วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๓๖ / วันที่ ๑๑ เม.ย. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันพุธที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเศษ ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรงนะครับ เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks



๑) หนูโตมาด้วยความเชื่อว่าไม่มีใครรัก ตอนเด็กมักถูกพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่รุมดุด่าบ่อยๆ แถมผู้ใหญ่มักคอยกำกับตลอดว่าต้องทำอะไรยังไง โตขึ้นมาเลยไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างแรง เวลาจะทำอะไรต้องหาคนบอกทุกขั้นตอน ว่าต้องทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นกลัวทำพลาด ตอนเด็กตั้งใจเรียน จนได้ที่ ๑ บ่อยๆ เพื่อให้ได้รับความสนใจจากพ่อแม่ จะได้รู้สึกมีค่า แต่ถ้าเมื่อไรไม่ได้เป็นที่ ๑ หรือไม่ได้ความสนใจเพียงพอ จะเสียความมั่นใจในตัวเองมาก เวลาปรึกษาใครก็ได้รับข้อสรุปว่าอย่าคิดมาก คล้ายถูกตำหนิแล้วรำคาญที่เราเป็นคนแบบนี้ เลยยิ่งแย่เข้าไปอีก มีทางแก้ไขไหมคะ?

ถ้าเข้าใจปมในวัยเด็กของตัวเองมันง่าย คนเราถ้าไม่ลืมว่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องแย่ๆหรือว่าสิ่งที่มันเป็นอุปสรรคติดขัดทั้งหลายในชีวิตมาจากไหนไหลมาจากไหน ดีมากเลย เพราะว่ามันง่าย มันแก้ถูกจุด เรียกว่าเราไปเล่นกันตรงประเด็น คนที่ลืมว่าต้นสายปลายเหตุของปัญหามาจากไหน บางที มันงง บางทีมันเบลอ ไม่รู้จะจับต้นชนปลายให้ติดอย่างไร ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร

อันนี้เราก็เริ่มต้นกันง่ายๆเลย ขึ้นต้นมาเรารู้ว่าชีวิตของเราถูกทำให้เสียความเชื่อมั่นไป ด้วยการโดนชี้นั่น ชี้นี่ จะต้องทำอย่างนั้น จะต้องทำอย่างนี้ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ทีนี้เราโตขึ้นมาแล้ว เราก็มีความสามารถที่จะตั้งโจทย์ให้กับชีวิต นี่เป็นโจทย์ข้อสำคัญของน้องนะ เป็นโจทย์ที่สำคัญมากของชีวิตของเราทีเดียว ว่าทำอย่างไรจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้ ลักษณะของจิตที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง มันจะมีอาการที่ว่า ถ้าจำเป็นจะต้องตัดสินใจหรือจำเป็นที่จะต้องยืนด้วยขาของตัวเองเต็มๆสองขา มันจะสั่น มันจะมีอาการสั่นไหว มันจะมีอาการเหมือนกับเซนซิทีฟ กับการกระทบกระแทก ถ้าหากว่ามีอะไรมาซัดนิดหนึ่ง มันเป๋เลย ลักษณะของจิตก็เหมือนกับคนที่มีขายืนด้วยตัวเองไม่ได้เต็มสองขา ไม่ได้มั่นคง เรามองอย่างนี้ก่อน

ถ้าหากว่าเรามองอาการของใจของตัวเองออก คือรู้ต้นสายปลายเหตุด้วย แล้วก็รู้ผลลัพธ์ที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ด้วยว่า หน้าตาของจิตใจ หน้าตาของผลลัพธ์ที่ไหลมาจากวัยเด็ก ซึ่งถูกบังคับกะเกณฑ์ ชี้นั่น ชี้นี่ มันเป็นอย่างนี้ มันไม่สามารถยืนได้เต็มกำลังของตัวเอง พอเห็นว่าสภาพจิต สภาพใจของเราเป็นอย่างนี้นะ เห็นให้ได้บ่อยๆ เวลาที่มีอะไรเข้ามากระทบให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหว ให้เห็นไปเรื่อยๆ แล้วก็รู้จักสภาพจิตใจของตัวเองว่า หน้าตาเป็นอย่างนี้ ยอมรับสภาพจิตใจแบบนั้นให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก พอยอมรับได้สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นทันที อันนี้ผมยังไม่ได้พูดถึงวิธีแก้ปัญหานะ พูดถึงเรื่องของการรับมือกับจิตใจที่หวั่นไหวง่ายก่อน วิธีการรับมือง่ายที่สุดคือ ให้ยอมรับตามจริงว่าเรากำลังมีอาการเป๋ เรามีอาการที่ยืนไม่ได้เต็มสองขา ลักษณะจิตแบบนี้พอถูกรู้บ่อยๆเกิดอะไรขึ้น? มันจะมีอาการเห็นว่า สภาพจิตที่มันเป๋มันหวั่นไหวง่าย มันก็เป็นสภาพจิตแบบหนึ่ง

