วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๕๓ / วันที่ ๒๑ พ.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อที่จะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่ https://www.facebook.com/HowfarBooks



๑) เหตุใดบางคนจึงรู้อดีตชาติ? หรือเวลามองคนทั่วไปแล้วเหมือนกระดูกเดินได้ หรือนี่เป็นผลจากการฝึก? ผู้ที่ยังไม่มีความสามารถนั้น ไม่ควรให้ความสำคัญ?

ในพระคัมภีร์ก็เคยพูดถึงไว้นะครับ คนที่มีความสามารถติดตัวมาจากอดีตนั้น คืออาจจะเคยเป็นพระอภิญญาที่มีความคล่องแคล่ว ชำนาญ เชี่ยวชาญ และก็อยู่กับญาณประเภทหนึ่งๆจนกระทั่งตายไป แล้วพอเกิดใหม่ก็เลยเหมือนกับกรรมเก่าที่สร้างไว้ใช้ญาณให้เป็นประโยชน์ไปในทางใดกับผู้คนมากๆนี่มันก็เหมือนกับจะมีวิบาก คือได้ญาณนั้นๆติดตัวมา ข้ามภพ ข้ามชาติได้นะครับ

อย่างถ้าหากว่าเคยรู้อดีตชาติของคนอื่น หรือว่าอดีตชาติของตัวเอง แล้วเอามาใช้ประโยชน์ อาจจะทำให้คนเปลี่ยนใจ อาจจะทำให้คนกลับใจจากเลวเป็นดี หรือว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เปลี่ยนเป็นเห็นดอกบัวเป็นดอกบัว เห็นกงจักรเป็นกงจักร อะไรแบบนี้นะครับ ก็เป็นไปได้ที่วิบากในชาติใหม่ผลที่เกิดขึ้นนี่ธรรมชาติก็บันดาลให้เกิดความรู้ขึ้นมาเองว่าอดีตชาติของตัวเองนี่เคยเป็นใคร เพื่อที่จะให้เกิดความสลดสังเวช หรือว่าเกิดความไม่ประมาทในชาติภพนะครับ

คนที่สามารถล่วงรู้อดีตชาติของตัวเองได้นี่ถือว่าได้เปรียบนะครับ คนส่วนใหญ่เกิดมาไม่รู้อะไรเลย รู้แต่ว่าตัวเองเกิดมาแล้วก็ไขว้คว้าสิ่งที่กำลังอยากได้เฉพาะหน้า อยากได้อะไรก็เรียกร้องเอา แต่คนที่มีความสามารถรู้อดีตชาติของตัวเองได้นี่ ก็เหมือนกับมีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิตว่าอย่างไรๆจะไม่ทำชั่วให้ตกไปสู่อบาย หรือว่าไม่ต้องมาถกเถียงกับคนอื่นว่าชาติก่อน ชาติหน้า มีไหม แล้วก็เป็นความรู้เฉพาะตัวด้วย ที่ไม่สามารถเอาไปป่าวประกาศให้กับโลกได้รับรู้ตาม เนื่องจากว่าของแบบนี้เป็นเรื่องรู้เฉพาะตนนะครับ รู้อยู่ในใจ ขืนปากโป้งบอกคนอื่นมากๆเขาหาว่าบ้า หรือหาว่าเพี้ยน หรือหาว่าคิดเอาเอง หรือว่าจะหลอกลวงประชาชน อะไรแบบนั้นนะครับ

การที่มองคนทั่วไปแล้วเหมือนกระดูกเดินได้ นี่ก็เป็นผลมาจากการที่เคยฝึกอสุภกัมมัฏฐาน หรือว่าฝึกปฏิกูลมนสิการนะครับ คือมองเห็นกายโดยความเป็นของสกปรก หรือว่าเห็นกายโดยความเป็นธาตุนะครับ ‘ธาตุ ๔’ ดิน น้ำ ไฟ ลม หรือว่าอาจจะพิจารณาว่าร่างกายนี้จะต้องแตกดับ แล้วเป็นของว่างเปล่านะครับ พูดง่ายๆว่าเคยเจริญ ‘สติปัฏฐาน ๔’ ในหมวด ‘กายคตา’ อย่างคล่องแคล่วชำนาญมาก่อน จนกระทั่งในอดีตชาติอาจจะเคยเห็นตัวเองนี่เป็นกระดูกเดินได้มาแล้ว แล้วพอมาเกิดชาติใหม่แล้วก็เป็นไปได้ที่สัญญาเก่า ที่เรียกว่า ‘อดีตสัญญา’ นี่มีติดตัวมาด้วยที่ไม่ได้จะต้องไปพยายามหรือว่าฝึกหัดอะไรนะครับ

