานเป็นสามีภรรยานี่ต่างกันมากน้อยแค่ไหน?

มันขึ้นอยู่กับการให้สิทธิ์ในการครอบครอง แล้วก็การเปิดเผยเป็นที่รับรู้ของสังคมทั่วไปแล้ว สมัยก่อนเนี่ยมันชัดเจนว่าคู่หมั้นคู่หมาย มีเครื่องหมั้นเครื่องหมายประดับตัวกันไว้ อย่างเช่นเอาพวงมาลัยคล้องรู้เลยว่า โอเคอันนี้มีคู่หมั้นแล้ว คือไม่ใช่คล้องคอตลอดเวลาเหมือนแหวนหมั้นนะ แต่เขาก็จะคล้องกันวันสองวันหรืออะไรอย่างนี้เนี่ย คือจะให้ชาวบ้านเห็นมีการจับจองแล้ว มีคนเป็นเจ้าของแล้ว ซึ่งถ้าตามหลักธรรมหลักของศีล ถ้าหากว่าจับจองไปแล้วเนี่ยถือว่ามีเจ้าของแล้ว ถ้าหากว่าไปละเมิด ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ก็คือละเมิดศีลแล้ว ละเมิดผิดศีลข้อ ๓ แล้ว ถือว่าไปเอาคนที่มีเจ้าของมาประพฤติผิดกัน

ถ้ามองกันตรงนี้นะ ตรงที่ว่าเรายึดเอาการรับรู้ของชาวบ้าน การรับรู้ของคนทั่วไปว่าเป็นคู่กันแล้ว สมัยนี้เป็นผัวเมียกันทั้งนั้นแหละ ที่เรียกว่า ’แฟน’ กัน ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ที่ยังไม่ได้หมั้นหมายกัน แต่เป็นที่รับรู้ของชาวบ้านแล้ว เวลาตีความต้องตีความอย่างนี้ สมัยก่อนคือเวลาเขาจองตัวกัน เขาจองกันแค่ด้วยการคล้องพวงมาลัย แล้วบอกว่าเนี่ยเป็นคู่หมั้นฉัน ห้ามไม่ให้มีใครมาแตะต้องแล้วนะ เป็นสิทธิ์ของฉันแล้วนะ แล้วก็เกิดการรับรู้ในคนทั่วๆไปว่าเป็นสิทธิ์ของใครไปแล้ว

ทีนี้ถ้ามองในปัจจุบันก็คือว่า การไปไหนมาไหนด้วยกัน ซึ่งสมัยก่อนไม่ได้อิสระเหมือนอย่างทุกวันนี้ ในสังคมเมืองทั่วโลกเนี่ยนะ ไปไหนมาไหนด้วยกันเนี่ย ก็มีการเปิดเผยนะครับ บางทีเนี่ยอยู่ห้องเดียวกันเป็นปีๆนะ บอกยังไม่ได้แต่งงานกัน โอ๊ยมีสิทธิ์อะไรต่างๆเนี่ยนะ ถ้าคู่ของเราเนี่ยเขาไม่ได้ยินยอมพร้อมใจด้วยว่า จะไปมีสิทธิ์ที่ไหนก็ได้ อะไรอย่างนี่ก็ถือว่าไม่ใช่แล้วนะ เราเออออไปคนเดียว เราคิดไปเองคนเดียว ก็จะต้องถือเอาตรงนี้แหละว่า ถ้าเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปแล้วว่าอยู่กินกันนะครับ หรือว่าเป็นแฟนกันนานๆเนี่ยนะ ไม่มีสิทธิ์ที่ใครเขาจะแตะต้องเหมือนกัน ถ้าแตะต้องหรือว่ามีอะไรกัน มันเป็นความผิดนะครับ ในแง่ของศีลธรรม

คำว่า ‘สิทธิ’ เนี่ยไม่ได้ผูกอยู่กับการแต่งงานอย่างเดียวอย่างที่หลายๆคนเข้าใจ คำว่าสิทธิอยู่กับการยินยอมให้ถือครอง ถ้าไปไหนมาไหนด้วยกันนานๆ แล้วทุกคนเห็นกันหมดแล้วนะ เพื่อนฝูงญาติมิตรเนี่ยรู้ว่าเป็นแฟนเป็นคู่ควงกัน ก็ถือว่าถ้าจะสละสิทธิ์ต่อกัน ต้องตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย แล้วก็บอกกล่าวให้กับคนรู้จัก คนทั่วไปได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่เรายังถือว่าคนนี้เป็นแฟนอยู่ แล้วก็ไปมีอะไรกับใคร โดยที่บอกว่ายังไม่ได้แต่งงานกัน ไปอ้างแบบนี้ไม่ได้

