วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๙๘ / วันที่ ๓ ก.ย. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันจันทร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และ ศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อที่จะทักทายและไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/dungtrin

สำหรับคืนนี้ก่อนอื่นก็ขอประชาสัมพันธ์ สำหรับผู้ที่สนใจหนังสือ ‘มหาสติปัฏฐานสูตร’ นะครับที่ผมเขียนไว้ฉบับดั้งเดิมเล่มใหญ่ ที่จะมีคนรู้จักตั้งแต่เมื่อ ๑๐ ปีที่ผ่านมาตอนนั้นเป็นเล่มสีม่วง ฉบับที่จะมีพระธรรมจักร แล้วก็มีดอกบัวเป็นหน้าปกนะครับ ช่วงนั้นนี่ก็ทำเป็นเล่ม ๑ กับเล่ม ๒ ซึ่งเล่ม ๒ นานเท่าไหร่ๆก็ไม่ออกมาสักทีเพราะว่า ก็ติดขัดอะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอาเนื้อหาตั้งใจที่จะเขียนเนื้อหาเยอะเกินไปนะเลยไม่เสร็จสักที ก็ได้ทำเล่มขัดตาทัพออกมาก่อนคือเหมือนกับมีการย่นย่อยนะ ซึ่งก็ไม่ค่อยเป็นที่พอใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต้องการความละเอียดลออ โดยเฉพาะพุทธพจน์ที่เป็นหลักตั้งอ้างอิง ว่าเอามาจากไหนพระสูตรใด พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐานหรือว่าการเจริญสติอย่างไรนะ หลายคนต้องการตรงนั้นที่มีความละเอียดลออ

ถึงวันนี้ก็ยังมีผู้ต้องการขอกันมามากมายคือส่วนใหญ่จะขอมาในลักษณะที่ว่าเอาไปจัดพิมพ์เป็นธรรมทานบ้างหรือว่าอยากได้ไปจัดในงานบวชงานอะไรต่างๆก็ขอกันมาไม่ขาดสายเลยว่าอยากจะได้เวอร์ชันแรกที่ยังมีแค่อยู่เล่ม๑นั่นแหละเอาไปจัดพิมพ์เอาเองนะครับ เพราะว่ายังไม่ออกมาวางตลาดหรือว่าจะมีแจกเป็นธรรมทานที่ไหน

ก็เลยในที่สุดนะผมได้ยินจริงๆว่ายังมีคนต้องการอยู่ ๑๐ ปีเข้าไปแล้วนะครับ เลยใช้เวลาช่วง๒เดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่จะเอาของเก่ามาขัดเกลานะครับ แต่ว่าเพิ่มเนื้อหาใหม่เข้าไปด้วย แล้วก็แก้ไขปรับปรุงจุดที่มีความยากเย็น อ่านลำบาก หรือว่าวรรคตอนไม่ค่อยดี จัดไม่ค่อยสวยในอดีตนะครับ ได้นำมาทำใหม่เลยก็เป็นเล่มสมบูรณ์ ก็มีครบทุกหมวด กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วก็ครบทุก… ก็จัดการเรียบร้อยแล้ว คิดว่าหลายๆท่านคงได้เห็นนะ อยู่ในหน้าแฟนเพจนะครับที่ท่านกำลังรับฟังในรายการนี้อยู่ ที่คลิกผ่านรายการนี้เข้ามานี่ ก็อยู่ที่ http://www.facebook.com/dungtrin สเตตัสล่าสุดก่อนที่จะถึงรายการนี้นะ ก็จะมีพูดถึงว่าจะเข้าไปดูรายละเอียด ในการร่วมกันจัดพิมพ์อย่างไรนี้