ก็มีเด็กหลายคนเลยที่เกิดมาแล้วงง ว่า เอ๊ะ ทำไมตัวเองอยู่ๆนอนอยู่เฉยๆเกิดความรู้สึกกลัวตาย รู้สึกเหมือนกับว่า เอ! ชีวิตไม่ใช่ของเรานี่ เดี๋ยวมันก็ต้องตายวันหนึ่ง แล้วมันจะต้องดับสูญไปจากสภาพความเป็นอย่างนี้ ที่นั่งได้ ยืนได้ เดินได้ แล้วพูดคุยได้อย่างนี้ คิดได้อย่างนี้นี่อีกเดี๋ยวเดียวมันจะต้องหายไปจากโลก แล้วก็ไม่มีความเป็นตัวเราอยู่อีก ไอ้แบบนี้ก็พอคิดๆแบบนี้แล้วก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัว เกิดความรู้สึกขวัญผวา เกิดความรู้สึกไม่ปรกติขึ้นมานะครับ แตกต่างจากเด็กทั่วไปที่ไม่คิดอะไรเลยเกี่ยวกับความเป็นความตาย นี่ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่ามรณะสัญญา ซึ่งติดตัวมาข้ามภพ ข้ามชาติได้

ถามว่านี่เป็นผลจากการฝึก หรือว่าเป็นสิ่งที่มันลอยลมมาจากไหนนะครับ เอาเป็นว่า ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ติดตัวมา มันเสื่อมได้นะครับ ถ้าไม่ฝึกต่อนี่นะ มันเกิดขึ้นชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แล้วพอไม่สนใจมันก็เลือนไป ถูกกลบไปนะครับ หลายคนเลยที่มีการเล่าสู่กันฟังในแวดวงการเจริญสติ นักเจริญสตินี่ก็มาบอกกล่าวว่า ช่วงวัยเด็กอยู่ๆก็เกิดสมาธิระดับฌานขึ้นมา หรือไม่ก็เกิดความเห็นตัวเองนี่อยู่ๆเป็นน้ำเลือดน้ำหนอง ทั้งๆที่ลืมตาอยู่นี่แหละ แต่จิตนี่มันไปเห็นร่างกายที่กำลังปรากฏอยู่ในอิริยาบถปัจจุบันนี่ราวกับว่าเป็นซากศพ มีน้ำเลือดไหลออกมา มีน้ำหนองไหลออกมา น่าสะอิดสะเอียน แต่พอไม่เข้าใจว่านั่นคืออะไร ก็นึกว่าตัวเองเป็นโรคจิต หรือว่าพอไปบอกผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็บอกว่าเป็นบ้าไปรึเปล่า อะไรแบบนี่นะครับ ไม่สามารถที่จะพัฒนาต่อได้

แต่ถ้าหากว่าใครที่เรียกว่ามีดวงบวชขนานแท้เลย คือเกิดมาในบ้านที่พ่อแม่เข้าใจ เรื่องของการเจริญสติ หรือว่าเกิดใกล้วัดที่มีหลวงปู่ หลวงตาเมตตาต่อยอดให้ อย่างนี้ก็สบายเลยนะครับ ไม่ต้องออกแรงมาก อายุแค่ไม่กี่ขวบ สิบกว่าขวบก็อาจจะบรรลุโสดาฯ บรรลุอรหัตตผลได้

อย่างในพุทธกาลนี่มีพูดถึงกันเยอะเลยนะครับ แล้วก็มีเรื่องเล่าขานเป็นตำนาน ในระดับอรรถกถาหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เล่าสู่กันฟังว่ามีเทวดาจุติลงมาจากสวรรค์ มาเกิดในบ้านที่มีธรรมะ แล้วก็มาต่อยอดจากเดิมที่ท่านเป็นพระเพิ่งมรณภาพไปสดๆร้อนๆนี่มาเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ หลังจากที่บำเพ็ญสมณธรรมจนกระทั่งมรณภาพไปนี่ ก็ยังมีสัญญาของความเป็นพระภิกษุติดตัวมาแต่อ้อนแต่ออก ก็มีความชอบใจ มีความโน้มน้อมไปในทางที่จะบรรพชา แล้วก็พอบวชแล้วไม่นานก็บรรลุอรหัตตผลได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก อันนี่ก็มีเล่าสู่กันฟัง