ทีนี้บทลงโทษของการที่ว่าจะแต่งงานแล้วกับไม่แต่งงานแล้วเนี่ย อันไหนหนักกว่ากัน ก็ไม่ได้มีอะไรที่มันเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวหรอก แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นะ ผู้ที่ละเมิดศีลข้อกาเม หลังจากไปชดใช้กรรมในนรกหรือว่าอบาย สำหรับคนที่ผิดศีลข้อ ๓ เป็นประจำเนี่ย พระพุทธเจ้าตรัสว่าสั่งสมให้มากแล้ว ทำเป็นประจำแล้วจนชินชาชาด้านแล้ว ก็จะนำไปสู่นรกหรือไม่ก็ความเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือไม่ก็ความเป็นเปรตอย่างใดอย่างหนึ่ง ขึ้นอยู่กับโทษานุโทษ คือยิ่งทำมากเท่าไหร่เนี่ยกรรมมันยิ่งหนัก ยิ่งถ้าหากว่าจงใจ ทำให้ใครต่อใครเจ็บใจด้วยวิธีการทางชู้สาวเนี่ย อย่างนี้ถึงนรกนะ เพราะว่ามีความร้อนแรงมาก แต่ถ้าหากว่าทำเหมือนกับไปสำส่อนไม่เลือกนะ แล้วชีวิตเนี่ยรู้สึกว่าจมอยู่กับความเน่าเหม็นของกามไม่เลือกหน้า อันนี้ส่วนใหญ่ก็ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าความเป็นสัตว์เดรัจฉานหมายถึงความเน่าเหม็นนะครับ ส่วนการเป็นเปรต ก็จะเป็นประเภทที่ว่าทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่ว่าตัดไม่ขาดอะไรแบบนั้น ส่วนถ้าจะยกระดับขึ้นมาเป็นมนุษย์ได้ ถ้าบุญเก่าสามารถมาเกิดในท้องมนุษย์ได้อีก พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าโทษอย่างเบา โทษสถานเบาของผู้ที่ละเมิดศีลข้อ ๓ ก็คือเป็นผู้มีภัยเวร คือ มีสภาพที่น่าจะหาเรื่อง น่าจะเอาเรื่องด้วย พูดง่ายๆเลยว่าเคยไปทำให้ใครเขาเจ็บใจ เกี่ยวกับเรื่องทางชู้สาวมา เขาก็จะจำได้ง่ายๆเลย แล้วก็มันจะมีเหตุให้ผูกกัน เป็นเรื่องบาดหมาง เป็นเรื่องบาดใจบาดหูบาดตาไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะเกิดการอโหสิ โดยวิธีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าสู่นิพพานไป ไม่งั้นนี่ยาก เรื่องทางชู้สาวเวลาบาดใจกันแล้วมันนาน มันยืดเยื้อ โอกาสที่จะอโหสิเนี่ย ต้องเป็นคนที่มีโอกาสเกิดในพุทธศาสนา หรือว่าศรัทธาในศาสนาใดลัทธิใดลัทธิหนึ่งที่สอนเรื่องของการให้อภัย สอนเรื่องการเห็นประโยชน์ของการที่เราจะไม่ต้องมีภัยมีเวรต่อกัน เลิกแล้วต่อกัน แล้วก็มีใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ต่างฝ่ายต่างอโหสิให้กันทั้งคู่ อย่างนี้ก็ถึงจะพ้นจากภัยเวรที่ผูกๆกันมาได้นะครับ แต่ส่วนใหญ่มันยากนะ คือถ้าหากว่าเราทำให้ใครเขาเจ็บใจในเรื่องเกี่ยวกับชู้สาวเนี่ย มันมักจะเป็นปม เป็นบาดแผลที่ซ่อนอยู่ลึกๆ เห็นหน้ากันเมื่อไหร่ก็จะมีความรู้สึกเสียวแปลบ เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ เกิดความรู้สึกว่าไม่สามารถคบหากันได้สนิทใจ ถึงแม้ว่าจะเลิกรากันไปแล้ว ก็ขอให้มองอย่างนี้ก็แล้วกันนะ โทษสถานหนักก็คือ ทำบ่อยๆ มันไปถึงอบายได้ แต่ถ้าแค่ครั้งสองครั้งแล้วกลับสำนึกได้ มันก็ไม่เท่าไหร่นะครับ คืออาจจะมีความบาดหมางบ้าง แต่ว่าถ้าหากคุยกันดีๆก็คืนดีกันได้



