วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๒๙ / วันที่ ๒๖ มี.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันจันทร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเศษ ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง

วันนี้เราใช้สไกป์ (Skype) คุยกัน คุณสามารถแอดผมในสไกป์นะครับ ด้วยการหาชื่อ ‘Dungtrin’ ถ้าเห็นผมออนไลน์ไฟเขียวเมื่อไหร่ก็สามารถโทรกันเข้ามาได้ครับ ตอนนี้ถ้าใครเห็นแล้ว ก็โทรกันเข้ามาได้เลย ผมจะรอรับสายแรกนะครับ

เข้าใจว่าตอนนี้น่าจะออนไลน์แล้วนะครับ มีคนทักทายกันเข้ามาในวอลล์ของเฟสบุ๊คครับ http://www.facebook.com/HowfarBooks สวัสดีทุกท่านที่ทักทายกันเข้ามาในวอลล์นะครับ

สำหรับวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมออกอากาศไปแบบที่เพิ่งจะแจ้งล่วงหน้าแค่ ๑๐ นาที เพราะว่าเป็นการชดเชย ไม่ใช่จะทำวันเสาร์อย่างที่ได้ออกอากาศไปนะครับ เนื่องจากว่าวันศุกร์มีปัญหา Spreaker.com คนเข้ากันไม่ได้ ตอนนี้ก็น่าจะเข้ากันได้ตามปกตินะครับ

และสำหรับท่านที่มีคำถาม คือถ้าวันไหนที่ผมออกอากาศทางสไกป์ ก็จะไม่รับคำถามจากทางวอลล์ของเฟสบุ๊คนะครับ และถ้าหากว่าวันไหนรับคำถามจากเฟสบุ๊คก็จะไม่รับคำถามจากสไกป์ เหตุผลที่ใช้สไกป์ก็อย่างที่เคยเรียนให้ทราบว่าเป็นการคุยกันแบบมีเสียง แล้วก็จะสะดวกสำหรับผมเองด้วยที่ไม่ต้องมานั่งอ่านเอง เวลาที่มีคำถามไหนไม่เข้าใจ ก็จะได้ไถ่ถามกันผ่านสไกป์ได้เลย เหมือนกับเราคุยโทรศัพท์กันสดๆ

สำหรับวอลล์ของเฟสบุ๊ค ก็จะมีข้อดีไปอีกแง่หนึ่งคือ เทคนิคการเชื่อมต่อกัน จะทำให้ผมรับฟังได้สะดวกกว่า และตอบได้อย่างมีสมาธิมากกว่า เพราะว่าไม่มีเสียงก้อง แต่ตอนนี้ก็พยายามหาเทคนิควิธีในการที่จะเชื่อมต่อ และได้พูดคุยสไกป์แบบที่ผมไม่ต้องได้ยินเสียงก้องด้วย และวันนี้กำลังจะทดลองดูว่าทำได้ดีไหม เพราะระบบการเชื่อมต่อระหว่างสปรีคเกอร์กับซอฟต์แวร์ที่ใช้ยังไม่ค่อยเสถียรเท่าไร มีปัญหาคือ ถ้าหากว่าจะตัดเสียงก้องออกไป โปรแกรมก็รวนขึ้นมาได้

ถ้าหากว่าได้ยินเสียงรบกวนอะไรบ้าง ก็ขออภัยด้วยนะครับ เพราะบางครั้งหลายๆท่านอาจจะลืมไปแล้วว่า ที่ผมออกอากาศนี้มาจากในบ้านนะครับไม่ใช่ในสตูดิโอ ถ้าหากว่ามีเสียงจากรอบบ้าน หรือว่ามีเสียงกุกกักอะไรไปบ้างก็ขออภัยด้วย



๑) ได้ยินน้องคนหนึ่งพูดเรื่องผีอำ จึงเกิดความสงสัยว่า ทำไมคนเราต้องโดนผีอำ? แล้วทำไมผีต้องมาอำด้วย? และถ้าเกิดขึ้นมีวิธีแก้อย่างไรคะ?

ที่เขาวิเคราะห์กันมานะครับ คนที่บอกว่ามีอาการผีอำหรือว่านอนๆอยู่แล้วเหมือนมีอะไรมากดทับ ทำให้หายใจไม่ออกบ้าง ทำให้ขยับตัวไม่ได้บ้าง โดยมากจะเป็นเรื่องของประสาท อาการทางประสาท มากกว่าที่จะมีอะไรภายนอกเข้ามานะครับ ลักษณะที่เรารู้สึกกันว่าถูกกดทับหรือว่าหายใจไม่ออก เป็นการทำงานของอวัยวะบางส่วนที่ทำงานไม่ได้ เท่าที่ผมเคยฟังหมอเขาวิจัยหรือเขาคาดคะเนกัน