เป็นการร่วมกันจัดพิมพ์นะครับคือแม้แต่ผมเองผมกับครอบครัวหลายๆคนก็ลงขันในกรณีนี้เพื่อที่จะนำไปถวาย นำไปทำสังฆทานโดยเฉพาะก็ถือว่านี้เป็นการรวบรวมพุทธพจน์ไว้ในที่เดียวเกี่ยวกับเรื่องของการเจริญสติไม่ใช่ผลงานของผมด้วยความรู้สึกจากใจจริงๆนะ เป็นเรื่องของการพระพุทธพจน์นะครับมารวบรวมไว้ในที่เดียวกันแล้วก็ขยายความด้วยภาษาร่วมสมัยใช้ความสามารถแบบนักเขียนมาทำให้พระพุทธพจน์มีชีวิตชีวาขึ้นมานะครับ เอาหละก็เข้าไปดูรายละเอียดได้สำหรับผู้ที่สนใจนะครับ



๑) การอธิษฐานจิตนั้นต้องประกอบไปด้วยอะไรจึงจะทำให้การอธิษฐานสัมฤทธิ์ผล? จำเป็นแค่ไหน? และผู้ที่ฉลาดในการอธิษฐานควรจะอธิษฐานอย่างไรจึงจะเป็นบุญ เป็นบารมี และอย่างไหนควรเลี่ยงคะ?

ก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ โดยสรุปใหญ่ใจความนะครับ หลักการอธิษฐานง่ายๆเลยคือว่า ตั้งใจทำแล้วทำให้ได้ เอามาตามลำดับขั้นอย่าไปมองว่ามีพิธีรีตองอะไรที่จะทำงานใหญ่ให้สำเร็จ อย่างตั้งว่าจะ นู่นเลยนะ บางคนนี่อธิษฐานอยากนู่นอยากนี่ว่าเกิดชาติหน้าฉันใดนะ ขอให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งมันไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาพิสูจน์นะ ยังไม่ถึงชาติหน้ามันก็มองไม่เห็น หรือบางคนนะที่เคยได้ยินมากับหูเลยคือตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่าหลังจากได้บรรลุโสดาปัตติผลจะทำนู่นจะทำนี่ จะเกิดอีก ๗ ชาติ จะเกิดอีก ๓ ชาตินะ อยากจะท่องเที่ยวไปแบบนางวิสาขานะ ตะลุยสวรรค์ทุกชั้นเลยแล้วค่อยไปให้ถึงมรรคผลนิพพานขั้นสูงสุดเป็นพระอรหันต์บนสวรรค์อะไรแบบนั้น

คือพอตั้งใจอะไรที่มันจะสัมฤทธิ์ผลในชาติต่อไปนี่อาจจะโอเค บางคนรู้หลักจริงๆแล้วก็มีตาทิพย์ มีญาณทิพย์สามารถทราบอนาคตของตนเองได้ อันนั้นก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่มันไม่ใช่อย่างนั้น คนเราไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่สามารถคาดคะเนได้ว่าอนาคตของตนเองจะเป็นไปอย่างไรนะครับ แต่เราสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว จะเป็นผู้ที่อยู่บนเส้นทางของความสว่าง หรือเส้นทางของความมืด อันนี้เลือกได้ แล้วถ้าหากว่าจะเป็นผู้ที่มีความสำเร็จการอธิษฐานคือตั้งใจจะทำอะไรแล้วทำให้ได้ขอให้ไต่มาตามลำดับ อย่าไปกระโดดทำแบบก้าวกระโดด อย่าทำแบบที่มาตั้งใจโน่น ตั้งใจนี่ แบบที่มันใหญ่เกินตัวนะครับ อยากจะให้มันเกิดผลอย่างนั้นอย่างนี้แบบที่ไม่สามารถคาดเดาได้แน่นอน