สรุปก็คือ ถ้าหากว่ายังไม่มีความสามารถ ก็ทำให้เจริญ ทำให้มีความสามารถขึ้นมาได้ หรือถ้ามีความสามารถแล้วแต่ไม่ต่อยอดมันก็เสื่อมหายไปได้นะครับ พูดง่ายๆคือว่าชาติปัจจุบันสำคัญกว่าอย่างอื่นนะครับ เราใช้ชาติปัจจุบัน ใช้ชีวิตที่กำลังมีอยู่ไปในทางใดก็จะได้ผลที่สอดคล้องตามนั้น



๒) อานิสงส์ของการให้ธรรมเป็นทาน ที่ถือว่าชนะการให้ทั้งปวง การให้ธรรมจะต้องถึงขนาดที่ทำให้บุคคลที่รับธรรมมีดวงตาเห็นธรรม หรือเกิดปัญญาทางธรรม เกิดสัมมาทิฏฐิเลยหรือไม่? เช่น เราบอกกล่าวธรรมะ ให้หนังสือ หรือสื่อธรรมะกับใครสักคน แต่เขาอาจจะยังไม่ได้เปิดอ่านหรือศึกษาในสิ่งที่เราให้ไป หรืออาจทำสื่อธรรมะที่เราให้ไปหาย ตลอดจนบุคคลที่เราให้ธรรมะไปอาจจะเป็นคนที่เข้าถึงธรรมได้ยาก หรือเป็นบุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นปทปรมบุคคล เช่นนี้ อานิสงส์จากการให้ธรรมเป็นทานจะเกิดหรือไม่? และเกิดเมื่อใด?

‘สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ’ การให้ธรรมเป็นทาน ชนะทานทั้งปวง

อันนี้ตอบคำถามนี้ก่อนนะครับ การให้ธรรมจะต้องถึงขนาดที่ทำให้บุคคลที่รับธรรมมีดวงตาเห็นธรรมหรือเกิดปัญญาทางธรรมเกิดสัมมาทิฏฐิเลยหรือไม่?

ก็คือว่า ถ้าถือว่าเป็นธรรมทานจริงๆนี่ก็ดูที่เจตนา อยากจะสงเคราะห์ อยากจะอนุเคราะห์ให้ความเห็นผิดของเขาเปลี่ยนเป็นความเห็นชอบ จากที่เห็นกงจักรให้กลายเป็นเห็นดอกบัวนะครับ เห็นแต่กงจักรให้กลายเป็นเห็นแต่ดอกบัว หรือเขามีชีวิตที่กำลังลำบาก แล้วก็กำลังสับสนอยู่ เราไปเคลียร์ทางให้ ให้เกิดความเห็นดี เห็นชอบ เห็นงาม เห็นว่าแสงสว่างคืออะไร ทางตรงคืออะไร เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปสู่ความคดเคี้ยว หรือว่าลาดลงต่ำสู่ห้วงเหวนะครับ อันนี้ถ้าเจตนาเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์ ถือว่าเป็นธรรมทานแล้วนับแต่มีเจตนานะครับ

เจตนาในระดับนึกคิด เรียกว่ามโนกรรม อยากจะให้ธรรมะเป็นทาน อยากจะให้เขาเห็นถูก เห็นตรง เห็นชอบ แต่ถ้าหากว่าจะเป็นธรรมทานแบบครบองค์ก็ต้องทำให้เขาเกิดสัมมาทิฏฐินะครับ