ทีนี้ถ้าหากว่าในกรณีสำหรับบางคนที่ไม่ใช่แค่รู้สึกเหมือนขยับไม่ได้ หรือว่าหายใจไม่ออก แต่สามารถเห็นเลยทีเดียว ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เป็นเหมือนกับระดับเดียวกับเรา เป็นอะไรอีกอย่างหนึ่งที่ต้องเห็นได้ผ่านนิมิตเท่านั้น และสามารถที่จะรับรู้ถึงกระแสเจตจำนงประทุษร้าย หรือว่ารับรู้ถึงเจตนาที่จะเข้ามาสื่อสารอะไรบางอย่างด้วย อันนี้ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีเหตุผลจำกัดว่ามีเป้าประสงค์อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแบบเดียวกับคนที่เข้ามาจะทำร้ายเรา ถ้าหากลองสอบถามดูว่าทำไมต้องมาทำร้ายกัน แต่ละคนที่เข้ามาก็จะมีคำตอบที่แตกต่างกันไป อาจจะเคยผูกเวรกันมาด้วยมีเรื่องบาดหมางกัน หรือว่ามีใครจ้างวานมาอะไรต่างๆ ไม่ใช่ว่ามีจุดประสงค์เดียวครอบจักรวาล

คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องของผีอำหรือว่าการถูกวิญญาณเข้ามารบกวน มันไม่มีอะไรที่ตายตัว ไม่มีอะไรที่ครอบจักรวาล แต่มีหลักการอย่างหนึ่งที่เราสามารถใช้ได้โดยทั่วไปคือ ‘แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล’ ซึ่งฟังดูแล้วก็เหมือนกับเป็นเรื่องที่เคยๆ ได้ยินกันมา แต่ถ้าเราเข้าใจหลักการ ก็จะทราบนะครับว่าทำไมต้องทำแบบนั้น การที่ใครเข้ามาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลคือมาขอแบ่งส่วนบุญ หรือว่าเข้ามาด้วยความอยากจะประทุษร้าย เพราะว่ามีกรรมเก่าต่อกันมา หรือเหตุผลใดๆก็ตามที่จะมารบกวนกัน การที่เรามีใจที่เป็นกุศลตอบกลับ ย่อมช่วยให้เวรระงับลงได้ ถือว่าการมาขอส่วนบุญของเขาได้ผลสำเร็จมีความชุ่มชื่นกลับไป

บางคนก็ถามว่า บางทีโดนกันทั้งตึกเลย โดนกันทั้งบ้านเลย สวดมนต์ก็แล้ว อุทิศส่วนกุศลก็แล้ว พาพระมาทำบุญก็แล้ว นิมนต์มาให้ปัดรังควานอะไรต่างๆ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จะให้ทำอย่างไร?

จริงๆถ้ามองอย่างนี้ว่า ต่อให้เป็นวิญญาณก็ตาม ต่อให้เป็นสิ่งที่อยู่ในภพภูมิอื่น ถ้าหากว่าเขาเข้ามา ไม่มีหรอก ที่จะมาด้วยอยู่ๆอยากมาก็มา แล้วก็มารังควานไม่เลิก ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง และเหตุผลนี่ถ้าเรามองเป็นแรงผลักดันแรงจูงใจนะครับ ก็ต้องมีแรงผลักดันหรือว่าแรงต่อต้าน หรือว่าแรงที่จะเอามารับมือกันได้ การที่เรามองว่ากุศลธรรมหรือว่าความสว่าง หรือว่าจิตที่มีความเป็นมงคลไปต้อนรับหรือไปตอบกลับแรงที่เขาผลักเข้ามา ถ้าหากว่าพอดีกันแล้ว ก็สามารถที่จะทำให้สิ่งนั้นถอยไปได้ หรือว่าหายไปได้

ถ้าหากว่าคนเดียวไม่พอ อย่างเคยมีคำถามว่า โดนกันหลายคน ก็เอาหลายคนนั่นแหละมารวมกันให้เป็นกุศลที่มีพลังมากพอ ที่มีความสว่างมากพอ ส่วนใหญ่เวลาเรามารวมตัวกัน เราเอาความกลัวมารวมกัน มันยิ่งกลายเป็นความมืด ยิ่งกลายเป็นแรงดึงดูดให้เขาอยากเข้ามาหนักเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าหากว่าเรารวมกันหลายๆคน พูดง่ายๆว่า สร้างบรรยากาศให้มีความสว่าง สร้างบรรยากาศให้มีความเป็นกุศล พร้อมใจกัน พลังที่ตอบรับ ต่อต้าน มันก็มีมากพอที่จะทำให้เจตนามืดหรือว่าเจตนาขอส่วนบุญอะไรต่างๆได้สมความปรารถนาเขาไป