๓) แต่งงานแล้วแต่ตกหลุมรักผู้ชายคนอื่น อยากจะทราบว่ากรณีแบบนี้ เคยเป็นแฟนหรือสามีในอดีตชาติหรือเปล่า? ทำกรรมอะไรถึงทำให้รู้สึกมีความต้องการอยากอยู่ใกล้มาก แต่เป็นไปไม่ได้

เรื่องของอดีตกรรมก็มีส่วนนะครับที่สามารถอธิบายได้ ถ้าหากว่าผูกพันกันมาด้วยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มันมีความเหนียวแน่นมากๆ ก็จะทำให้คิดถึงมากๆเช่นกัน แต่การคิดถึงกันไม่จำเป็นว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องผูกกรรมกันมาทั้งคู่ อาจจะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จ้องผูกอยู่แล้วก็ต้องถึงเวลารับกรรม

ยกตัวอย่างง่ายๆเลยนะ ถ้าหากว่าในอดีตเราเคยไปหลอกคนๆนึงไว้นะ คือรู้ว่าเขาจะต้องเสน่หาเรา จะต้องคิดถึงเรามากๆ ก็ไปยั่วไปทำให้เขาเกิดความติด ความหลงนะ แต่ใจเราไม่เอาหรอก คนนี้กระจอก เสร็จแล้วลืมไปแล้ว ต่างฝ่ายต่างตายจากกัน กลับมาเจอกันใหม่คราวนี้ ตัวที่จะมาเล่นงานเนี่ยก็มาเล่นงานฝ่ายเราบ้าง คือมาบีบกันที่ความคิด บีบกันที่จิต บีบกันที่ความมีอาการถวิลหานะครับ เขาเนี่ยไม่รู้สึกอะไรเลยแต่เรานี่รู้สึกมากอะไรแบบนั้น

หรือมันเป็นไปได้อีกหลายอย่าง อย่างเช่นว่าเคยอยู่กินกันมา แล้วก็อยู่กันมานานแต่ฝ่ายหนึ่งก็มีความรู้สึกรักใคร่ แล้วก็มีความรู้สึกเหมือนกับอาลัยอาวรณ์ฝ่ายหนึ่ง แต่เขาไม่เล่นด้วยเขาไปมีใจให้คนอื่น หรือว่าไปมีความรู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับเขาอะไรทำนองนั้น มันก็เป็นไปได้ที่ว่าเกิดมาแล้วจะเป็นฝ่ายเราฝ่ายเดียวที่ไปคิดถึงเขา

มันมีเหตุมีปัจจัยหลายอย่างที่่จะทำให้เราคิดถึงใครคนนึงอย่างไม่สามารถที่จะแกะออกจากหัวได้ อาจเป็นเหตุผลตื้นๆในปัจจุบันก็ได้ เช่นว่าเขามีวิบากด้านดีบางอย่างมาทำให้มีเสน่ห์ พวกที่มีเสน่ห์มากๆผูกใจคนได้ แล้วก็ทำให้คนคิดถึงได้ไม่เลิก ส่วนใหญ่จะเคยชักชวนแล้วทำให้คนติดใจในการทำบุญทำกุศลนะครับ หรือว่าได้พาใครต่อใครมารู้จักกับทางดีทางกุศลทางถูกทางต้องเนี่ย มันก็เป็นไปได้ที่จะทำให้เขาจำไม่ลืม ลักษณะที่เป็นวิบากของคนที่ทำให้ใครต่อใครมาพบกับอะไรที่จำได้ไม่ลืม คือจะเป็นที่ติดตาติดใจ เป็นที่เสน่หา เป็นที่ดึงดูดนะครับ เกิดมาก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เดินไปเดินมา ฉายไปฉายมา เดี๋ยวก็มีคนมาติดเป็นพรวน ราวกับเป็นแม่เหล็กอย่างนั้น ไอ้แม่เหล็กที่มองไม่เห็นตัวไม่เห็นตนนั่นละครับ แต่รู้สึกได้ด้วยใจ มันเกิดจากวิบากด้านดี แล้ววิบากด้านดี ก็จะทำให้เรารู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเนื้อคู่ของเราติดตามกันมานาน ผมเคยเห็นมาเยอะนะ เป็นการหลงข้างเดียวเนี่ย แล้วก็ไปเข้าใจไปทึกทักว่า นี่แหละเนื้อคู่ของตัวเอง มันมีความรู้สึกเป็นอื่นไปไม่ได้เลยมันหลงเหลือเกิน แต่ดูดีๆแล้วก็คือว่า มีลักษณะบางอย่างที่น่าติดใจอย่างเช่นหล่อมาก สวยมาก แล้วก็มีเสน่ห์บางอย่างที่จะทำให้คิดถึงนะ อยากได้มาอยู่ใกล้ๆ อยากฟังเสียงเขา อยากจะได้กลิ่นน้ำหอมที่เขาใส่หรือว่าอยากจะชื่นชมกับรูปลักษณะสง่างามสูงส่ง หรือถ้าเป็นผู้หญิงก็เอวองค์อรชรอ้อนแอ้น อะไรแบบที่เราปักใจชอบเนี่ย มันเป็นปัจจัยที่มากระทบหูกระทบตาง่ายๆนี่แหละ แต่ว่าสามารถที่จะยึดติดเป็นยางเหนียวได้ไม่เลิก แต่ในกรณีนี้นะก็คือที่เป็นโจทย์ตั้งมา จำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำแต่ความรู้สึกรักมาแบบไม่รู้ตัว ก็อาจจะเข้าข่ายที่ว่าเรามีอดีตที่เคยทำอะไรบางอย่างกับเขามา