เริ่มจากมีการตั้งใจทำอะไรเล็กๆน้อยๆ เช่นวันนี้ตั้งใจจะตื่นเช้าขึ้นมาใส่บาตรแล้วทำให้ได้ อย่าล้มเลิกกลางคันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะ ยกเว้นแต่มันสุดวิสัยจริงๆ และเรายังมีความตั้งใจไว้ว่าถึงแม้จะมีเหตุติดขัดก็ต้องทำให้ได้ ถ้าสมมติวันนี้ตั้งใจว่าจะตื่นเช้าขึ้นมาเสร็จแล้วปรากฏว่าที่ต่างจังหวัดมีญาติไม่สบายด่วนนะ จะต้องไปตั้งแต่กลางคืนอะไรแบบนี้ ก็ไปนะ อย่าเป็นคนใจไม้ไส้ระกำนะ ประเภทที่ว่าฉันจะทำบุญก่อน ถึงญาติบอกว่ากำลังป่วยหนักเราก็ขอทำบุญก่อนตอนเช้าแล้ว ๙ โมงค่อยไปอะไรแบบนี้ ก็ให้ไปหาญาติเลย แต่ว่าเรามีความตั้งใจไว้ว่าการทำบุญตอนเช้าจะยังไม่เลิกรานะ ต้องทำให้สำเร็จให้ได้วันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องได้ ด้วยเหตุติดขัดจริงๆ แต่เหตุติดขัดเหลือวิสัยประเภทที่ว่า โอย ขี้เกียจตื่นนะ เหตุติดขัดแบนี้ ไม่ใช่ข้ออ้างที่ผู้สำเร็จในการอธิษฐานจิตนี่นะจะมาใช้กัน

อย่างบางคนนี่ถึงขนาดที่ว่าเกิดป่วยไข้กะทันหัน แทบจะลากสังขารมาไม่ไหวก็อุตส่าห์ลงมาทำกับข้าวตั้งแต่ ตี ๔ ตี ๕ เพื่อไปถวายพระนะ ตั้งใจไว้แล้วว่าจะใช้ฝีมือของตัวเองนี่แหละปรุงอาหารเพื่อที่จะถวายเป็นภัตตาหารแก่พระสงฆ์ในช่วงเช้า ก็ตั้งใจทำ ถึงแม้จะลากสังขารไม่ไหวปรากฏว่ามีปาฏิหาริย์คือตอนแรกที่เหมือนจะลากสังขารมาไม่ไหวนะ แต่พอกระเสือกกระสนลงมาจนได้นี่ พอถวายพระเท่านั้นอาการป่วยไข้หายเลยนี่ก็เป็นความมหัศจรรย์ของกองบุญกองกุศลที่ตั้งใจทำแล้วทำให้ได้

หรือที่มันยากขึ้นมากว่านั้นนิดหนึ่ง ที่เมื่อกี้พูดถึงการถวายภัตตาหารตอนเช้านะไปทำบุญใส่บาตรอันนี้เขาเรียกว่า การทำบุญในระดับของทานนะ ถ้าเขยิบขึ้นสูงนิดหนึ่ง เขยิบขึ้นสูงกว่าเดิมคือการทำบุญในระดับการรักษาศีล นี่อย่าดูเบานะแค่ตั้งใจว่าวันนี้จะไม่โกหกต้องไม่โกหกให้ได้ นั่นนะได้บุญยิ่งกว่าทำทาน คำว่าบุญในที่นี้ระดับของบุญไม่ใช่ว่าความสว่างความเจิดจ้าอะไรจะมากกว่าการใส่บาตรนะ แต่เป็นบุญของการพัฒนาจิต การรักษาจิต การที่จะทำมหาทาน

คำว่า ‘มหาทาน’ นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าหมายถึงผู้ที่ตั้งใจรักษาศีล ตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่เบียดเบียนใครในโลก การรักษาศีลก็คือการไม่เบียดเบียนกันนั้นเอง การไม่ก่อเวร การไม่ก่อภัย การไม่เอาคืนถึงแม้จะมีเหตุยั่วยุให้เอาคืน นี่การรักษาศีลนะ มันก็คือการตัดเวรนั่นเอง มันก็คือการที่เรามีชีวิตอยู่อย่างผู้ปราศจากเวร ผู้ปราศจากเวรย่อมจะเป็นผู้ที่พ้นออกจากวงโคจรของเวรของภัย