หลักการที่เราจะรวมจิตให้มีความเป็นกุศล มีความเป็นมงคลได้อย่างหนึ่งก็คือ ‘ต้องมีใจเดียวกัน’ ต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่ผูกใจไว้อยู่กับความสว่างแบบเดียวกัน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ถึงจะมีพลัง สมมติในกรณีที่โดนหลอกกันทั้งบ้าน มีห้าคน แล้วห้าคนนั้นมาทำอะไรเป็นกุศลร่วมกัน เช่น ตื่นเช้าขึ้นมาใส่บาตรพระพร้อมกัน แล้วก็มีจิตอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาด้วยกัน พลังจะมีความใหญ่ แล้วความสว่างมันจะมีความเจิดจ้าเป็นไปในทางเดียวกัน พร้อมใจกัน ถ้าเขามาแค่คนเดียว เป็นวิญญาณแค่ดวงเดียวมา ยังไงเขาก็ต้องยอมรับ ยังไงเขาก็ไปสู้ความสว่างของจิตคนห้าคนไม่ได้หรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราเปรียบเทียบแล้ว อย่างภูมิอื่น ภูมิที่ต่ำกว่าเรา จะเป็นพวกเปรตมีฤทธิ์หรืออะไรก็แล้วแต่ เขาไม่สามารถที่จะรวมกำลังหนักแน่นได้เท่ากับจิตของมนุษย์ แต่ต้องเป็นจิตของมนุษย์ที่มีความตั้งมั่น แล้วก็มีลักษณะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วย ไม่ใช่ว่าอย่างในบ้านห้าคน มีคนกลัวเสียสาม ครึ่งกล้าครึ่งกลัวเป็นคนที่สี่ แล้วคนที่ห้าค่อยมีความกล้าอยู่แค่คนเดียว มีความหนักแน่นในบุญกุศลอยู่แค่คนเดียว ก็เหมือนกับเอาความกลัวของคนสี่คนไปเพิ่มความได้ใจให้กับคนที่เขามารบกวนได้ ถ้าเขาจะมาแบบนักเลงนะ

ลองคิดดูแล้วกัน อย่างเวลาที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่ ถ้าหากเห็นใครกลัว มันจะมีความรู้สึกกระหยิ่ม จะมีความรู้สึกย่ามใจ จะมีความรู้สึกว่า เออ เรามีอำนาจเหนือกว่า แล้วก็อยากจะมารังแกได้เรื่อยๆ แต่ถ้าหากว่าต้องไปเจอกับคนที่เขามีความกล้า เขามีความเข้มแข็ง ความรู้สึกอยากรังแก ความรู้สึกอยากจะมาเบียดเบียนกันก็ลดลงหรือไม่เหลือเลย นี่ก็เป็นตัวอย่างที่จะบอก ถือว่าเป็นการตอบไปโดยรวมเลยแล้วกันนะ เมื่อกี้ถามเรื่องผีอำ ช่วงหลังๆจะมีคนถามมากันอยู่เรื่อยๆ ถ้าหากโดนในลักษณะที่รบกวนเลย มาให้เห็นตัวกัน มาให้เห็นเป็นนิมิต มาให้เห็นเป็นเรื่องเป็นราว ก็ถือว่าตอบรวมกันไปนะครับ ถ้าคนยังไม่เคยเจอบางที่อาจจะฟังแล้วเป็นการ์ตูน หรือว่าเป็นเหมือนกับเรื่องของอุปาทาน แต่คนที่เขาเคยเจอจะไม่รู้สึกอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าบางแห่งเจอพร้อมๆ กัน หรืออาจจะเรียกว่าเจอกันเป็นทีม



๒) สมมติว่าเราเป็นคนที่จิตใจอยากเป็นนาย คือใช้คำไม่ถูก แล้วสมมติว่า อยากทำงานบริการสักพักหนึ่ง จะเป็นไปได้ไหม หรือไม่ได้ ถ้ามันไม่เข้ากับเรา?

จริงๆแล้ว ถ้ามองกันเป็นรอบวัฏจักรของการก่อกรรม แล้วก็การรับผลของกรรม ไม่ใช่ว่าเป็นไปได้ ถามว่าเป็นไปได้หรือเปล่า แต่มันจะต้องเป็นไปเลยทีเดียวแหละ เท่าที่เห็นมานะ ลองสำรวจดูก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าเราจะทำงานบางอย่างที่ใจชอบหรือว่าจะถูกบีบคั้นให้จำเป็นต้องทำ อย่างไรก็แล้วแต่ อย่างงานประเภทที่ว่าจะต้องไปฟังคำสั่ง หรือจะต้องไปให้การบริการ เช่น เลขานุการ แอร์โฮสเตส เป็นต้น