สัมมาทิฏฐิก็แบ่งเป็นโลกียสัมมาทิฏฐิ คือเห็นถูกเห็นชอบในเรื่องกรรมวิบาก ในเรื่องการใช้ชีวิตแบบโลกๆ แล้วก็เห็นถูกแบบที่เรียกว่าโลกุตตรสัมมาทิฏฐิ นี่ก็เป็นความเห็นถูก เห็นชอบ ในการเจริญสตินะครับ เอาแค่เขามีความสามารถที่จะเอาไปต่อยอดได้เอง สามารถที่จะเห็นว่ากายใจนี้ไม่เที่ยงได้อย่างไร นี่ก็เรียกว่าเป็น ‘โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ’ แล้ว พูดง่ายๆว่าให้ประตูแก่เขา ยังไม่ทันต้องให้สะพาน ยังไม่ทันต้องอุ้มเขาไปถึงจุดหมายนะ แค่นี้ก็เรียกว่าเป็นธรรมทานขั้นสูงแล้ว

คำถามต่อมาบอกว่า เราบอกกล่าวธรรมะ ให้หนังสือ หรือสื่อธรรมะ กับใครสักคนแต่เขาอาจจะยังไม่ได้เปิดอ่านหรือศึกษาในสิ่งที่เราให้ไป หรืออาจทำสื่อธรรมะที่เราให้ไปหาย ตลอดจน บุคคลที่เราให้ธรรมะไปอาจจะเป็นคนที่เข้าถึงธรรมได้ยาก หรือเป็นบุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นปทปรมบุคคล เช่นนี้อานิสงส์จากการให้ธรรมเป็นทานจะเกิดหรือไม่และเกิดเมื่อใด?

อย่างที่บอกนะครับว่าแค่ตั้งใจให้ มันก็ได้แล้ว คือยังไม่ทันต้องให้อะไรเลยนะ มันก็เกิดธรรมทานขึ้นในมโนนึกแล้วนะ แค่ความปรารถนาจริงๆว่าเดี๋ยวเราจะเอาไปให้ นี่ตรงนี้สำเร็จเป็นมโนกรรมแล้ว แต่ถ้าหากว่าจะให้ครบวงจรจริงก็คือ ให้อะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างเช่นสื่อธรรมะนี่ก็ถือว่าให้แล้ว ถ้าเขารับไปแล้ว เขาจะได้ไปอ่านหรือว่าจะเอาไปทำหายไปนะครับ กรรมของเราก็ไม่หายตามไปด้วย กรรมของเราสมบูรณ์ตอนที่เขาได้รับไปด้วยความเต็มใจที่จะเอาไปใช้ประโยชน์นะครับ แล้วตัวเราเองก็มีความชุ่มชื่นใจ มีความรู้สึกปีติยินดีที่ได้ให้ไป ไม่ใช่ว่าฝืนใจให้ ไม่ใช่ว่าให้เพราะอยากจะได้ผลตอบแทนกลับคืนมาเป็นกำไรเป็นตัวเงิน แต่ให้เพราะอยากสงเคราะห์ นั่นแหละเป็นธรรมทานเต็มสูตรเลย

ส่วนที่ว่าจะได้รับผลเป็นอย่างไรนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ปัญญาย่อมได้ปัญญานะ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเรามีธรรมะให้กับคน แน่นอนว่าผลที่ตอบกลับมาก็ต้องเป็นธรรมะ ต้องเป็นปัญญาในธรรมที่มันสมกันนะครับ

แล้วก็ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ‘สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ’ นี่ก็เพราะว่าการให้ธรรมะเป็นการให้ที่พึ่งที่แท้จริง เป็นการให้ประโยชน์สุขที่สูงสุด เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราคำนึงถึงผลที่จะได้รับในภายภาคหน้า หรือแม้กระทั่งในปัจจุบันก็ตาม ถ้ามีความคิดอยากช่วยใครในเรื่องของความสว่างก็ย่อมได้รับความสว่าง ความสว่างในระดับของจิตเลย ระดับของจิตนี่เป็นต้นเหตุ ต้นภพ ต้นชาติ เป็นเมล็ดพันธุ์ของความเข้าเสวยภาวะหรือว่าภพภูมิอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีความสว่าง จะเป็นมนุษย์ก็ดี หรือว่าจะเป็นเทวดาก็ดี