แต่เดิมเราจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นสภาพจิต เราจะรู้สึกว่ามันเป็นตัวเรา เราจะรู้สึกว่าอาการแบบนี้พอเกิดขึ้นทีไรรู้สึกแย่กับตัวเองซ้ำเข้าไปอีก เข้าใจไหม? อาการหวั่นไหวไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่นะ ต่อเมื่ออาการหวั่นไหว สภาพจิตใจที่หวั่นไหวเป็นที่รู้สึกของตัวว่านี่มันคืออาการของเรา ตัวนี้แหละมันถึงเกิดความรู้สึกแย่กับตัวเองขึ้นมา เมื่อเกิดสติรู้ว่าอาการหวั่นไหว อาการไม่เชื่อมั่นในตัวเองเกิดขึ้นก่อน แล้วตัวตนคือมันไปจับยึด มันมีอาการไปยึดมั่นถือมั่นว่าอาการหวั่นไหวนั้นเป็นตัวเรา ความรู้สึกแย่มันค่อยตามมา มันเกิดขึ้นพร้อมๆกัน ดูเหมือนกับพร้อมๆกัน แต่จริงๆแล้วถ้าหากว่าน้องลองสังเกตตามที่พี่ว่าอย่างนี้ มันจะเริ่มเห็นนะ มันจะเริ่มเข้าใจกลไกของการปรุงแต่งทางจิต เมื่อเห็นบ่อยเข้า บ่อยครั้ง คือครั้งแรกๆ พอเห็นมันจะไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก มันก็ยังรู้สึกแย่เหมือนเดิมแหละ

แต่เมื่อเห็นบ่อยครั้งเข้า สิ่งที่จะเกิดขึ้นทันทีโดยยังไม่ต้องไปแก้ต้นเหตุของปัญหา สิ่งที่จะเกิดขึ้นทันทีเลยก็คือเราจะรู้สึกว่าอาการหวั่นไหวของใจมันไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเราก็ได้ ที่ผ่านมาทั้งหมดทั้งชีวิต เหมือนกับหวั่นไหวปุ๊บมันรู้สึกทันที มันจับยึดทันทีว่านี่เป็นเรา และไม่สามารถถอนความรู้สึกแบบนั้นได้ ตราบจนกระทั่งวันหนึ่ง อย่างวันนี้ที่เรามาคุยกันว่า จะเจริญสติอย่างไรเพื่อรับมือความขลาดกลัว ความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ความรู้สึกหวั่นไหว ความรู้สึกแย่กับตัวเอง พอมีวันนี้ที่พี่พูดให้เราตั้งสติดูอาการหวั่นไหวของใจ แล้วเราลองไปฝึกดูหลายๆครั้ง นับดูไปสองสามครั้ง มันเห็นผลทันทีนะ เราจะรู้สึกว่าพอเกิดอาการหวั่นไหวทางใจ มันมีแค่อาการหวั่นไหว มันไม่มีอาการจับยึดว่านี่เป็นตัวเรา มันจะเห็นเป็นภาวะเพียวๆเลย ภาวะของใจล้วนๆเลยว่ามันมีแต่อาการกระเพื่อม เหมือนกับน้ำกระเพื่อม หรือมีอาการเหมือนกับหมอกควันถูกลมเป่า ซัดไปเซมา เห็นแค่นั้นไม่เกิดการปรุงแต่งต่อเป็นความรู้สึกว่าตัวเราเป็นผู้หวั่นไหว ตัวเราเป็นผู้ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเอาเสียเลย ตัวเรามันช่างไม่เอาไหนเอาเสียเลย ความรู้สึกแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น มันมีแต่อาการไหวเป็นระลอกๆ มีอาการกระเพื่อมไม่สามารถที่จะตั้งตรงได้ เหมือนกับเราเห็นขาของตัวเอง

เดิมทีถ้าสมมติเราว่าเป็นคนขาเป๋ เราเป็นคนขาลีบ ไม่แข็งแรง พอเกิดอาการโยกเยก ไม่สามารถยืนได้เต็มสองขา เราจะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าฉันมีชีวิตที่แย่กว่าคนอื่น ฉันมีขาที่ไม่สมประกอบ แต่พอมาเริ่มฝึกรู้ฝึกดู ตามหลักของสติปัฏฐาน ๔ เห็นสักแต่เป็นอิริยาบถยืน ยืนแล้วมันยืนเป๋ ส่วนที่เป๋ ก็คือขา สักแต่มีท่อนกระดูกอยู่ข้างใน แล้วก็ฉาบด้วยเลือดเนื้อ มันไม่แข็งแรง มีเส้นเอ็นที่อ่อนแอมีกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ ไม่สามารถควบคุมได้ตามต้องการ ตอนแรกมันจะรู้สึกแย่ทันที แต่พอดูๆไปว่า สักแต่เป็นขาจริงๆ เห็นนะไม่ใช่เฉพาะขาเห็นทั่วตลอดเลย ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีอะไรที่มันเป็นตัวตน มีแต่ธาตุสี่ ดินน้ำไฟลมประกอบกัน ก็คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ดินน้ำไฟลม ก็คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าที่เป๋ เป็นเรื่องของดินน้ำไฟลมมันเป๋ มันไม่ใช่ตัวเราเป๋ ในทำนองเดียวกัน อันนี้เปรียบเทียบให้ฟัง

หลังจากนั้น อันนี้พูดเรื่องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามาพูดเรื่องว่า ทำอย่างไรจะเรียกความเชื่อมั่นของตัวเองกลับมาได้จริงๆ มาสร้างเหตุใหม่กันอย่างไรที่จะทำให้รู้สึกว่าตัวเราไม่ต้องถูกบงการด้วยอดีตอันลึกลับ ไม่ใช่เหมือนกับเราจะไปไหนมาไหนเราจะทำอะไร มันมีสิ่งกดดันอยู่ตลอด ทำยังไงให้ความกดดันมันหายไป ก็ต้องเข้าใจว่าการที่เราถูกรุมดุรุมด่าบ่อยๆ ตามหลักของกฎแห่งกรรมวิบากก็คือว่า เราเคยไปดุด่าให้คนอื่นเขาเสียความเชื่อมั่นในตัวเองมาก่อน คงจะทำมาอย่างหนักทีเดียวล่ะ ถึงได้เกิดมาแล้วจะต้องมาประสบ เรียกว่าเป็นเคราะห์ก็แล้วกันนะถือว่าเป็นเคราะห์ เคราะห์ของชีวิตที่จะต้องถูกรุมดุด่าให้เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ สูญเสียความมั่นใจในตัวเองมาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งๆที่น้องก็เป็นคนเก่ง สามารถที่จะสอบที่ ๑ ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว มันก็บอกโดยตัวเองว่าเราต้องมีดีพอสมควร แต่เนื่องจากถูกกดดันมาตั้งแต่อยู่ในบ้าน แล้วก็ทำให้ความเชื่อมั่นที่น่าจะมีมันสูญเสียไปเลย ความเก่งที่มีจะมีแค่ไหน ถ้าหากว่าถูกรุมด่าถูกรุมตำหนิ หรือว่าถูกสังคมรอบข้างตั้งความหวังไว้มากเกินไป มันทำให้เป๋ มันทำให้เกิดความรู้สึกว่าถ้าฉันทำอะไรพลาดไปนิดเดียว เดี๋ยวจะต้องโดนรุมประณาม

เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดกับน้องแค่คนเดียว มันเกิดกับคนหลายคนในโลกที่ทำกรรมมาแบบเดียวกัน คือไปคาดคั้นคนอื่นไว้มากเกินไป แล้วเราลืมไปแล้วว่าเคยไปคาดคั้นไว้ยังไง รู้แต่ว่ามารับผลแบบนี้ตั้งแต่เกิดเลย
เอาล่ะ เรื่องกรรมเก่าถ้าระลึกไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ขอให้จำกรรมใหม่ได้ก็แล้วกัน คือเราตั้งใจไว้เลยนะว่าชีวิตที่เรามีอยู่ชีวิตนี้ จะมีเพื่อที่จะให้กำลังใจ เป็นกำลังใจให้กับคนอื่น ไม่ว่าใครเป๋มาเราจะช่วยปรี่เข้าไปประคองให้ตัวเขาตั้งตรง ให้เขาเกิดความรู้สึกที่ดีกับตัวเอง ให้เขาเกิดความรู้สึกว่าสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้ด้วยความมั่นใจ ถ้าเราตั้งเข็มทิศไว้อย่างนี้ เดี๋ยวจะมีบทพิสูจน์ใจมาว่าเราเอาจริงหรือเปล่า จริงๆนะ คนเรานี่ตั้งใจจะทำอะไรจริงๆจะมีบทพิสูจน์เข้ามา ความตั้งใจจริงๆนั้นจะกำหนดเส้นทางกรรมใหม่ แล้วธรรมชาติจะส่งอะไรที่เหมาะสมมาให้เราเอง มาเป็นแบบฝึกหัดมาเป็นแบบทดสอบ ถ้าหากว่ายังไม่ส่งแบบฝึกหัดมาให้เร็วทันใจ เราออกไปหาเองเลย

รู้ไหมว่าเด็กที่เสียความมั่นใจในตัวเองมากที่สุดคือพวกไหน? คือเด็กอนาถา เด็กกำพร้า เด็กที่พ่อแม่เสียชีวิต หรือไม่ก็เด็กที่พ่อแม่ไม่เอา ความรู้สึกว่าชีวิตของเราไม่มีค่าไม่มีใครเอานี่นะ มันเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกที่แย่ที่สุด ต่อให้จะฉลาดแค่ไหนจะมีความสามารถปานใด แต่ถ้าหากว่ามันรู้สึกมาตั้งแต่แรกเกิด ว่าไม่มีใครเขาเอา ชีวิตเราไม่มีค่านี่นะจบเลย ความรู้สึกว่ามีปมด้อยหรือว่าความเศร้า หรือว่าความรู้สึกหดหู่เศร้าหมอง มันจะเกาะกินจิตใจไปตลอดชีวิต เราลองตั้งใจตั้งเข็มไปที่คนพวกนี้ เด็กพวกนี้ ลองตั้งใจจะไปให้ความเชื่อมั่นกับเขา ลองไปสมัครเป็นครูอาสาฯดู ไปสอนตามที่เขาต้องการนั่นแหละ อาจจะสอนอังกฤษ สอนเลข สอนภาษาไทย หรือว่าสอนอะไรก็แล้วแต่ตามที่เขาอยากจะให้เราสอน แต่เราไปด้วยความตั้งใจที่มากกว่านั้น เราตั้งใจว่าจะไปให้ความอบอุ่น จะไปให้ความร่าเริง จะไปให้ชีวิตจิตใจกับเด็กที่เขาขาดชีวิตจิตใจ ขาดความชุ่มชื่นมาตั้งแต่แรกเกิด

ถ้าน้องทำแบบนี้นะ ผลที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ เราจะเรียกความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้ ไม่ต้องกินเวลามากเลยครับ รับรองว่าภายในเดือนสองเดือนนะจะรู้สึกขึ้นมาทันที ไปแค่อาทิตย์ละครั้ง ส่วนใหญ่เขาจะขอให้ไปอาทิตย์ละครั้ง หรือถ้าใครไปได้บ่อยกว่านั้น ก็โอเคไม่มีปัญหา ก็ยิ่งดีเลย ภายในเดือนสองเดือน น้องจะมีความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าแล้วก็สามารถที่จะตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเอง สามารถจะมีจุดยืนเป็นตัวของตัวเองได้ เพราะการออกไปช่วยคนโดยที่เขาไม่ได้ขอ มันเป็นการริเริ่มสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นการทำอะไรได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครมาชักชวน หรือมีใครมาบีบคั้น