ทีนี้คำถามสำคัญคือว่าจะทำบุญ หรือว่าจะทำอย่างไรที่จะตัดใจจากคนประเภทนี้ได้ คือว่าใจเราเนี่ยเข้าไปหลงไปยึดติดแล้ว อันนี้ผมเข้าใจนะ คือหลายๆคนพอเกิดความรู้สึกยึดติดเหนียวแน่นขึ้นมา มันเหมือนหาทางออกไม่ได้ดิ้นไม่หลุด แล้วก็รู้สึกว่าแต่ละนาทีมันทรมานใจ เพราะว่าคิดถึงอยู่ตลอด แล้วก็อยากได้ อยากได้มากๆนะ มันพุ่งมันทะยานออกไป อยากจะเอามาเป็นของตัวเองให้ได้ ทรัพย์สมบัติหรือว่าคนใกล้ตัวที่มีอยู่ มันรู้สึกว่าไม่มีค่าเลย ไม่อยากเอา ไม่อยากเห็น ไม่อยากจะได้อยู่ใกล้เท่ากับคนที่เราถวิลหา

อันนี้ก็สามารถจะทำบุญในแบบพุทธศาสนา แต่เป็นบุญขั้นสูงสุดนะ ไม่ใช่บุญในลักษณะการให้ทานเฉยๆ การให้ทานที่เป็นไปได้ ที่จะทำให้มันแบ่งเบาลงไปได้ก็คือว่า ทำบุญแต่ละครั้งเราอธิษฐานขอให้ใจของเราเนี่ยสามารถสละสิ่งที่ยึดติดออกไปได้ง่ายๆ เหมือนกับทรัพย์ที่ให้เป็นทานนี้ หรือว่าไปปล่อยสัตว์ปล่อยปลาให้ชีวิตเขา ให้ความเป็นไทแก่เขาก็อธิษฐานว่า ขอให้ใจเราเป็นไท แล้วก็มีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับที่เราปล่อยสัตว์ให้ได้รับอิสรภาพ อย่างนี้มันก็ช่วยได้บ้าง แต่ว่าไม่มากนัก คือมันช่วยได้ในระดับหนึ่ง ช่วยให้ใจรู้สึกว่าสละเป็น ช่วยให้ใจรู้สึกว่ามันมีความเป็นอิสระบ้าง มันมีความว่าง มันมีความสว่างบ้าง แต่เดี๋ยวๆมันก็จะกลับมาตรึกนึกอีก มันก็จะมานึกถึงอีก อันนี้เราก็เอาบุญในแง่ของศีลมากั้น ว่าถ้าหากเรามีคู่ของเราแล้วเนี่ย เราจะไม่ออกนอกรั้วที่มันกั้นขวางอยู่เป็นอันขาด ตกลงกับตัวเองไว้เลยว่าหัวเด็ดตีนขาดเราไม่ข้ามรั้วออกไปทำผิดนะครับ อันนี้ก็ในแง่ของบุญของศีล

