วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๖๓ / วันที่ ๑๓ มิ.ย. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันพุธที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงครับ ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรงนะครับ สำหรับการทักทายและไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks

วันนี้เฟสบุ๊คของผมยังไม่ขึ้นนะครับ ขอผมลองโหลดดูอีกแป๊บหนึ่ง เพราะว่าเห็นโจทย์คำถาม ไม่ขึ้นที่หน้าวอลล์ ไม่ทราบว่าเป็นความผิดปกติของเบราว์เซอร์หรืออย่างไรก็ไม่ทราบนะครับ



๑) เวลาที่ไปทำบุญกับคนที่เป็นประเภทดูธรรมะธรรมโม ชอบทำบุญตลอดเวลา แต่ทำไมรู้สึกว่าเวลาไปกับเขาแล้วไม่ค่อยสบายใจ รู้สึกไม่ค่อยดี และไม่รู้สึกถึงพลังกระแสเมตตาเลย ได้ทดลองมาหลายครั้ง ซึ่งผิดไปกับอีกกลุ่มหนึ่งที่ธรรมะธรรมโม ชอบทำบุญเหมือนกัน แต่รู้สึกสบายใจมากๆรับรู้ได้ถึงพลังกระแสเมตตา ทำไมถึงรู้สึกไม่เหมือนกัน?

ตอนที่ไปทำบุญนี่นะ จิตที่คิดเป็นกุศล จิตที่ตั้งใจดี จิตที่ตั้งใจจะไปให้ทานนะครับ ให้ทานกับผู้มีฐานะสูงกว่าเรา เหนือกว่าเรา คือพระสงฆ์องค์เจ้า หรือไม่ก็ไปทำบุญประเภทสงเคราะห์กับคนชราหรือว่าเด็กอนาถา หรือว่าไปปล่อยสัตว์ปล่อยปลาอะไรก็แล้วแต่ ที่ออกจากบ้านไป ตั้งใจว่าจะไปทำดี จะไปทำกุศล จะไปทำเรื่องของการเกื้อกูลกันกับสัตว์โลกนะครับ ตัวเจตนา ตัวความเป็นจิตที่มีความสว่างนั้น ก็จะเผยตัวตนที่มีภาคสว่าง แต่ละคนมีภาคมืด ภาคสว่าง ตั้งใจทำชั่ว ก็จะดึงเอาภาคชั่วออกมา ตั้งใจไปทำดี ตั้งใจไปในสถานที่ที่เป็นกุศล ก็จะดึงเอาตัวตนภาคสว่างออกมา

ทีนี้ถ้าหากว่า เราเกิดมีความสามารถมากพอที่จะแยกแยะว่า ไปกับกลุ่มหนึ่ง รู้สึกอย่างหนึ่ง ไปกับอีกกลุ่มหนึ่งรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็สะท้อนถึงตัวตนของเราด้วย ไม่ใช่ตัวเขาอย่างเดียว คือความเป็นคนดีมีหลายแบบ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า คนเราเข้ากันได้โดยธาตุนิสัย ถ้าหากว่ามีคลื่นกรรม คลื่นของเจตนา คลื่นของการกระทำ คลื่นของวิธีคิด วิธีพูด วิธีทำ ที่สอดคล้องกัน กลมกลืนกัน จะมีความรู้สึกว่าไปกันได้ เข้ากันได้

บางคนเจอหน้ากันไม่ต้องจูนชีวิต ไม่ต้องจูนความรู้สึกนึกคิด ไม่ต้องปรับตัวเข้าหากันเลย มีความรู้สึกเข้ากันได้ทันที บางทีไม่ใช่เป็นเรื่องของเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนในอดีตชาติ แต่เป็นเรื่องการเข้ากันได้โดยธาตุ

พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า สัตว์โลกคบกันโดยธาตุนิสัย ถ้าหากว่ามีนิสัยใกล้เคียงกันไปทางมืดเหมือนๆกัน ก็จะรู้สึกว่าเข้ากันได้ ไม่ต้องมาปรับความเข้าใจ หรือว่าพูดทำความรู้จักกันมาก ก็รู้สึกว่ามันเข้ากันได้เองอยู่แล้ว ในทางตรงข้าม ถ้าหากว่าใฝ่บุญด้วยกัน รักษาศีลด้วยกัน แล้วก็มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ เป็นไปเพื่อที่จะเกื้อกูล ไม่ใช่เป็นไปเพื่อที่จะเบียดเบียน คลื่นความรู้สึกเกื้อกูล มันก็จะทำให้เกิดความสุข ต่างฝ่ายต่างมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้กัน คุยกันก็รู้สึกถูกคอ ถูกอัธยาศัยโดยทันที

แต่ในความเป็นจริง มันแบ่งแยกได้ยิบย่อยกว่านั้นเยอะ ชอบดนตรีด้วยกัน ดนตรีประเภทไหน แบ่งออกไปอีก ดนตรีร็อก กับดนตรีคลาสสิค บางทีคุยกันไม่รู้เรื่อง นั่งด้วยกันไม่ได้ หรือแม้กระทั่งไปทำบุญด้วยกันอย่างนี้ ก็ทำบุญด้วยเจตนาแบบไหน ทำบุญอยากจะเอา หรือว่าทำบุญเพราะอยากจะมีจิตใจสว่างเดี๋ยวนี้นะครับ

ถ้าหากว่าทำบุญแบบอยากจะเอาโลกหน้า จะเอาผลกำไรที่ได้ภายในเดือนสองเดือน หรือว่าจะเอาหน้าเอาตาอะไรก็แล้วแต่ พูดง่ายๆว่าคิดจะเอา ไม่ได้คิดจะให้ ไปเพื่อไปลงทุน ไม่ใช่ไปเพื่อที่จะเสียสละอย่างนี้นี่ คนที่เข้ากันได้นี่ ก็จะจับกลุ่มกัน แล้วรู้สึกว่าไปด้วยกันแล้วมีความสุข บางทีไม่ใช่ความสุข มันเป็นความรู้สึกกลมกลืน

ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งไปคิดให้จริงๆแล้วก็รู้สึกสบายใจที่จะให้ ไม่ได้หวังจะเอาอะไรทั้งสิ้น โดยนิสัยส่วนตัวก็เป็นเหมือนกับคนที่ไม่มีอาการปากว่าตาขยิบ ไม่มีอาการที่ว่าซ่อนมีดไว้ข้างหลัง จะมีความตรงไปตรงมา ซื่อๆเหมือนๆกัน ก็จะรู้สึกถึงความเมตตา ลักษณะของความเมตตามันไม่ใช่ว่าฉันอยากจะให้เธอมีความสุขเหลือเกิน ไม่ใช่นะครับ เอาง่ายๆเลย ไม่คิดเบียดเบียนกัน ไม่มีซ่อนมีดอยู่ข้างหลัง ปากว่าอย่างไร ตาว่าอย่างนั้น ไม่ใช่ปากว่าอย่าง ตาขยิบไปอีกทางหนึ่ง

การที่เรา เอาง่ายๆก็แล้วกันนะครับ ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าสบายใจ แล้วก็รู้สึกถึงกระแสเมตตากับคนกลุ่มไหน ก็ให้รวมกันกับกลุ่มนั้น ไม่ต้องไปแสวงหา ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนได้หลายกลุ่ม บอกว่าฉันใจกว้าง คบคนได้มากอะไรแบบนั้น เพราะว่าในทางบุญในทางกุศลแล้วนี่นะ มันไม่มีหรอกที่ว่าจะไปคบกับพระได้ คบกับโจรก็ไม่ขัดขืน ในทางบุญทางกุศล คบคนเช่นไร ถ้าหากว่ามีความสว่างอย่างเรา ถ้าหากว่าพระมีความสว่างเหนือกว่าเรา อย่างนี้จะทำให้จิตของเรา นับวันมีความสว่างตาม นับวันมีความสว่างยิ่งๆขึ้นไป แต่ว่าหากว่า จะเอาแบบที่สว่างครึ่งหนึ่ง และก็เพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งแบ่งความมืดมาให้ครึ่งหนึ่ง ในที่สุดตัวเราจะกลายเป็นสีเทา ตัวเราจะสับสน ว่าอันไหนถูกอันไหนผิดกันแน่