ถ้าหากว่าเราตั้งใจว่าวันนี้จะไม่ฆ่าสัตว์แม้แต่ตบยุง วันนี้จะไม่ลักทรัพย์แม้กระทั่งคิดนะว่าจะไปเอาเปรียบคนอื่นเขาในขณะที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว เราจะไม่ประพฤติผิดทางเพศนะลูกเขาเมียใครหรือสามีของใคร หรือว่าผัวของใคร เราจะไม่ตั้งใจที่จะเอามาเป็นของของตน คือไปประพฤติผิดทางเพศ คำว่าประพฤติผิดทางเพศนั้นก็คือล่วงเกินกันทางประเวณีนะ คือถ้าแค่คิดยังไม่เป็นไรคือยังไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ตั้งใจว่าจะทำตั้งใจว่าเอาจริงนั่นแหละเริ่มด่างพร้อยแล้ว และถ้าหากว่าทำสำเร็จถึงขั้นที่มีอะไรกันจริงนะ แบบผิดๆเป็นของของคนอื่นเขา อย่างนี้เรียกว่าละเมิดศีล เราจะไม่ทำ เราจะไม่คิด เราจะไม่ตั้งใจนะ ถ้าเกิดมันตั้งใจซะแล้วเราก็ล้มเลิกมันซะกลางคันอย่างนี้เรียกว่า ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีความเหลาะแหละโลเลแต่เป็นผู้ที่มีความเด็ดเดี่ยวในการเอาชนะกิเลสนะครับ

และถ้าตั้งใจว่าวันนี้จะไม่ไปพูดโกหก หรือว่าพูดนินทาว่าร้ายใคร ไม่ไปพูดคำหยาบ ไม่ไปพูดส่อเสียดหรือว่าแม้กระทั่งการพูดเพ้อเจ้อพล่ามไปเรื่อยไหลไปเรื่อยนะโดยที่ไม่หยุด ไม่มีอาการของคนที่มีสติสตังอย่างนี้เราจะไม่เอา เราจะไม่ทำ ตั้งใจทำแล้วทำให้ได้ นอกจากนั้นข้อสุดท้ายก็คือตั้งใจว่าจะไม่กินเหล้าเมายา ไม่เสพยาอียาบ้านะ ไม่เอาอะไร ไม่รับสารอะไรที่มันบั่นทอนสติ มันบั่นทอนสัมปชัญญะ

ถ้าหากว่าตั้งใจทำแล้วทำได้นี่แหละถือว่าเป็นผู้มีสัจจะบารมี เป็นผู้ที่ทำบุญด้วยการรักษาสัตย์ สัจจะวาจานะ ตั้งใจทำอะไรแล้วทำได้ในทางที่เป็นบุญในทางที่เป็นกุศลในทางที่มีความสว่างอย่างนี้ มันจะมีกำลังของผู้มีสัจจะมากขึ้นเรื่อยๆอย่างนี้แหละนะ ก็จะให้เป็นผู้ที่ตั้งใจทำอะไรแล้วทำสำเร็จ ผู้ที่เริ่มต้นด้วยบุญ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสว่างเป็นทุนหนุนมีทุนหนุนหลังนะเป็นความสว่างเป็นความมีอำนาจในทางที่จะทำอะไรได้สำเร็จด้วยทานด้วยศีลอย่างนี้นะ พอเราริเริ่มโครงการบุญตั้งใจจะทำอะไรในทางที่จะพัฒนาให้จิตวิญญาณของตัวเองก้าวหน้าขึ้นในที่สุดแล้วก็จะเป็นผู้ที่มีใจใหญ่ เป็นผู้ที่มีบุญใหญ่เป็นผู้ที่มีกองหลังหนุน หนุนหลังอย่างยิ่งใหญ่นะครับ แล้วก็ตัวนี้แหละที่มันจะก่อให้เกิดความสำเร็จไม่ว่าจะทำอะไร