การที่เราทำบุญใหญ่ได้ โดยไม่มีใครต้องมาขอ บุญตัวนี้แหละ ที่มันจะสร้างความแข็งแกร่งให้เรา แล้วถ้าน้องพยายาม ดูจากที่ว่าเคยได้ที่ ๑ มันส่ออยู่แล้ว มันสะท้อนอยู่แล้วว่าถ้าน้องไปสอนคนอื่น น้องก็ต้องทำให้เขาได้รับอะไรดีๆจากน้องได้อย่างแน่นอนนะครับ แล้วพอน้องเกิดความรู้สึกว่าตัวเองสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองขึ้นมาได้ ถึงเวลานั้น ความเก่ง หรือว่าความสามารถอะไรที่มีอยู่ มันจะทวีตัวขึ้นไป มันจะทวีค่าขึ้นไป ดีกรีของมันจะยกระดับตัวเอง จะเห็นได้ชัดเลยว่าเราสามารถคิดอ่านอะไรได้แปลกมากขึ้น แล้วเราก็จะเห็นว่าความฉลาดที่เอาไปใช้ประโยชน์เอาไปทำให้โลกนี้ดีขึ้น หน้าตามันเป็นยังไง

การมีแรงกดดันอยู่ข้างในนี่ดีนะ มันเป็นแรงผลักดัน ถ้าหากว่าน้องแปรความรู้สึกกดดันให้กลายเป็นแรงผลักดัน ให้ทำประโยชน์กับโลกนี้ น้องจะพบว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่มีความกล้าจะดี คนส่วนใหญ่นะกล้าจะชั่ว แต่น้อยคนในโลกที่กล้าจะดี และคนที่เป็นประโยชน์กับโลกมากๆ ส่วนใหญ่เริ่มต้นขึ้นมาจากพื้นฐานแบบนี้แหละ มีความกดดันอะไรบางอย่างอยู่ มีความไม่มั่นใจในตัวเองอยู่

นักพูดที่พูดเก่งๆในทางตะวันตกที่เป็นระดับโลกเลยนี่นะ ปมในวัยเด็กมักจะทำให้คนประหลาดใจ นึกว่าจะต้องพูดเก่งมาตั้งแต่เด็กๆอะไรต่างๆไม่ใช่เลยนะ บางคนนี่ระดับที่สามารถจะปลุกระดมได้ หรือว่าไปให้แรงบันดาลใจระดับโลกได้ ตอนเด็กๆขี้อายไม่กล้าพูด ความไม่กล้าพูดหรือว่าปมด้อยอะไรบางอย่างที่ทำให้อยากเก่ง อยากจะพูดได้ขึ้นมา ทำให้มีความพยายามมากกว่าคนอื่น และความพยายามด้านดี ความพยายามที่จะเอาดีของตัวเองไปมอบให้กับคนอื่นในโลก ตัวนี้แหละที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และสามารถที่จะเชื่อมั่นในตัวเองได้มากกว่าใครๆ

ที่นี้ก็พูดดักไว้ล่วงหน้าเลยเผื่อน้องจะฟังซ้ำ พี่ขอเตือนไว้ล่วงหน้าด้วยว่าคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมากๆ คือที่พลิกเปลี่ยนมาจากความไม่มั่นใจในตัวเองแล้วเปลี่ยนมาเป็นเชื่อมั่นมากๆ มันจะสวิง มันจะสวิงแบบสุดขั้ว จากที่มีปมด้อยนะมันกลายเป็นปมเขื่องไปได้เลย แล้วถึงตรงนั้น อัตตามันจะสูง อาจจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินขีด ก็ระวังตรงนั้นไว้ด้วย คือพยายามฝึกเจริญสติไปด้วย ไม่ใช่พัฒนาความเชื่อมั่นอย่างเดียว แต่ขอให้เจริญสติเพื่อให้เห็นว่าอัตตาเรามันพองเกินไปขึ้นมาเมื่อไร มีสติยับยั้งที่จะอยู่กับธรรมะที่มีความอ่อนโยน ที่มีความเยือกเย็นนะครับ



๒) หนูรบกวนถามเรื่องงานค่ะ หนูรู้ตัวว่าตัวเองไม่ถนัดภาษาอังกฤษ ถนัดภาษาญี่ปุ่นมากกว่า แต่ตอนนี้ที่แผนกกำลังจะไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นแล้ว เจ้านายอยากให้ไปสอบโทอิคเผื่อจะได้ไปซัพพอร์ตแผนกอื่น แต่หนูลังเลเพราะไม่มีกำลังใจอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเลย กังวลใจกับอนาคตว่า เราต้องรองานที่เหมาะกับเรา คืออยากใช้ภาษาไทยค่ะ หรือควรพัฒนาภาษาอังกฤษใหม่ดี?

บางทีชีวิตเขาเลือกทางให้เรา ตราบใดที่เรายังทำงาน อันนี้พูดตรงไปตรงมานะ พูดเพื่อที่จะให้เข้าใจกันในโลกความเป็นจริง ในชีวิตจริงๆไม่ได้มาพูดเพื่อให้เกิดความรู้สึกเสียความเชื่อมั่น คือจะไม่พูดปลอบจะพูดเอาตามเนื้อผ้า มนุษย์เงินเดือนที่เป็นพนักงานบริษัท รับคำสั่ง รับออเดอร์มา ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้หรอก ชีวิตจะกำหนดทิศทางของเรามายังไงต้องผ่านคำสั่ง ผ่านความต้องการของบริษัทที่เราทำอยู่ อย่าไปฝืน อย่าไปดื้อเลย