ผมขอยกตัวอย่างเป็นผู้หญิงแล้วกัน เพราะมักจะมีปัญหาแบบนี้กันเยอะ ผู้หญิงหลายคนมีความรู้สึกว่าตัวเองน่าจะเป็นนาย ตัวเองมีความรู้สึกเหมือนกับ พูดเป็นคำอธิบายง่ายๆ คือ ‘เหนือกว่าคนอื่น’ เหนือกว่าหลายๆคนที่คบค้ารู้จักด้วยหรือสนิทด้วย แล้วก็มีอัตตาค่อนข้างจะแรง เหมือนนางพญาอะไรแบบนั้น แต่ทำไมจะต้องมีช่วงชีวิตที่อาจจะถูกบีบให้เข้าไปทำงานบริการ หรือว่าทำงานที่ต้องคอยรับคำสั่งคนอื่นเหมือนกับตัวเองเป็นคนใช้ อะไรแบบนั้น ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ หรือว่าถ้าจะพยายามเลี่ยงก็รู้สึกว่ามันจะเลี่ยงไปไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่ หรือบางทีถึงขั้นที่รู้สึกอยากจะเข้าไปทำงานแบบนั้นเลยทีเดียว แล้วพอเข้าไป ผลก็คือเกิดความรู้สึกอึดอัดทรมาน มันเป็นความรู้สึกทรมานใจ เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าเราอยู่ผิดที่ผิดทาง มันจะเป็นความขัดแย้งกันลึกๆ แล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกับมีสองตัวอยู่ในคนเดียว มีคนสองคนทำงานงานหนึ่งอยู่ คนหนึ่งมีความทรมานใจ มีความรู้สึกไม่เต็มใจ มีความรู้สึกฝืน มีความรู้สึกฝืด มีความรู้สึกเหมือนกับเมื่อไรจะถึงเวลาสิ้นสุดไปสักที แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่า ทำอย่างนี้แหละที่ง่ายดีหรือสบายดี หรือว่ายังไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่านี้

ช่วงที่รู้สึกทรมานใจ ถ้าหากดูดีๆ ความรู้สึกแบบถูกกดดัน หรือถูกบังคับ หรือว่าถูกใช้เยี่ยงทาส หรือว่าถูกบังคับข่มเหงน้ำใจอะไรต่างๆ ลองทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเราดูว่า ความรู้สึกแบบนี้น่าจะเคยเกิดขึ้นกับคนอื่นโดยฝีมือของเราหรือเปล่า หลายคนนะครับ ไม่ได้พูดว่าทุกคน ผมพูดว่า ‘หลายคน’ จะเหมือนกับระลึกได้ขึ้นมา ค่อยๆระลึกได้ขึ้นมา หลังจากที่เรายอมรับว่าความรู้สึกแบบนี้เป็นทุกข์ และโดนกระทำแบบนี้ เหมือนกับถูกกดขี่ ถูกข่มเหง ถูกรังแกอะไรแบบนั้น หลายคนจะทบทวนแล้วเกิดความจำได้ขึ้นมาว่า แบบนี้เราก็เคยทำกับคนอื่นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าความรู้สึกไม่ใช่แบบนี้ มันไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ ตอนนั้นเป็นความรู้สึกของผู้กระทำ

ถ้าหากว่าเราทบทวนความรู้สึกจากเหตุการณ์ มันจะคล้ายๆกัน เช่น ยื่นหน้าเข้ามาแล้วก็มีการตะคอก มีการดุว่า หรือว่ามีการใช้เสียง ใช้หน้าตา ใช้สีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยจะสุภาพหรือว่าไม่ค่อยให้เกียรติกัน ตอนที่เรารู้สึกว่าเป็นฝ่ายถูกข่มเหง คือ เราจะเป็นฝ่ายมอง มองไปเห็นว่าใครกำลังพูดกับเรายังไง แต่ ณ เวลาที่เราเป็นผู้กระทำ เราจะเป็นฝ่ายเห็นว่าคนรับคำสั่งหน้าตาเป็นอย่างไร มีอาการจ๋อยอย่างไร มีอาการที่หือไม่ได้อย่างไร นี่คือลักษณะของเวลาที่กรรมเขาจะแสดงตัว บางทีจะมาในลักษณะนี้ จะมาในลักษณะที่ให้เราผลัดเป็นผู้กระทำกับเป็นผู้รับผลของการกระทำ ซึ่งต่างกรรมต่างวาระ มันจะเทียบความรู้สึกกันไม่ได้เลย แต่เราจะเทียบภาพนิมิตที่เกิดขึ้นได้ จะมีความรู้สึกคุ้นว่าอันนี้คือภาพสะท้อน นี่คือกระจกเงาของกรรมที่เวลาส่งผลสะท้อนกลับมา แล้วเราเปลี่ยนจากผู้กระทำเป็นผู้ถูกกระทำ เปลี่ยนจากผู้เห็นคนคนหนึ่งรับคำสั่งเรา เป็นเห็นคนอีกคนหนึ่งเขากระแทกคำสั่งมาถึงเรา ด้วยความรู้สึกที่มันสามารถเปลี่ยนกลับขั้วกันได้นี่แหละที่เราจะค่อยๆเข้าใจเรื่องกงกรรมกงเกวียน หรือว่าการผลัดกันเป็นผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำ หน้าตามันเป็นแบบนี้นี่เอง

คำถามก็คือว่า เราจะทำงานแบบนี้ไปสักพักจะได้ไหม? คำตอบก็คือ ได้นะ ถ้าหากว่าเราอยากจะทำจริงๆ เราอยากจะ ไม่รู้สิ ใจมีความดิ้นรนจะต้องไปเป็นอย่างนั้นให้ได้