แล้วก็สิ่งที่ควรเลี่ยงก็คือ ง่ายๆเลยตั้งใจจะทำอะไรในทางที่ดีในทางที่เป็นบุญเป็นกุศลแม้แต่เล็กๆน้อยๆอย่าดูเบาให้ทำให้สำเร็จลุล่วงให้จงได้ นั่นแหละสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงนะครับ ไม่ต้องไปทำพิธีรีตองอะไรทั้งสิ้น พิธีรีตองที่ดีที่สุดนะก็คือใช้ใจ อาศัยกำลังใจ ตั้งใจทำอะไรที่ดี แล้วทำให้ได้แต่ถ้าตั้งใจทำอะไรที่เลวแล้วล้มเลิกให้ได้อันนี้แหละก็จะเป็นบุญเป็นกุศลเช่นกัน มีความเป็นผู้ที่ประกอบความดีสำเร็จเช่นกันนะครับ



๒) คำถามอาจฟังดูแปลกสักหน่อย คือเป็นคนที่ไปอยู่ที่ไหนน้ำก็รั่วค่ะ บ้านคุณแม่คุณพ่อที่ต่างจังหวัดก็จำเพาะจะมารั่วแต่ห้องที่เราอยู่ เวลาฝนตกน้ำก็จะซึมมาตามกำแพง พยายามหารอยและอุดกาวแล้วแต่น้ำก็ยังรั่ว ห้องน้ำที่มี ๔ ห้องก็มารั่วแต่ห้องเรา พอซื้อคอนโดที่กรุงเทพน้ำก็รั่วอีก ร้านค้าที่ค้าขายน้ำก็รั่วและหาจุดรั่วไม่เจอค่ะ บางทีฝนไม่ได้ตกแต่อยู่ๆน้ำก็รั่วออกมาดื้อๆจากไหนไม่ทราบ ซึมออกมาทำให้ข้าวของที่ขายเสียหายก็มี มันคือความบังเอิญหรือเราเคยไปทำกรรมอะไรไว้คะ? รู้สึกชีวิตเฉอะแฉะมาก หากเกิดจากกรรมแล้วพอจะแก้ไขได้หรือเปล่า?

อย่างนี้นะคือพระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้ว่า ผู้ที่เคยไปทำให้ข้าวของของคนอื่นเสียหาย หรือไปทำให้ทรัพย์สินของชาวบ้านเขาต้องพินาศ หรือไปเอาเป็นของของเรา เอาเป็นกรรมสิทธิ์ของเราโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็อาจจะเกิดภัยเกิดเวรในที่ที่กรรมเผล็ดผลนะครับ ก็อาจเกิดด้วยไฟด้วยน้ำด้วยลมหรือด้วยดิน จะเป็นแผ่นดินไหว จะเป็นน้ำท่วม จะเป็นไฟไหม้ หรือจะเป็นโดนพายุทอร์นาโด เฮอร์ริเคน อะไรต่างๆนี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าเป็นผลของการที่เคยทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย หรือว่าไปเอาทรัพย์สินของเขามาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต

หรือถ้าหากว่าเป็นกรณีของผู้ถามที่เจอเรื่องน้ำเป็นประจำนี่ ถ้าอธิบายตามเหมือนกับทางโหราศาสตร์อะไรแบบนี้นะ ดวงก็จะแพ้น้ำ คือลักษณะดวงที่แพ้น้ำก็หมายความว่า จะเป็นผู้มีวิบากในเรื่องเกี่ยวกับน้ำมากนะ น้ำจะมารบกวนมาก ซึ่งอันนี้ก็จะมีอธิบายไว้บางแห่งนะครับว่าถ้าเคยประพฤติผิดในเรื่องของศีลธรรมในข้อกาเมสุมิจฉาจารนี่ก็จะได้รับภัยซึ่งท่านเปรียบเหมือนกับกามนี่เป็นน้ำ เป็นภัยจากน้ำที่ท่วมทับเรา ที่ทำให้เราเกิดความเสียหายด้วยน้ำได้นะ อันนี้สรุปโดยย่นย่อนะครับ กรรมเกี่ยวกับเรื่องของน้ำนี่มักจะมาในแง่ของการเคยผิดศีลในอดีตนะคือถ้าดวงเขาวางแผนไว้ วิบากกรรมเขาวางแผนไว้ว่าจะให้ชีวิตนี้ประสบภัยประสบเวรหรือประสบความเดือดร้อนรำคาญเกี่ยวกับน้ำนี่ก็ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของศีลข้อ๒กับข้อ ๓ นะครับ