ถ้าหากว่ายังไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ อย่างน้อยที่สุดประกันได้อย่างหนึ่งคือจะเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ ถ้าเป็นเทวดาก็เป็นเทวดาสัมมาทิฏฐิ ไม่แกล้งคน แล้วก็มีความเห็นตรง เห็นถูก นับถือพระอริยเจ้า แล้วก็สามารถที่จะนอนรอได้ว่าในเวลาที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มาอุบัติในโลกก็อาจจะลงมาเกิดตามท่าน เพื่อที่จะได้บรรลุธรรมเร็วๆ หรือว่าอาจจะมาฟังธรรมในฐานะของเทวดาซึ่งอาจจะช้าหน่อย กว่าที่จะไปถึงเป้าหมายนะครับ อันนี้ก็เป็นความแตกต่าง หลากหลาย

มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราให้ธรรมทานอย่างเดียวนะครับ มันขึ้นอยู่กับว่าเจตนาของเรา ความเพียรของเรา ความเนิ่นช้าอันเกิดจากความขี้เกียจ หรือว่าความอยากจะเสพการบันเทิง ตัวยินดีในตัวนันทิ หรือว่าตัวยินดีในกามนี่แหละ ที่มันจะเป็นตัวตัดสินว่าเราให้ธรรมะเป็นทานแล้วนี่เราจะไปถึงไว หรือไปถึงช้านี่ขึ้นอยู่กับตัวนันทินี่ว่าเราจะปล่อยหรือไม่ปล่อย บางคนให้ธรรมะเป็นทานมากมาย แต่ว่าไม่ปล่อยสิ่งที่มันเป็นน่ายินดี น่าติดใจในโลก ก็ไปไม่ถึงไหนเหมือนกันนะครับ อันนี้ก็มี

อย่างในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึง แม้แต่พระโสดาบันที่ท่านบรรลุธรรมตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ ได้มาง่ายๆด้วยบุญเก่าที่สะสมมากแล้วนะ ท่านก็ยังติดใจ เรียกว่าเป็นผู้ที่มีความยินดีที่จะได้ไปเสวยสวรรค์เสียก่อนที่จะเข้าถึงนิพพาน แบบนี้ก็เนิ่นช้า แต่ก็เป็นสุขในตามเส้นทางของท่านนะครับ



๓) ถ้าจิตบิดเบี้ยวจากการคิดผิดหรือมีพฤติกรรมที่ผิดไปมากๆ จะทำจิตให้ตั้งตรงได้อย่างไร?

จิตที่บิดเบี้ยวนั้นมากที่สุดนี่ก็น่าจะได้แก่การที่เราไปพูดบิดเบือนความจริงให้กลายเป็นความเท็จนะครับ จากที่มันตรง เราไปทำให้มันเบี้ยว จากไอ้ที่มันกลม ไปทำให้มันเป็นเหลี่ยมนะครับ แบบนี้จิตจะมีความบิดเบี้ยวได้ง่ายที่สุด

กรรมจากการพูดเท็จ กรรมจากการพูดส่อเสียด ยุยงให้แตกแยก กรรมจากการกลับผิดให้เป็นถูก กลับดำให้เป็นขาว กลับขาวให้เป็นดำ ของพวกนี้ทำให้จิตแปดเปื้อนและบิดเบี้ยว

จะรู้สึกเลยคำว่าบิดเบี้ยวนี่บิดเบี้ยวจริงๆนะ คือนอนอยู่นี่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเบี้ยวไปเบี้ยวมา หรือว่าคุยอยู่กับใครนี่รู้สึกเหมือนอย่างไม่สามารถที่จะรับฟังได้ตรงๆมันต้องมีความคิดปรุงผสมเข้าไป มันต้องมีการตกแต่งล้อเลียน หรือว่าเห็นเรื่องดีเป็นเรื่องตลก เห็นเรื่องสกปรกเป็นเรื่องธรรมดาอะไรไปแบบนั้น

นี่ก็อาจจะเห็นกันได้ง่ายๆแล้วก็เห็นๆกันอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่ว่าไม่ได้คุยถึงกัน อย่างเวลาอยู่ในพรรคพวกอยู่ในวงเหล้ากันนี่นะ บางคนนี่ไปแล้วนะครับ ขึ้นมาเอาพระสงฆ์องค์เจ้ามาล้อเลียน หรือว่าเอาเรื่องจริงมาทำให้เป็นเล่น เรื่องเล่นทำให้เป็นจริงเป็นจัง บางคนนี่เห็นได้ชัดเลยคือพูดจาไม่รู้เรื่องตั้งแต่ก่อนเมา แค่เมาดิบอยู่นี่มันก็เหมือนกับจะไม่สามารถรับฟังอะไรได้แบบคนธรรมดาแล้ว มันจะเลื่อนลอยไป มันจะบิดเบี้ยวไปต่างๆนานา นี่มันมาด้วยกัน ความเมากับไอ้การพูดเท็จพูดเพ้อเจ้อนะครับ