ทีนี้ไม่ใช่จะพูดไปกว้างๆสำหรับเหตุผลนี้นะครับ แต่สำหรับบางคนอาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ สำหรับบางคนที่ถ้าจะต้องไปรับผลกรรม เหมือนกับที่เราเคยทำคนอื่นเขาไว้มากอย่างไรในฐานะของเจ้านาย บางครั้งบางคราวก็มีครับที่กรรมเก่าจะบีบให้อยากจะไปเป็นผู้รับผลกระทำบ้าง งานตรงนั้น ทั้งๆที่ใจจริงๆบางทีอาจจะถามตัวเองแล้ว ไม่ได้อยากจะไปรับใช้ใคร แต่เหมือนกับลักษณะของงานมันยั่วยวนใจ ดึงดูดใจว่า ฉันอยากจะไปทำงานนี้จัง มันรู้สึกคลิก รู้สึกว่าน่าจะไปเป็นอย่างนี้ดูสักพักหนึ่ง เท่าที่ผมเห็นมา พอได้เป็นสมใจก็ไม่ใช่ว่ามีความสุขนะ บางทีเราอาจจะได้เข้าไปเรียนรู้ว่า ความทุกข์อันเกิดจากงานประเภทหนึ่งๆ หน้าตามันเป็นอย่างไร ให้เข็ดเสียก่อน แล้วจึงจะออกมามีความสุขกับงานแบบอื่นที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น หรือว่ามีความเป็นนายมากกว่าที่จะเป็นคนใช้

ถ้าหากว่าเราคิดด้วยความคิดอย่างนี้นะว่า เราจะเข้าไปทำงานบริการเพื่อที่จะถอดเอานิสัยเจ้ายศเจ้าอย่าง หรือถอดเอานิสัยนางพญาออกไป หรือว่าถอดเอานิสัยเจ้านายที่กดขี่ข่มเหงคนอื่นออกไป ให้มันเสมอกัน คือ หัดไปเป็นคนใช้บ้าง หัดไปเป็นผู้ให้บริการบ้างก็ดีเหมือนกัน เป็นการชดเชยในเรื่องที่ว่า เราเคยทำคนอื่นไว้แล้วเราไปรับผล ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำเสียบ้างด้วยความเต็มใจ ถือว่าเป็นการใช้กรรมอย่างหนึ่ง ถือว่าเป็นความคิดที่ออกในทางกุศลได้นะครับ



๓) เป็นคนที่กังวลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองมาก ถ้าสิวขึ้นหรือถ้าไปซื้อเครื่องสำอาง แล้วมีคนทักว่าเป็นสิว หน้ามัน จะรู้สึกเครียดมากเลยค่ะ จะทำอย่างไรให้เราหายโกรธได้คะ?

เรื่องของการถูกทักว่าหน้าตาเป็นอย่างไร มีสิวขึ้น มีลักษณะดูไม่ดีอะไรต่างๆนานา ไม่ใช่เป็นเฉพาะผู้หญิงนะ ผู้ชายก็เป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีพื้นฐานที่รู้สึกว่า มองเงาของตัวเองในกระจกแล้วมันน่าจะดูดี น่าจะใช้ได้เลย น่าจะไม่อายใครเขา ถ้าเป็นผู้ชายก็บอกว่าหล่อ ถ้าเป็นผู้หญิงก็บอกว่าหน้าสวย

แต่ถ้าหากมันสวยไม่ได้ถาวร หล่อไม่ได้ถาวร อย่างแม้แต่ตัวเราเองตื่นขึ้นมา ลองสังเกตใจตัวเองเวลาตื่นขึ้นมา ถ้าหากเรารู้สึกว่าตัวเองหน้าตาดีใช้ได้เลย มันจะมีการเปรียบเทียบในแต่ละวันว่า เงาที่สะท้อนตอบกลับมาจากในกระจกดูดีหรือว่าดูแย่ลง ดีขึ้นกว่าเมื่อวานหรือว่าแย่ลงกว่าเมื่อวาน มันจะคอยมีใจที่เล็งอยู่อย่างนี้ ตื่นเช้าขึ้นมาเอาเลย แล้วพอออกจากบ้านไปเจอคนทักว่า ดูดีขึ้นกว่าวันก่อนเยอะแยะเลย ดูเหมือนกับขาวขึ้น ผ่องขึ้น นวลขึ้น หรือว่าวันนี้ดูแจ่มใสนะ เอาแค่คำว่าแจ่มใสคำเดียวมันถูกใจแล้ว ตรงกัน เป็นจิตใจแบบเดียวกันกับตอนที่เราส่องกระจกเงาดูตัวเอง แล้วเทียบเคียงว่าแตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างไร ดีขึ้นหรือว่าแย่ลง