เอาล่ะ ทีนี้ถ้าถามว่าจะแก้ไขหรือว่าจะบรรเทาให้มันเบาบางลงจะต้องทำอย่างไร ทางหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือข้อแรกเลยให้เร่งเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรงของเราว่าเรื่องของกรรมมีจริง เรื่องของวิบากเฉพาะตนมีจริงไม่มีอะไรที่บังเอิญนะ อย่างคนฟังคนอื่นนี่ที่ไม่ได้เจอแบบนี้นะ ฟังแล้วก็อาจจะคิดว่า ‘เอ๊ย มันก็เรื่องบังเอิญ’ แต่ไอ้คนที่เจอมาทั้งชีวิตนี่มันจะไม่รู้สึกว่าบังเอิญนะ มันจะรู้สึกว่ามีอะไรอยู่แน่ๆที่เป็นเบื้องหลังนะครับ

เราก็เร่งรับรู้ว่านั่นคือเรื่องของวิบากของกรรม ณ ที่ที่กรรมเผล็ดผลก็คือชาตินี้ชีวิตนี้เส้นทางของความเป็นตัวตนนี้แหละ เป็นเส้นทางของผู้ที่จะได้รับวิบากเกี่ยวกับน้ำ เกี่ยวกับความเฉอะแฉะนะครับที่เราได้ประสบมา พอได้เรียนรู้อย่างนั้นปุ๊บนี่ แล้วก็มีความตั้งใจว่าเราจะรักษาศีลให้ดี ชีวิตก่อนไม่รู้ไปทำอะไรมาเกี่ยวกับเรื่องของศีลของธรรม ไปทำให้สมบัติของใครเกิดความพินาศมาบ้าง หรือว่าไปแกล้งปล่อยน้ำใส่ใครนะทำให้เขาได้รับความเดือดร้อนรำคาญใจ เกี่ยวกับเรื่องของน้ำนี่เราก็ไม่รู้ล่ะ แต่ชาตินี้เรารู้และเราจะเลือกทางที่เป็นผู้มีศีลมีธรรมที่สะอาดที่จะไม่ไปทำให้ทรัพย์สมบัติของใครเขาเดือดร้อน เขาเกิดความพินาศ เขาเกิดความเสียหาย

แล้วก็ถ้าหากว่าเรารู้ตัวว่ากรรมเกี่ยวกับเรื่องของน้ำของเราไม่ดี เราก็ไปทำกรรมใหม่ที่มันเกี่ยวกับเรื่องของน้ำที่มันดีๆซะ อย่างเช่นไปร่วมสร้าง ร่วมถวาย ร่วมซ่อมแซมอะไรที่มันเป็นบุญเป็นกุศลเกี่ยวกับน้ำเช่น ห้องน้ำของพระ หรือห้องน้ำของสถานสงเคราะห์คนชรา คนพิการ เด็กอ่อนนะ หรือเราอาจจะเป็นผู้ส่งเสริม เป็นผู้สนับสนุนให้ความช่วยเหลือให้ความรู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องน้ำท่า เรื่องของความรู้ความเข้าใจ จะทำให้คนอื่นๆในวงกว้างเกิดความ อย่างสมมติว่าเอาข้อมูลที่เกี่ยวกับน้ำท่วม เอาข้อมูลที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจากน้ำมาเผยแพร่