วจีกรรมข้อมุสาวาทนี่นอกจากมีเรื่องของการโกหกแล้วมันมีเรื่องการส่อเสียด การพูดคำหยาบแล้วก็การพูดเลื่อนลอยสะเปะสะปะเพ้อเจ้อไปนะครับ เหล่านี้นี่ก็ทำให้เกิดประสบการณ์ตรงกันได้แหละ ว่าเห็นโลกไม่ตรงความจริงแล้วไม่สามารถที่จะรับรู้อะไรจริงๆได้ตรงตามที่มันเป็น แต่มันจะปรุงแต่ง หรือว่าบางคนนะ คือพยายามนะ พยายามที่จะรับรู้ให้มันตรงพยายามรับรู้ให้มันถูก แต่ทำไม่ได้ จิตมันเหมือนกับไม่ยอม จิตมันเหมือนกับจะไหลไป หรือว่ามีอาการย้วยไป มีอาการที่เกิดคำพูดแทรกแซงขึ้นมาในหัว หรือว่าเกิดบางทีเป็นภาพหลอนนะครับ เห็นพระสงฆ์องค์เจ้าเป็นอะไรที่เป็นอัปมงคลไป หรือก็เห็นของอัปมงคลกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงไป อะไรแบบนี้นะ เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก การปรุงแต่งทางจิตนี่ถ้าหากว่ามันบิดเบี้ยวถึงขนาดหนึ่งนั้นมันน่ากลัว มันรู้สึกว่าน่าสยดสยองตั้งแต่ก่อนตายทีเดียวนะครับ

คนที่เริ่มเป็นโรคจิตนี่เขาจะเห็นอะไรแตกต่างจากคนธรรมดา คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจเลยว่าทำไมเขาเห็นไปแบบนั้น อันนี้มาตอบคำถามนะครับ อันนี้ไม่ใช่บอกว่าคุณถึงขึ้นนั้นนะ อันนี้นี่จากคำถามก็คือว่า เราจะทำให้มันตรงได้อย่างไร เปลี่ยนไอ้ที่เคยบิดเบี้ยวแล้ว ประพฤติผิดไปแล้วนี่ ให้มันกลับถูกได้อย่างไรนะครับ

ขั้นแรกเลย ทำจิตให้สว่างก่อน คือสามารถที่จะดัดให้ตรงได้นี่นะครับ ต้องมีกำลังหนุน ต้องมีพลังความสว่างที่ทำให้มีความชุ่มชื่นใจเสียก่อน เพราะว่าอยู่ๆนะถ้าใจแห้งแล้ง ถ้าใจมันไม่ดีอยู่นี่ แล้วไปพยายามจะดัดที่มันบิดเบี้ยวให้กลายเป็นตรงนี่จะรู้สึกว่ามันยาก มันมีความรู้สึกแห้งแล้ง มันมีความรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามีความสว่างนำหน้านะ อย่างนี้ไอ้ความชุ่มชื่นนี่มันจะมาช่วยเหมือนกับน้ำยา เปรียบเหมือนน้ำยาที่จะดัดเหล็กที่บิดที่งอนี่ให้กลับตรงได้ง่ายนะครับ ไปทำให้เหล็กมันอ่อนเสียก่อน

ความสว่างที่ผมพูดถึงนี่ก็คือ ความตั้งใจที่จะยึดพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้งของจิต เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจนะครับ วิธีง่ายที่สุดก็คือสวดมนต์ สวดมนต์นี่ต้องสวดจริงๆนะ สวดด้วยความเข้าใจว่าเราหลับตาไปนี่นะ จะเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้า พระปฏิมาหรือรูปเคารพของพระพุทธเจ้า อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้จิตของเรารู้สึกผูกอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อไรที่จิตของเราผูกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนั้นจิตของเราจะมีความสว่างอย่างอ่อนๆขึ้นมาทันที และยิ่งเราสามารถเปล่งเสียงสวดได้ ‘อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควา…’ เต็มปากเต็มคำนะครับ แล้วให้แก้วเสียงนี่เป็นพุทธบูชา อย่างนี้ก็จะปรุงแต่งเสียงของเราเอง จะปรุงแต่งให้จิตมีความสว่าง มีความชุ่มชื่น