ถ้าหากว่าเราเห็นตัวเองในกระจกเงาดีขึ้น เราก็จะรู้สึกว่าวันนั้นมีความมั่นใจ วันนั้นมีความชื่นใจ วันนั้นมีความเบิกบานใจ ลองสังเกตดูอย่างนี้นะ พอวันไหนดูโทรมลงหรือว่าดูเหี่ยวๆ หรือว่าดูเหมือนกับอับเฉาเหมือนกับบัวแล้งน้ำอะไรแบบนั้น พลอยจิตใจก็จะห่อเหี่ยวตามไปด้วย ทั้งๆที่ตื่นขึ้นมาบางทีนะยังมีความรู้สึกสดชื่น ยังมีความรู้สึกนอนเต็มอิ่ม แต่พอเห็นเงาในกระจกปุ๊บใจฝ่อลงทันที พอเทียบดูแล้วมันไม่ดูดีเหมือนเมื่อวานหรือว่าเมื่อวันก่อนๆ ยิ่งมาเจอคนทัก ยิ่งตอกย้ำเข้าไปใหญ่ ความรู้สึกแบบนี้ถ้าเราค่อยๆสังเกตไปมันจะมีอยู่แค่สองแบบ คล้ายๆกับลูกโป่งที่โป่งขึ้นมาด้วยแรงลมอัดเข้าไป จริงๆนะ อาการพองของใจเหมือนลูกโป่งจริงๆ ลูกโป่งเห็นไหม ถ้ายังไม่มีลมมันจะเหี่ยว จะมีรอยยับ แต่ถ้าโป่งขึ้นมาจะตึงและจะป่อง ป่องได้มากเท่าที่ความทนทานของหนังยางมันจะรับแรงลมได้ รับแรงอัดของลมได้

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราสังเกตไปเรื่อยๆ สังเกตคือไม่ใช่สังเกตหน้าอย่างเดียว ‘สังเกตใจ’ ตอนเห็นหน้าตาดูดีขึ้น มันมีความพอง มีความอิ่มเอิบ มีความเหมือนสดชื่น เหมือนกับดอกไม้ที่ได้รับน้ำ หรือว่าได้รับแสงแดดอย่างดี มันมีความรู้สึกอย่างไร จำไว้ ต้องจำไว้นิดหนึ่ง ความรู้สึกเป็นสิ่งที่จดจำได้นะ จดจำได้เหมือนกับหน้าตาที่สดชื่นบ้างห่อเหี่ยวบ้างนั่นแหละ แล้วเมื่อไรที่เราเกิดความห่อเหี่ยวอันเนื่องจากเห็นหน้าตาตัวเองในกระจกเงาดูไม่ดีหรือว่าดูแย่ มีสิวหรือว่าหน้ามัน อย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรก็จำไว้ด้วย จำไว้เรื่อยๆ อย่าจำแต่ใบหน้า

ลองสังเกต ถ้าเราไม่ดูเข้าไปที่ความรู้สึกภายใน มันจะจำแต่ใบหน้าว่าเหี่ยวลงอย่างไร หรือว่าเต่งตึงขึ้นสดชื่นขึ้นอย่างไร มีความขาวมีความใสขึ้นอย่างไร เราจะจำแต่สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เมื่อสังเกตเข้ามาที่ใจควบคู่ไปด้วย เราจะจำอะไรขึ้นมาได้มากขึ้น อันนี้ต้องทำกันเป็นสิบๆครั้งจึงจะเกิดการจำได้ขึ้นมา จำได้ขึ้นมาแบบชัดๆว่า ลักษณะจิตใจเบิกบานเป็นแบบหนึ่ง ลักษณะจิตใจที่ห่อเหี่ยวเป็นอีกแบบหนึ่ง เมื่อเห็นบ่อยๆเข้า ตอนแรกไม่ได้จะให้ทำอะไรทั้งสิ้น จำไว้เฉยๆว่าหน้าตาของจิตใจเป็นอย่างไร จะโดนคนทักหรือว่าจะเห็นตัวเองจากกระจกเงาก็ตาม เสร็จแล้ว พอเริ่มบ่อยเข้าๆ เราเริ่มจำได้แล้วว่า เบิกบานตอนเห็นหน้าตาดีเป็นอย่างนี้ และห่อเหี่ยวตอนกำลังหน้าตายู่ยี่หรือหน้าตาไม่ค่อยดีเป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็เปรียบเทียบได้ชัดเจนว่า จิตใจห่อเหี่ยวกับจิตใจชื่นบานแตกต่างกันอย่างไร เราจะมีความรู้สึกคล้ายๆกันเลย คล้ายๆกับตอนที่เห็นใบหน้าของตัวเองดีบ้างไม่ดีบ้าง หรือว่าเห็นใบหน้าของตัวเองสิวขึ้นแล้วตกใจ อาการตกใจจำได้ควบคู่กันไปด้วย กับเห็นสิวหายแล้วรู้สึกดีใจ สิวหายแล้วดีใจกับตอนสิวขึ้นแล้วตกใจต่างกันอย่างไร ถ้าจำได้ก็จะเห็นเป็นทั้งใบหน้าที่อยู่ในกระจกเงาด้วย แล้วก็เห็นจิตของตัวเองที่อยู่ข้างใน เบื้องหลังของใบหน้านั้นด้วย พอเห็นไปเปรียบเทียบไป นึกถึงขึ้นมา พอนึกถึงอาการตกใจหรือนึกถึงอาการดีใจขึ้นมา เราจะพบว่าเป็นเพียงความรู้สึกชั่วคราว ไม่ต่างกับสิวขึ้นหรือสิวหาย ไม่ต่างกับหน้ามันบ้างหน้าแห้งบ้าง หน้าสะอาดบ้างหน้าสกปรกบ้าง ไม่มีความแตกต่างกันโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นอนิจจังแล้วมันเหมือนกัน ทั้งรูปภายนอกและทั้งใจภายใน