อันนี้นะถ้าทำเป็นประจำคือมันก็จะมีผลให้เรารู้สึกดีเป็นอันดับแรกเลยเกี่ยวกับเรื่องของน้ำเราจะรู้สึกดีขึ้นเกี่ยวภัยเรื่องของน้ำ เพราะว่าเราเจอมานี่นะมันเป็นประสบการณ์แย่ๆเกี่ยวกับน้ำทำให้รู้สึกเกลียดน้ำ มันเป็นศัตรูกับน้ำขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว แต่ด้วยชาตินี้ด้วยปัจจุบันนี้ด้วยความเป็นอย่างนี้เราจะสร้างความเป็นมิตรกับน้ำขึ้นมาด้วยความรู้สึกขึ้นมาก่อนด้วยการทำบุญทำทานเกี่ยวกับเรื่องของน้ำเกี่ยวกับเรื่องของท่านะครับ ในที่สุดแล้วถึงแม้ว่าเราจะยังเป็นผู้มีเหตุให้ต้องเจอเรื่องรบกวนเกี่ยวกับน้ำอยู่แต่จะรู้สึกนะว่ามันมาน้อยลง คือโลกภายนอกกับโลกภายในนี่มันมีความสัมพันธ์กัน เมื่อเราทำบุญเกี่ยวกับเนื่องของน้ำมากจริงๆจนรู้สึกว่าเป็นมิตรกับน้ำ มันจะเหมือนกับโลกภายนอกนี่มันรบกวนเราด้วยน้ำน้อยลง คือมันจะห่างหายไป ห่างๆไปแล้วก็มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของน้ำน้อยลง ถ้าหากว่าของเก่าเขาวางแผนว่าต้องเจอทั้งชีวิตจริงๆอย่างน้อยที่สุดนะ เราจะรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่มาประสบ เรื่องที่ร้ายๆเกี่ยวกับน้ำนี่มันจะลดน้อยลงมากนะ จนกระทั่งเรารำคาญใจน้อยจนเหมือนกับไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เกินจะรับ

อย่างแรกนี่เราทำใจไว้ว่านี่อันนี้เป็นวิบาก ถ้าเป็นคนนอกศาสนาเขาก็บอกว่าเออมันเป็นเรื่องของความบังเอิญ เป็นเรื่องของความซวย เป็นเรื่องของเคราะห์ร้าย แต่เราอธิบายตัวเองว่านี่เป็นเรื่องของวิบาก นี่เป็นเรื่องของของเก่าที่ทำมาไว้ไม่ดี ซึ่งถ้าเจริญสติไปจนกระทั่งสามารถรู้ตัวได้ว่ามาจากไหน มีเหตุมาจากความบังเอิญหรือว่ามีเหตุมาจากความมืดความสว่างอันเป็นวิบากของกรรม เราก็จะหายสงสัยเห็นเป็นนิมิตเลยว่าเคยไปทำอะไรเกี่ยวกับน้ำไว้ และทีนี้ชาตินี้ปัจจุบันนี้เราเห็นอยู่กับใจ มีสติอยู่กับตัวนะรู้อยู่เห็นอยู่ว่าเราจะทำเรื่องดีๆเกี่ยวกับน้ำ เราจะไม่ละเมิดศีล ข้อ ๒ ข้อ ๓ เด็ดขาดนี่อย่างนี้นะในที่สุดแล้ว เราก็จะพ้นภายจากน้ำและพ้นภัยจากสังสารวัฏด้วยนะครับ



๓) ปกติน้องจะนั่งสมาธิวันหนึ่งประมาณ ๓ ชั่วโมง ซึ่งตัวเราเองมีความรู้สึกว่ามันเร็วนะ ๓ ชั่วโมงนี่ แต่พอเล่าให้พี่ชายฟัง พี่ชายบอกว่านานมาก และก่อนจะมีอะไรเกิดขึ้นน้องก็มักจะเห็นภาพก่อน อย่างเมื่อก่อนสิ้นเดือนที่แล้วน้องนั่งสมาธิอยู่แล้วเห็นตัวเองโดนรถชนบินข้ามไปอีกฝั่ง น้องจึงไปทำบุญเผื่อว่าจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ แต่พอผ่านมาไม่กี่วันน้องก็ตกบันไดหัวแตกเย็บ ๖ เข็ม น้องจะเป็นอย่างนี้บ่อยมาก คุณพ่อกับคุณแม่บอกว่าน้องน่าจะมีจิตสัมผัส แต่จริงๆแล้วน้องไม่อยากมี แต่ทุกครั้งที่คนในบ้านเกิดเหตุน้องก็จะมีลางสังหรณ์เกิดขึ้นนำมาก่อนเสมอ แบบนี้จะเรียกว่าอย่างไรดีคะ?