ถ้าสวดได้วันละหลายๆรอบ แล้วก็สวดด้วยความเคารพ สวดด้วยจิตใจที่มีความศรัทธา สวดด้วยความรู้สึกเป็นสุขที่ได้สวด อย่างนี้นะ มันจะมีความสว่างนำ เมื่อมีความสว่างจากการศรัทธาในพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้งหลังจากนั้น ถ้าตั้งใจทำอะไรจะรู้สึกเหมือนมีกำลังหนุนจะมีความรู้สึกว่าตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางดีขึ้นนี่มันง่ายนะครับ อย่างน้อยก็ง่ายกว่าตอนที่จิตใจแห้งแล้ง จิตใจมืดมนอยู่นะครับ

สังเกตง่ายๆเวลาที่จิตสว่าง มันจะมีความโปร่งขึ้นมา อย่างน้อยก็ชั่วขณะที่กำลังสว่างอยู่มีความปีติอยู่มีความสบายใจอยู่

ถ้าหากว่าเรามีความตั้งใจ เอาเป็นวันๆ คือไม่คิดเลยไกลไปข้างหน้า ว่าอยากจะมีจิตให้มันถูกดัดตรงได้เร็วนะครับ แต่คิดง่ายๆเลยทำไปวันต่อวัน ตั้งใจวันต่อวัน อธิษฐานวันต่อวัน ว่าวันนี้ทั้งวันเราจะไม่พูดอะไรที่มันเป็นการให้ร้ายคนอื่น ไม่พูดอะไรที่จะให้เกิดความเสียหายกับผู้อื่น ไม่พูดโกหก ไม่พูดดัดเท็จให้เป็นจริง ดัดจริงให้เป็นเท็จ เราจะพูดตามตรง ตามที่มันปรากฏ นี่อธิษฐานเป็นวันๆไป

หลังจากที่จิตสว่างแล้วจากการสวดมนต์ แล้วทำให้ได้ทั้งวัน เมื่อไรเกิดความเผลอขึ้นมาต้องรีบแก้ตัว เราจะบอกใครไปด้วย ข้อมูลผิดพลาดอย่างไรก็แล้วแต่ ไปแก้ให้มันถูกเสียนะครับ แล้วก็รักษาความตั้งใจนี้ให้ต่อเนื่องนะครับ ไม่นาน มันขึ้นอยู่กับความบิดเบี้ยวของจิตด้วย ถ้ามันบิดมากมันก็ต้องใช้เวลานานนิดหนึ่ง แล้วก็อาจจะต้องผ่านด่าน คือพอมีแรงยั่วยุให้ต้องโกหก หรือว่าให้ต้องให้ร้ายใครนะ เราจะทำให้มันถูกต้องเสีย ถึงแม้ว่าจะได้รับความเดือดร้อนมันก็เดือดร้อนอย่างมากแค่ทางกาย แต่ว่าทางใจนี่เกิดความสบาย เกิดความรู้สึกว่าลดอาการเดือดเนื้อร้อนใจลง

นี่ขอให้คำนึงมากๆไม่ว่าทางกายเราจะต้องยากลำบากผ่านอุปสรรคอย่างไรก็แล้วแต่ เราขออย่างเดียวว่าให้ใจสบายก็แล้วกัน ชีวิตนี้ทั้งชีวิตนี่นะ ใจสบายอย่างเดียวมันอยู่ได้ทุกที่ ใจสบายอย่างเดียวมันสามารถตอบรับได้ทุกสถานการณ์ แต่ถ้ากายสบายแล้วใจไม่สบายนี่นะ ต่อให้มีความสุขอยู่ในรถคันยาว บ้านที่หลังงามหลังใหญ่แค่ไหนก็ตามนะ ก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตที่เป็นทุกข์ ถ้าหากว่าเข้าใจอย่างนี้ได้ เห็นเข้าไปที่แก่นของชีวิตได้ว่าเราเอาจิตที่มันมีความเที่ยงตรง จิตที่มันมีความสว่าง จิตที่มีความชุ่มชื่นเป็นหลักตั้งของชีวิต เป็นเป้าหมายของชีวิตนะ เราจะทำอะไรๆแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงนะครับ มันจะมีแก่ใจ มันจะมีกำลังใจ มันจะมีความมุมานะที่จะทำเรื่องดีๆให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทุกวัน



๔) จำเป็นไหมที่จะต้องเดินจงกรมคู่กับการนั่งสมาธิจึงจะถึงปลายทางได้? โดยส่วนตัวชอบนั่งมากกว่า จะเป็นอะไรไหมถ้าไม่ชอบเดิน?