ถ้าหากว่าเราจะต้องมาพยายามภาษาอังกฤษอีกภาษาหนึ่ง มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก ที่เหลือบ่ากว่าแรงก็คือความรู้สึกที่ว่าไม่อยากเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเอง ความเข้าใจว่าเรามีความถนัดภาษาญี่ปุ่นมากกว่าภาษาอังกฤษ เหตุผลก็เพราะว่ามีอะไรไปคลิก ภาษาญี่ปุ่นมีจุดคลิกในชีวิตของเรามากกว่าภาษาอังกฤษ ถ้าพูดเรื่องของเก่า เราอาจจะเคยติดต่อหรือเคยเป็นคนญี่ปุ่นมา อะไรทำนองนั้น แล้วก็มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเข้าใจ มันเข้าถึง ซึ่งภาษาญี่ปุ่นจริงๆแล้วมันยากกว่าภาษาอังกฤษเยอะนะ คนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นได้ ต้องเข้าช่องถูกจริงๆ จะต้องยิงตรงได้เข้าเป้าเข้าทิศทาง มันไม่ใช่พรสวรรค์ มันเป็นสัญชาตญาณทางภาษาว่าเราคลิกกับตรงนั้น เราสามารถคอนเนคกับตรงนั้นได้ เมื่อเราคอนเนคกับตรงนั้นแล้ว เรารู้สึกว่าเซฟกับตรงนั้นแล้ว มันเป็นธรรมดาเวลาที่มีใครมาบอกให้เปลี่ยน เราไม่อยากเปลี่ยน เราอยากอยู่กับจุดที่เรารู้สึกว่าเซฟ มองเข้ามาในจิตในใจเราจะเห็นแบบนั้น

ทีนี้พอเราคิดใหม่ว่าความรู้สึกเซฟนี่ ภาษาญี่ปุ่นที่เราอยู่ด้วยกับมัน มันไม่ใช่สิ่งที่ชีวิตเราต้องการแล้วตอนนี้ หมายถึงว่าชีวิตนะไม่ใช่ตัวเรานะ ชีวิตเขาไม่ต้องการแล้ว เขาต้องการให้เราออกไปหาอะไรท้าทายใหม่ๆ อย่าไปดื้อกับมัน อย่าไปฝืนกับมัน เพราะว่าถ้าไปดื้อ ไปฝืนกับมัน ส่วนใหญ่เราก็จะต้องไปเจออะไรที่ลำบากอย่างอื่นอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเปลี่ยนงานเราอาจจะต้องไปเจอคนที่เข้ากับเราไม่ได้ก็ได้ หรือว่าเจ้านายที่โหดร้ายกว่านี้ก็ได้

ภาษาอังกฤษเพื่อที่จะคลิก เพื่อที่จะอินเข้าไปกับมัน ประการแรกคือเราต้องบอกตัวเองว่าเราไม่ได้มีความถนัดทางภาษาญี่ปุ่นแค่ภาษาเดียว เราสามารถถนัด เราสามารถอิน เราสามารถคลิกกับภาษาไหนๆก็ได้ในโลก ขอเพียงแต่ว่าให้มีจุดอะไรสักจุดหนึ่ง เข้ามาเชื่อมต่อกับเราได้ติด เท่านั้นแหละ จะเป็นการดูหนัง จะเป็นการฟังเพลง จะเป็นการเขียนไดอารี่ จะเป็นการเขียนข้อความโต้ตอบในฟอรั่มของเว็บบอร์ดฝรั่ง อะไรก็แล้วแต่ ที่มันจะทำให้เราเกิดรู้สึกว่าไม่ฝืนใจ เกิดความรู้สึกชอบใจที่จะใช้ภาษาอังกฤษ เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน



๓) คู่สามีภรรยาที่ฝ่ายหนึ่งเคร่งมาทางพุทธ แต่อีกฝ่ายไม่นับถือและไม่มีความเชื่ออะไรเลย เมื่ออยู่ด้วยกันก็เหมือนจะเริ่มไปกันคนละขั้ว แบบนี้จะทำอย่างไรให้ครองคู่กันได้ตลอดรอดฝั่ง หรืออย่างน้อยก็ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้คะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ?

เวลาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงคู่ครองที่มีความสามารถจะอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะอยู่ร่วมกันไปตลอดรอดฝั่ง อยู่กันไปจนถึงขั้นถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร แล้วก็สามารถจะไปพบได้เจอกันในชาติหน้าอีก พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสถึงองค์ประกอบสี่ประการ คือ จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน

หมายความว่าอะไร? หมายความว่าข้อแรกนะ ตัวศรัทธาหรือตัวทิศทางในการใช้ชีวิตจะต้องไปทางเดียวกันก่อน ไม่ใช่มาปรับกันทีหลัง มันเป็นความสำคัญ มันเป็นกำลังที่มีความสำคัญสูงสุดที่จะผูกยึดภาวะคู่ รักษาภาวะคู่ให้อยู่รอดตลอดรอดฝั่งทั้งชาตินี้และได้ไปเจอกันอีกชาติหน้า ศรัทธาสำคัญที่สุด พระพุทธเจ้ายกให้เป็นอันดับหนึ่งเลย การที่เราอาจจะไม่ได้ยินได้ฟังพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงความสำคัญของศรัทธาไว้ก่อน จะด้วยเหตุผลที่มีความพิศวาสกัน หรือว่าจะต้องถูกบังคับให้มาอยู่ด้วยกัน ตรงนี้อยากให้มองเป็นข้อพิสูจน์ทางธรรมชาติ คือที่ไม่ใช่ไปยืนยันตามพระพุทธเจ้าพูดนะ แต่บอกว่าเป็นข้อยืนยันตามธรรมชาติว่า หญิงชายจะครองคู่กัน สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญสูงสุดคือศรัทธา

ถ้าหากว่าศรัทธาไม่ตรงกันแล้ว จูนกันไม่ได้แล้ว มันก็เหมือนกับไม่สามารถเอาจิตมาจูนเข้าด้วยกัน จิตสองดวงนี่นะมันมีความซับซ้อน มันมีช่องว่างเสมอ การที่จิตสองดวงจะจูนเข้ากันได้ติดก่อนอื่นเลยจะต้องมีศรัทธาที่เสมอกัน หมายความว่าทิศทางของใจมันพุ่งไปทางเดียวกัน อย่างคนที่ศรัทธาพระพุทธเจ้าด้วยกันก็จะพุ่งไปหาสวรรค์นิพพานด้วยกัน คนศรัทธาในการฉ้อฉลคดโกง ก็จะพุ่งไปในทางที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางเหมือนๆกัน เป็นคนดีไม่ชอบ ชอบที่จะไปหลอกลวงคนอื่นเขาอะไรแบบนี้ อันนี้เป็นตัวอย่างเลย

ถ้าศรัทธาไม่เสมอกัน แล้วก็จะต้องมานั่งปรับศรัทธาให้เท่ากัน พยายามจะโน้มน้าวแต่ละฝ่ายอีกฝ่ายให้มาเอาตามศรัทธาของตัว มันยิ่งกว่าพยายามไปดัดไม้ที่แก่แล้วหรือว่าไปพยายามดัดเหล็กตรงให้มันกลับงอ หรือดัดเหล็กงอให้เข้าที่เข้าทางกลายเป็นตรง มันเป็นไปได้ยากแต่เป็นไปได้ ไหนๆคือเราต้องมาอยู่กับศรัทธาที่ต่างกันแล้ว ทางที่เป็นไปได้ก็คือข้อแรกเลย อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงศรัทธาคนอื่น แต่พยายามที่จะโอนอ่อนผ่อนตาม ประนีประนอมแล้วก็นึกถึงหัวอกเขาหัวอกเรา ถ้าหากว่าเราอยากจะให้เขาเอาอย่างใจเรา เราต้องนึกก่อนเลยว่าเราขอแค่ครึ่งเดียวของใจเรา ในทางกลับกันถ้าเราโดนบังคับหรือกระทั่งโดนข่มขู่ว่าจะต้องเอาตามเขา เอาอย่างใจเขา เราก็คิดว่าเราจะยอมสักครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน ยกตัวอย่างง่ายที่สุดนะ ถ้าเขาชวนเราไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขา เราอาจจะประนีประนอมว่าโอเคไปแต่ตัวแต่ใจไม่ได้ไป ใจเรายังอยู่กับโต๊ะหมู่บูชาที่บ้าน นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเรา นั่นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเรา ตัวเราไปอยู่ในที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาแต่ใจเรายังนึกถึงบทสวดอิติปิโสอยู่อะไรแบบนี้

ใจเรานี่มันไม่สามารถที่จะมีใครมาบังคับได้หรอก เขาบังคับเราได้แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ใจนี่ไม่มีใครในสามโลกมาบังคับได้ อาจจะสะกดจิตเราได้แป๊บนึง มาดลใจเราได้แป๊บนึงหรือมาบังคับข่มขู่ใจเราได้แป๊บนึง แต่ไม่มีใครในสามโลกที่จะมาติดตามคอยบังคับบัญชาเราได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง มีแต่ตัวเราเท่านั้นแหละที่สามารถที่จะสั่งใจตัวเอง ให้มันเป็นไปในทิศทางไหน ให้ศรัทธาอะไร พูดง่ายๆก็คือว่า อันนี้ตอบคำถามสุดท้ายนะที่บอกว่า อย่างน้อยขอให้อยู่กันได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ก็คือประนีประนอม พบกันครึ่งทางนะครับ มันคงไม่มีคำแนะนำไหนที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว คือพูดเป็นกว้างๆ พูดเป็นขอบเขตที่มีความเป็นไปได้ตามจริง เราฝ่ายเดียวนี่มันไม่ได้หรอกมันต้องอาศัยความร่วมมือจากเขาด้วย วิธีที่จะได้รับความร่วมมือจากเขาก็คือเราจะต้องมีเมตตาให้มาก เรามีแนวโน้มที่จะโอนอ่อนผ่อนตามพบกันครึ่งทาง แล้วก็แผ่เมตตา มีแก่จิตแก่ใจที่จะผ่านความรู้สึกที่ปรารถนาดี จริงใจให้กับเขา อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะรู้สึกว่าเราไม่มีความแข็งขืน ความอึดอัดที่จะอยู่ร่วมกันมันก็น้อยลง แล้วความรู้สึกอยากประนีประนอมตอบมันก็จะเกิดขึ้น



๔) หากเรากำลังจะตายด้วยทุกขเวทนาเช่น เจ็บป่วยร้ายแรงหรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ขณะนั้นมีทุกขเวทนามากและต้องการตายอย่างมีสติ เราควรจะดูเวทนาในขณะนั้นหรือดูลมหายใจ หรือต้องทำอย่างไรครับ?