ตอนแรกๆ คุณจะยังไม่เห็นนะว่า เราจะรู้ไปอย่างนี้เพื่ออะไร แต่พอเห็นไปบ่อยๆ สักประมาณว่าครั้งที่ยี่สิบ สามสิบ หรือว่าครั้งที่ร้อยเป็นอย่างช้า คุณจะเริ่มเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ ทั้งตกใจทั้งดีใจ ทั้งเสียใจทั้งสบายใจ ทั้งเบิกบานทั้งห่อเหี่ยว เป็นแค่ของที่ผ่านมาแล้วจะผ่านไป แต่ถ้าไม่ฝึกมอง ไม่ฝึกดู ไม่ฝึกสังเกตไว้โดยความเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เราจะจำอยู่ตลอดเวลาก็คือ เรากำลังสิวขึ้น แล้วมันจะเป็นความรู้สึกที่กัดกินใจอยู่ตลอดเวลาไม่ผ่านไป จะมีความรู้สึกแม้กระทั่งว่าพอสิวหายไปแล้ว ตื่นขึ้นมายังกังวลอยู่เลยว่าเดี๋ยวจะกลับมาเป็นอีกเมื่อไหร่ แล้วก็จะคอยระวังรักษา คือระวังรักษาน่ะดีนะไม่ใช่ไม่ดี แต่คนที่ระวังรักษาส่วนใหญ่ ไม่ใช่ระวังรักษาอย่างมีความคาดหวังที่ถูกต้อง มันมีความคาดหวังกันผิดๆว่า ถ้ารักษาความสะอาดดีๆแล้ว ถ้าใช้ยาดีๆแล้ว มันจะไม่ขึ้นมาอีกเลย นี่คือความคาดหวังชนิดที่มองไม่เห็นอนิจจัง มองไม่เห็นว่าต่อให้เราใส่เหตุปัจจัยด้านดีเข้าไปอย่างไร ถ้าหากว่าปัจจัยด้านร้ายยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่เรากินเข้าไป หรือแม้แต่กระทั่งน้ำประปาที่เราใช้ล้างหน้า ทุกอย่างเป็นปัจจัยแวดล้อม ที่ถ้าหากว่ามันลงตัวจะให้เกิดสิวแล้ว สิวก็ต้องเกิดจนได้ ไม่ว่าเราจะระวังรักษาอย่างไรก็ตาม

พอมองออกว่า ทั้งเป็น ทั้งหาย หรือว่าทั้งหน้ามัน ทั้งหน้าแห้ง ‘เป็นไปตามเหตุปัจจัยชั่วคราว’ เราแค่ได้แต่บำรุงรักษาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่คาดหวังว่าจะดูดีอยู่ตลอดเวลา แค่นี้ใจก็เป็นสุขมากขึ้นแล้ว การไม่คาดหวัง อยู่ๆเราไปสั่งมันไม่ได้ แต่เราต้องอาศัย ‘การสังเกตเอาตามจริง’ ซึ่งวิธีสังเกตตามจริงก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการยอมรับเอาตรงๆ ว่าตอนนี้กระจกเงาเขาบอกนะว่าสิวขึ้นอยู่ กระจกเงาเขาบอกเรานะว่าหน้ามันอยู่ เวลาไปเจอคนพูดให้ได้ยินกับหู เป็นการซ้ำเติมเข้ามา ก็ให้คิดเสียว่านั่นคือกระจกเงาที่อยู่ในธรรมชาติ ที่อยู่ตามท้องถนน ไม่ใช่กระจกเงาในห้องนอน ความรู้สึกก็ไม่ต่างกันหรอก มันก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไรไปกว่าตอนที่เราเห็นตัวเองในกระจกเงา เป็นความรู้สึกเดียวกัน คือ ฟูขึ้นมา แล้วก็แฟบลงไป ตรงความสามารถสังเกตเห็นตามจริงว่า เดี๋ยวมันก็ฟู เดี๋ยวมันก็แฟบ เดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็แย่ลง ตรงนั้นแหละ ที่จะทำให้เราลดความคาดหวังลงได้อย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่บังคับขืนใจตัวเองว่าจะต้องระงับความคาดหวังให้ได้ จะต้องทำใจให้ได้ มันไม่ทำหรอก มันไม่ลดความคาดหวังหรอก มันจะยังคาดหวังเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆ

ชีวิตคนนะ ถ้าเราทำความรู้จักกับคนไปมากๆ ต่อให้อายุสี่สิบ ห้าสิบ หกสิบ ก็ยังเฝ้าสังเกตหน้าตาตัวเองในเงากระจกอยู่ดีแหละ มันก็ยังแคร์ ก็ยังมีความรู้สึกอยากจะตีโพยตีพายกับคำวิจารณ์ที่คนตามท้องถนนเขาวิจารณ์ใส่เรามา แต่ถ้าหากว่าเราอายุแค่นี้ แล้วเริ่มฝึกหัดที่จะมองทั้งใบหน้าของตัวเอง แล้วก็ทั้งสภาพจิตใจของตัวเองที่เป็นปฏิกิริยาตอบกลับกับสภาพใบหน้าของตัวเองนี่นะ ฝึกไปเรื่อยๆจนกระทั่งเห็นความไม่เที่ยง ในที่สุดแล้ว อีกแค่ปีสองปีไม่ต้องอายุมากเท่าไหร่ เราจะเริ่มมีใจที่สบายขึ้นกับใบหน้า แล้วก็แม้แต่ปฏิกิริยาทางใจที่มันจะออกมาเป็นดีหรือเป็นร้าย

ตรงนี้ต้องย้ำนิดหนึ่ง ไม่ใช่แกล้งเห็นความไม่เที่ยง เดี๋ยวทบทวนกันอีกที คือ สังเกตก่อนว่าเห็นหน้าตาตัวเองไม่ดี หรือว่าฟังว่าคนอื่นเขาว่าหน้าตาเราไม่ดีอย่างไร รู้สึกอย่างไร จำความรู้สึกให้ได้ก่อน จำๆๆไป ไม่ต้องให้มีอะไรมากไปกว่านั้น จนกระทั่งจำได้จริงๆ แล้วเปรียบเทียบกันระหว่างแย่กับดี ระหว่างที่ฟูกับแฟบ มันจะเริ่มรู้สึกขึ้นมาเองว่า ทั้งฟูทั้งแฟบมันเกิดขึ้นเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็หายไป ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แล้วมันก็จะมองย้อนกลับมาว่า แปลกนะ พอเราไม่ยึดมั่นถือมั่น พอเรารู้สึกว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป กลายเป็นว่าใบหน้าดูดีขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะว่า เมื่อใจนะ ขอให้จำไว้เลย ถ้าเมื่อไรใจของเรามี ‘ความปล่อยวางอย่างเป็นธรรมชาติ’ ปล่อยวางจริงๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรมาก มันจะไม่มีความโลภมาปรุงประกอบ จะไม่มีความคาดหวังมาทำให้หัวใจบีบคั้นหรือว่าผิวหนังมีอาการคล้ำหมองขึ้นมา ลักษณะของจิตใจที่ปล่อยวางจะมีเมตตา จะมีความสบาย จะมีความสุข ซึ่งทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ทำให้รัศมีรอบตัวของเราน่ามอง คุณเคยเห็นไหม บางคนหน้าตาไม่สวย บางคนหน้าตาไม่หล่อ แต่มีอะไรบางอย่างที่จับตาคนได้ มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดสายตาคนให้เข้าไปมองว่า มันมีอะไรบางอย่างที่งดงาม มีอะไรบางอย่างที่ดูดี มีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกเป็นบวกได้ ทำให้รู้สึกเป็นกุศล ทำให้มองแล้วรู้สึกว่าเย็นใจเย็นตาได้ นั่นแหละคือ ‘รัศมีของใจที่มีความสุข’ คือรัศมีของใจที่มีความเต็ม บางคนต่อให้หน้าตาสวยหรือว่าหล่อมากๆเลยนะ แต่ว่าจิตใจไม่เต็ม จิตใจแหว่งวิ่น จิตใจคับแคบ จิตใจมืดมน คนเห็นเขาก็เกิดความรู้สึกไม่อยากมอง คือหลังจากที่มองหน้าตาจนอิ่มแล้ว และอยู่ใกล้ชิดมากพอ จะรู้สึกจืด จะรู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างผลักดันให้อยากเมินมากกว่าที่จะอยากจ้อง ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน ขอให้ทราบเถอะว่า นั่นแหละเป็นประสบการณ์ตรงที่คุณได้สัมผัสใจที่มันไม่มีความสุขของคนหล่อคนสวยเข้าแล้ว คนหล่อคนสวยถ้าไม่มีความสุข อยู่ใกล้แล้วจะน่าเบื่อ อยู่ใกล้แล้วจะน่าเมิน อยู่ใกล้แล้วมีความรู้สึกอึดอัด อยู่ใกล้แล้วมีความรู้สึกว่าใจเราพลอยมืดตามไปด้วย

สรุปก็คือ ถ้าเมื่อไรที่ใจของเราสามารถมองเห็นความไม่เที่ยงของหน้าตา แล้วก็ความรู้สึกของตัวเองได้ มันจะถอยออกมาเป็นอิสระ จะมีความเบิกบาน จะมีความน่าอยู่ใกล้ จะมีความน่ามองมากกว่าที่จะเป็นความน่าสนใจที่มองได้ง่ายๆคร่าวๆจากภายนอก


คืนนี้ก็คงต้องล่ำลากันที่ตรงนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น