เอาล่ะตอบเป็นข้อๆเลยก็คือว่า ถ้าเราทำสมาธิจะนานเท่าไหร่ก็ตาม ตราบใดที่รู้สึกว่ามันผ่านไปเร็ว เวลามันผ่านไปเร็วนั่นคือเป็นเวลาที่คุ้มค่าที่สุดของเรานะครับ การนั่งสมาธิขอให้นั่งอย่างมีความรู้สึกตัวนะ มีสติที่มันถูกต้องก็แล้วกันนะ สามารถเห็นกายเห็นใจนี้โดยความเป็นของไม่เที่ยงได้ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนนะ ก็ถือว่าคุ้มโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่นั่งสมาธิแล้วไม่อยากเลิกมีความสุข มีความสบายใจมากมายนะ อันเป็นเวลาทำบุญ ๓ ชั่วโมงที่คุ้มค่ากับชีวิตของเรามาก คุ้มค่ากับชีวิต ๓ ชั่วโมงของเรามาก ก็อธิบายให้พี่ชายของเราฟังว่า ๓ ชั่วโมงนี่ ถ้าหากว่ามันผ่านไปด้วยการมีสติรู้สึกตัวอยู่ว่ากายนี้ใจนี้ไม่เที่ยงมันคือช่วงเวลาที่คุ้มที่สุดในชีวิตแล้วนะ

จากนั้นนะถ้าเราเป็นผู้ที่มีจิตสัมผัสก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปอยากมีหรือไม่อยากมีแต่ขอให้รู้ไว้แล้วกันว่า นั่นคือสิ่งที่เป็นความปรุงแต่งของจิตชนิดหนึ่ง ไม่ว่ามันจะมีหรือไม่มี ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วมันก็เกิดขึ้นมาจากการที่เรามีฐานของสมาธิ แล้วก็สามารถที่จะเอารากของอนาคตนะคือปัจจุบันความเป็นปัจจุบันอย่างนี้นี่มาเห็นต่อยอดเป็นนิมิตในสมาธิ หรือว่าในฝันหรือว่าในอะไรก็แล้วแต่ แค่พิจารนาโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าความปรุงแต่งจิตนั่นเป็นแค่ภาวะจิตแบบหนึ่งเป็นแค่ภาวะความปรุงแต่งชนิดหนึ่งเท่านี้ก็จะไม่มีอะไรที่มันเป็นลบหรอกนะครับ

ถ้ามองว่าเป็นจิตสัมผัส ถ้ามองว่าเป็นคุณสมบัติพิเศษในตัวเรานะก็ขอให้มองควบคู่ไปด้วยว่ามันคือความปรุงแต่งของจิตชั่วคราว มองอย่างนี้ไปเรื่อยๆทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น เราก็จะเห็นเป็นครั้งๆไปว่า นี่คือความปรุงแต่งของจิต นี่คือความปรุงแต่งของจิต นี่คือความปรุงแต่งของจิต มองไปเรื่อยๆมันก็รู้สึกขึ้นมาจริงๆว่า เออจะวิเศษแค่ไหนมันก็แป๊บเดียวมันก็จิตดวงหนึ่งนะมันก็ความปรุงแต่งชั่วคราว


เอาละครับคืนนี้ต้องล่ำลากันที่ตรงนี้ สวัสดีราตรีสวัสดิ์ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านนะครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น