จำไว้เลยนะสำหรับคนที่ตั้งใจจะเจริญสติตอนตาย ตอนที่มันเข้าด้ายเข้าเข็ม จวนไปจวนอยู่นี่ คนที่เป็นไปได้จริงมีอยู่พวกเดียว คือพวกที่เจริญสติไว้ก่อน และเจริญสติในแบบที่ใกล้เคียงกับภาวะ ณ ขณะนั้นๆด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าเราเคยเจริญสติรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก จะเอาแต่ลมยาวอย่างเดียวลมสั้นไม่เอา มีสติเฉพาะลมยาว อย่างนั้นนี่โอกาสที่จะไปเจริญสติในขณะเข้าด้ายเข้าเข็มมันยากนะ เพราะว่าลมหายใจในขณะเข้าด้ายเข้าเข็มน่ะถ้าใครเคยผ่านมาก่อนจะรู้ ตอนตกใจตอนกำลังเจ็บปวดอย่างรุนแรง ลมหายใจมันจะสั้น หรือไม่ก็กระตุกถี่ หรือไม่ก็มีความรู้สึกเหมือนกับโดยเฉพาะพวกที่หายใจไม่ออก เป็นประเภท เป็นโรคอะไรบางอย่าง โรคหัวใจหรือว่าโรคหลายๆโรค อย่างตอนนี้ที่ระบาดกันเยอะแยะเลย พวกที่หายใจไม่ออกตอนนอน ภาวะที่หายใจติดขัดขณะนอนหลับ บางคนก็ไหลตายไปเลย บางคนก็จวนอยู่จวนไป พูดจากประสบการณ์ตรงเคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าหากว่าเราไม่ได้เจริญสติแบบที่จะดูลมหยุดหรือว่าดูลมหายใจสั้นไว้ก่อน พอเกิดภาวะแบบนั้นนี่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่สติจะเกิดขึ้น ถ้าเราจะไปเจาะจงดูลมหายใจนะ

แต่ถ้าหากว่าตอนกำลังตื่นอยู่ ตอนกำลังดีๆอยู่เราฝึกดูแบบครบสูตรตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแนะไว้ในอานาปานสติสูตรก็คือ ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ ลมหายใจยาวก็รู้ ลมหายใจสั้นก็รู้ รู้ไปทุกสภาพของกองลมไม่ว่ามันจะดีไม่ดี มันจะหยาบหรือละเอียด มันจะยาวหรือมันจะสั้น เราดูหมดเราตามหมด เราเห็นหมด เห็นความไม่เที่ยง แล้วก็รู้ว่าลมหายใจนี่ กองลมทั้งปวงมันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นแค่ธาตุลม ตรงนี้แหละที่มันจะมีสิทธิ์เวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม ไม่ว่าจะกำลังอยู่ในภาวะลมหายใจแบบไหน มันสามารถเจริญสติ มันสามารถจุดชนวนสติขึ้นมาได้ทั้งหมด

จิตที่เคยชินกับการรู้สึกถึงลมหายใจทั้งปวงมันจะมีความไวมากเลยนะ มันจะสามารถเห็นทันทีว่า ณ ขณะนั้นภาวะลมหายใจของเรากำลังเป็นอย่างไรอยู่ หรือถ้าไม่พูดถึงลมหายใจมาพูดถึงเวทนาก็ได้ อย่างคนที่เจ็บพะงาบๆใกล้จะอยู่ใกล้จะไป มักจะมีความทุรนทุรายทางกาย มีความกระสับกระส่ายทางกาย หรือไม่ก็มีความอึดอัด มีความทุกข์ มีความเจ็บปวดบางอย่างที่มันเหมือนกับมนุษย์มนาเขาไม่สามารถที่จะดูกันได้ แต่ถ้าหากว่าเราเคยผ่านมาก่อนคืออย่างเช่นความเจ็บเล็กๆน้อยๆ โดนยุงกัด โดนมดกัด หรือว่าเวลาร้อนเร่าขึ้นมา เราดูอาการกระสับกระส่าย นี่อย่างนี้เรียกว่าผ่านการเจริญสติดูทุกขเวทนามาก่อน แล้วสามารถเอาไปแอพพลายด์ได้ เอาไปใช้ได้ขณะใกล้ตาย ลองดูตามความเป็นจริง

เวลาคนเกิดความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ มันมักจะหาทางหนีไปสู่ความสุข ยกตัวอย่างเช่น อากาศร้อนขึ้นมา ไม่ดูหรอกครับความกระสับกระส่ายทางกายหรือว่าความกระสับกระส่ายทางใจ แต่จะถามหาแอร์ทันที หรือไม่อย่างขั้นต่ำก็ต้องพัดลม ต่อให้เคยเจริญสติมาแค่ไหนก็เถอะลองดูเถอะใจของคน มันไม่อยากจะดูหรอกความร้อน ความกระสับกระส่ายกายความกระสับกระส่ายใจ มันอยากจะหาแอร์ก่อน ใจมันพุ่งไปหาความเย็นก่อน แต่ตอนจะตายถ้าเกิดความเร่าร้อนขึ้นมา ถ้าเกิดความกระสับกระส่ายขึ้นมา มันเรียกหาแอร์ไม่ได้นะ ถ้าไม่ฝึกสติไว้ก่อน มันไม่มีความเคยชินที่จะเข้าสู่ภาวะสำรวมใจให้มีสติขึ้นมาได้ เป็นไปไม่ได้เลย ต้องเคยผ่านมาเท่านั้นนะ

คำแนะนำ สรุปคำตอบก็คือว่า จะดูลมหายใจหรือว่าจะดูเวทนาไม่สำคัญในขณะตาย แต่สำคัญตรงที่ว่าตอนเรากำลังดีๆอยู่ เราเคยฝึกเจริญสติเห็นลมหายใจในทุกๆสถานการณ์ไว้บ้างหรือเปล่า เราเคยเจริญสติเห็นทุกขเวทนาในทุกๆสถานการณ์ไว้บ้างหรือเปล่า ถ้าหากว่าในขณะดีๆอยู่ เราดู ดูมันหมด จะลมหายใจ จะเวทนา จะสภาพจิต ดูครบสูตรตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ให้ดูในสติปัฏฐาน ๔ นั่นแหละเรียกว่าเป็นคนที่เตรียมตัวตายไว้พร้อมแล้ว ต่อให้ไม่คิดนะว่านั่นคือการเจริญมรณสติ ต่อให้ไม่คิดว่านั่นคือการพยายามที่จะเอาตัวรอดให้ได้ในขณะตายแบบฉุกเฉิน ถ้าคุณเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นนักเจริญสติจริงๆตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักเตรียมตัวตายแล้วนะครับ



๕) เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น จะทำอย่างไรในแง่สมถะและวิปัสสนา?