คิดไว้อย่างนี้ง่ายๆก็แล้วกันนะว่า ทั้งการเดินจงกรมและการนั่งสมาธินี่ มันเป็นเพื่อที่จะได้เห็นกายเห็นใจได้ชัด ถ้าหากว่าเรามีความสามารถที่จะเห็นกายเห็นใจได้ชัด เห็นอาการทางใจได้ชัด จิตมีความใหญ่ จิตมีความสามารถที่จะรับรู้เข้ามาในกายใจได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีนั่ง หรือวิธีเดินอันนั้นใช้ได้หมด โอเคหมด

แต่ส่วนใหญ่จะต้องทำควบคู่กันถึงจะเป็นไปได้จริง เพราะอะไร? เพราะว่าการนั่งสมาธินี่คือการฝึกเจริญสติในขณะนั่งนิ่ง แต่การเดินจงกรมเป็นการเจริญสติในขณะเคลื่อนไหว ในขณะที่ลืมตา ซึ่งในชีวิตประจำวันนี่นะครับ เราต้องลืมตา เราต้องเคลื่อนไหวมากกว่าอย่างอื่น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะใช้ชีวิตปกติด้วยการนั่งนิ่ง เพราะฉะนั้นการเดินจรงกรมนี่ถือว่าเป็นบทฝึก เป็นแม่บทในการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว

ส่วนการนั่งสมาธินี่ ถ้าใครผ่านไปนะผมเห็นรายไหนรายนั้นก็คือจะฟุ้งซ่าน จะสงบไม่ค่อยเป็น แล้วก็จะรวมใจเพื่อที่จะเข้ามารู้ เข้ามาดูสภาพกาย สภาพใจให้ชัดๆนี่ได้ยาก เพราะอะไร? เพราะว่า คือ คนส่วนใหญ่นี่ถ้าฟุ้งซ่านไปเรื่อยมันไม่สามารถที่จะรวมใจเข้ามาอยู่กับที่ใดที่หนึ่งได้ แต่เมื่อนั่งหลับตาทำสมาธิมันจะมีเป็นแม่บทของการนิ่ง การรู้อย่างสว่าง ถ้าหากว่าทำได้ถึงขั้นที่จะเห็นใจตัวเองได้มาก จะเริ่มมาจากตอนนั่งสมาธินี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นเห็นอารมณ์ฟุ้งซ่าน เห็นอารมณ์สงบ เห็นอารมณ์ปั่นป่วน เห็นอารมณ์เคียดแค้นนะ มันเห็นชัดกันตอนหลับตานี่แหละ เพราะไม่ต้องถูกรูปภายนอก สีสันภายนอกมาแย่ง มาแย่งอาการรับรู้ของจิตไป ก็เลยมีความสามารถที่จะเห็นเข้ามาในภาวะทางใจได้ง่ายกว่าปกตินะครับ

สรุปก็คือ ถ้าจะให้ดีนะ ควรจะฝึกเจริญสติทั้งด้วยวิธีการนั่งสมาธิหลับตา และทั้งด้วยวิธีการเดินจงกรม แต่ถ้าใครเห็นว่าตัวเองมีความสามารถจะรู้กายรู้ใจได้ชัดอยู่แล้วอันนั้นก็ไม่ว่ากัน ถ้าหากว่าจะเลือกนั่งสมาธิอย่างเดียว หรือว่าจะเดินจงกรม แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็เคยตรัสถึงอานาปานสติแบบนั่งอย่างเดียวนี่ก็พาให้ไปถึงนิพพานได้


เอาล่ะครับ คืนนี้คงต้องล่ำลากันแต่เพียงเท่านี้ครับ ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น