ทีนี้บุญขั้นสูงสุดที่ผมพูดถึงเนี่ยก็คือ ‘การเจริญสติ’ การเจริญสติที่จะทำให้เราเป็นอิสระจากคนที่เราไม่ควรคิดถึงได้นี่นะ มันต้องใช้เวลากันทั้งวันทั้งคืน ต่อวัน ต่อหนึ่งวัน คิดถึงหรือว่ามีความกระวนกระวายแค่ไหนก็ตามกี่ครั้งก็ตาม ตกลงกับตัวเองไว้เลยว่าจะเอามาใช้เจริญสติ วิธีที่จะเจริญสตินะ ในการเห็นตัวเองคันอกคันใจ รู้สึกว่ามันมีอาการทะยานแล่นออกไปไม่เลิก ก็คือเห็นหน้าตาของอาการทะยานให้ออก เห็นหน้าตาของความคันอกคันใจ เห็นหน้าตาของอาการรุ่มร้อนกระวนกระวาย ไม่ว่าจะเกิดอาการอะไรขึ้น อาการไหนปรากฏเด่นจากการคิดถึงเขาถวิลหาเขา ก็ให้ดูอาการนั้น ถ้าอาการทางกายปรากฏเด่นอย่างเช่นมีความรุ่มร้อนกระสับกระส่าย เราก็ให้เห็นว่า เออ มีอาการรุ่มร้อนแบบนี้นะ มีอาการกระสับกระส่ายแบบนี้ แล้วสังเกตเอาว่า มันกินเวลานานแค่ไหน จะกระสับกระส่ายเป็นชั่วโมงให้มันกระสับกระส่ายไป แต่เราสังเกตอยู่ว่าเออเนี่ยอาการกระสับกระส่ายนี้ผ่านหนึ่งชั่วโมงไปแล้ว มันค่อยทุเลาลง หรือถ้าหากเห็นแต่อาการที่รู้สึกเหมือนใจมันพุ่งออกไปนะ มียางเหนียวมีแม่เหล็กดึงดูดออกไป มีความรู้สึกเหมือนจะเป็นจะตายราวกับโดนเสน่ห์ยาแฝดอะไรแบบนั้นเนี่ยนะ ถ้าหากว่าไม่ได้มามันรู้สึกเหมือนจะขาดใจ ให้ดูอาการเหมือนจะขาดใจนั่น ให้ดูอาการเหมือนกับอดคิดไม่ได้ ยุติไม่ได้ ดูว่ามันมีความรู้สึกเหนียวเหนอะอย่างไร เหมือนยางเหนียวที่มันติดมันยื่นออกไป มีอาการแค่ไหนรู้ไปอย่างนั้น ยอมรับไปอย่างนั้น เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ยอมรับไปอย่างนั้น เพื่อจะสังเกตว่ายางเหนียวนั้นคล้ายๆกับหนังสติ๊กครับ เพียงแต่ว่าเป็นหนังสติ๊กที่ทนได้ยาก มันยืดออกไปแต่เดี๋ยวนึงมันจะต้องอ่อนกำลังลง แล้วก็หดตัวลงมา หรือเดี๋ยวมันก็จะยื่นออกไปอีก เป็นอย่างนั้นแล้วๆเล่าๆ ถ้าหากว่าเราไปตรึกนึกช่วยเจ้ายางเหนียวตัวนั้นนะ ไปคิดถึงแต่ในแง่ดี ไปคิดถึงแต่ในแง่ที่น่าติดใจ มันก็จะยิ่งเป็นอาหารหล่อเลี้ยงให้ยางเหนียวนั้นมีกำลังยึดมากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าหากว่าทุกครั้งที่ยางเหนียวเกิด แล้วเราเห็นว่าอาการของยางเหนียวเนี่ย ไม่มีอะไรเลย นอกจากทำให้ใจยืดออกไป พุ่งออกไป ทะยานออกไป อยากจะแล่นออกไป ในที่สุดเดี๋ยวๆมันก็กลับมา ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น เห็นความไม่เที่ยงบ่อยๆ ไม่ว่าจะเกิดอาการทางใจหรือเกิดอาการทางกายอย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้วคุณจะพบว่าจิตมีกำลัง มีสติ มีความสามารถที่จะมองว่า ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องเหลวไหล เป็นเรื่องอาการทางใจที่ปรุงแต่งไปเองทั้งสิ้น เป็นเรื่องลวงโลก เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกโดนลวงมา แต่จะยกเว้นก็คือเราผู้เจริญสติเป็น


เอาละครับคืนนี้คงต้องล่ำลากันที่นาทีนี้ครับ ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านนะครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น