ในแง่สมถะคือแผ่เมตตา ในแง่ของวิปัสสนาคือเห็นความไม่เที่ยงของความเจ้าคิดเจ้าแค้น การแผ่เมตตาคือการที่เราฝึกที่จะให้ทาน เริ่มต้นขึ้นมาเลย ฝึกที่จะให้ทาน สวดมนต์แล้วมีความสุขอยากให้ความสุขนี้เป็นทานแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง และพิสูจน์ใจด้วยการที่เราสามารถจะให้ส่วนเกิน จะเป็นทรัพย์ส่วนเกิน เงินส่วนเกินแก่ผู้มาขอหรือว่าผู้ต้องการ หรือว่าผู้ที่สมควรได้รับ ลักษณะของทาน ลักษณะของการให้ของส่วนเกินเป็นการแผ่เมตตาขั้นต้น การแผ่เมตตาที่ยากขึ้นกว่านั้นอีกนิดหนึ่งคือ เวลาเราโกรธใคร เวลามีคนมาทำให้เราโกรธด้วยเรื่องที่มันไม่ยุติธรรมกับเรา ไม่ใช่เราโกรธเขาเพราะเขาไม่ได้อย่างใจเรานะ มีคนมาทำให้เราขัดเคือง มีคนมาคดโกง มีคนมายั่วแหย่ กระเซ้า หรือว่ามาด่าว่าด้วยคำหยาบคาย ด้วยคำนินทาอันเผ็ดร้อนแล้วเราคิดว่านั่นเป็นบาปของเขา เราไม่อยากจะไปเพิ่มบาปให้เขาและตัวเราเอง ก็ให้คืนบาปนั้นสู่ความว่างเปล่าไป ไม่ไปเอาเรื่องเอาราวเขา นั่นละเรียกว่าให้อภัยเป็นทาน นี่ก็เป็นการแผ่เมตตา นี่ก็เป็นการอยากให้ความสุขของเราไปเป็นความสุขของเขาด้วย ไม่ไปมัวคิดถึงเรื่องความยุติธรรมไม่ยุติธรรม คิดแค่ว่าเราไม่เบียดเบียนเขา แค่นี้ก็คือทำให้เขามีความสุขได้พอสมควรแล้ว ไม่เบียดเบียนเขาคืน และก็ไม่เบียดเบียนตนเองให้ต้องมีจิตใจคับแคบกระสับกระส่าย แค่นี้เรียกว่าเป็นสมถะ

ส่วนในแง่ของวิปัสสนาคือเรารู้อยู่เห็นอยู่ว่าเกิดความรุ่มร้อนอย่างไร ยอมรับตามจริงไม่ใช่ไปพยายามที่จะสาดน้ำเย็นโครมให้ดับไฟร้อนให้มันมอดไปทันที ไม่ใช่พยายามแบบนั้น แต่ยอมรับตามจริงว่าขณะนั้นไฟโกรธมันลุกโพลงมันลุกฮืออยู่ขนาดไหน มันรู้สึกเหมือนกับเร่าร้อน เหมือนกับจะมีใครมาเผาเราออกมาจากข้างใน มีความรู้สึกเหมือนกับกล้ามเนื้อทุกมัดมันพร้อมที่จะไปทำงานประสานกันเป็นอาการชกต่อยเตะตี เพื่อให้คนที่มาทำให้เราไม่พอใจได้รับความเจ็บปวดมากที่สุด รู้ไปว่าอาการทางกายเกิดขึ้นอย่างไร อาการทางใจเกิดขึ้นอย่างไร ยอมรับไปตามนั้นเพื่อให้เห็นว่าลักษณะ ณ ขณะนั้นทางกายทางใจมันกำลังปรากฏอยู่อย่างไร พอยอมรับได้พอเห็นได้ว่าลักษณะทางกายทางใจปรากฏอยู่อย่างไร ในอึดใจต่อมาก็จะสามารถเห็นได้ว่าลักษณะแบบนั้นๆ มันเปลี่ยนแปลง มันไม่สามารถคงที่อยู่ได้ ต่อให้เรารู้สึกเหมือนกับจุกแน่นไม่สามารถทนได้ถ้าหากว่าไม่ไปทำร้ายกลับ ไม่ทำร้ายคืน ภาวะมันจะสุดขีดที่จะกลั้นแค่ไหนก็ตาม ขอแค่เราสามารถที่จะยอมรับได้ตามจริงว่ามันกำลังมีความเป็นอย่างไรอยู่ ความเป็นอย่างนั้นมันจะแสดงความไม่เที่ยงให้เห็นในเวลาไม่นาน นี่เรียกว่าวิปัสสนา

แต่คนที่จะทำแบบนั้นได้ คนจะมีความสามารถเห็นอย่างนั้นได้ต้องมีอภัยเป็นทานมาก่อน ต้องมีทุนมาก่อน ต้องมีความสุขพอสมควร ต้องมีจิตเป็นกุศลพอสมควร ไม่ใช่ว่าใครๆก็ทำได้ ถ้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมากๆ แล้วไม่เคยฝึกอะไรมาเลย ไปทำแบบนั้นมันรู้สึกเหมือนกับจะจุกอกตาย มันเป็นไปไม่ได้นะครับ


เอาล่ะคืนนี้คงต้องยุติเพียงเท่านี้ครับ ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมทุกท่าน


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น