อย่างเช่น บางคน บางกลุ่มไปทำบุญด้วยกันแล้วก็ เหมือนเท่าที่ได้ยินมานี่ ก็จะออกแนวไปโจมตีคนที่ไม่ใช่พวกของตัว ทั้งทริป ทั้งการเดินทางมีแต่การว่ากัน สาดเสียเทเสีย เอาคนโน้นคนนี้มานินทา เผลอไม่ได้ ต่อให้เคยคุยกันดีๆ พอลับหลังหน่อยเดียวเอามาขุดคุ้ย เบื้องลึกเบื้องหลัง ถ้าสมมติว่าเรายังไม่เคยที่จะเป็นคนแบบนั้นมาก่อนนี่ ก็ในที่สุดจะต้องเคยจนได้ แล้วก็เป็นคนแบบนั้นไปจนได้

ถ้าพิจารณาอย่างนี้นะครับ เราก็เลือกเอาก็แล้วกัน เอาแบบที่เห็นๆว่าไปด้วยกันแล้วมีจิตใจที่มีความเกื้อกูล ไม่คิดเบียดเบียนกัน ด้วยกาย วาจา ใจ จริงๆ ไม่มีการปากว่าตาขยิบจริงๆ เอาแบบนั้นก็แล้วกันนะครับ



๒) เวลาที่จำเป็นต้องจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ เช่น การทำงาน เป็นต้น มีวิธีวางใจเช่นไร ให้ใจไม่เกิดความฟุ้งซ่านได้บ้าง?

มันเป็นไปไม่ได้นะครับ เหมือนคุณบอกว่า จะทำอย่างไร ถ้าจะเอาไม้ไปเขี่ยๆกองฝุ่น กองขยะ แล้วจะไม่ให้มีอะไรมันฟุ้งขึ้นมา จะไม่ให้กลิ่นมันโชยออกมา เป็นไปไม่ได้

การที่เราไม่ชอบใจอะไร สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นนี่ ตัวความไม่ชอบนั้น เวลาไปกระทบกันกับสิ่งที่เป็นตัวต้นเหตุนะครับ มันจะมีอาการฟุ้งซ่านขึ้นมา มีอาการขัดเคืองขึ้นมาเป็นธรรมดา ความแตกต่างของคนที่เจริญสติ กับคนที่ไม่ได้เจริญสติก็คือ คนเจริญสติจะมีความรู้สึกว่า นี่ตาของเราไปประจวบเข้ากับภาพที่ไม่น่าพึงพอใจ หูของเราไปประจวบกับเสียงที่มันน่าขัดเคือง แม้กระทั่งงานที่เรารู้สึกเบื่ออยู่นี้ ตาไปเห็นหน้างานมันค้างอยู่อย่างนี้เมื่อวาน วันนี้มาต่อ ตาไปเห็นปุ๊บ มันเกิดไปดึงความรู้สึกเบื่อหน่าย ไปดึงเอาความรู้สึกเหนื่อยอ่อนของเมื่อวานมาสวมตัวตน ณ ปัจจุบัน วินาทีนี้ทันที นี่เขาเรียกว่า สัญญาเก่า มันกลับมาทันทีที่ตากระทบกับรูป

หรือได้ยินเสียงเจ้านายสั่ง สั่งโน่นสั่งนี่มา เราไม่ชอบเจ้านายคนนี้อยู่แล้ว เราไม่ชอบเสียง วิธีที่เขาสั่งอยู่แล้ว เราไม่ชอบงานที่เขาสั่งให้เราทำในแต่ละวัน พอได้ยินเสียงปุ๊บ เสียงเดิมๆมันคุ้น มันจำได้ว่าแบบนี้ไม่ชอบ ทันทีนั้น จิตจะเกิดความขัดเคือง ทันทีนั้นจิตจะเกิดโทสะ เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมาทันที

สิ่งที่นักเจริญสติจะรู้ก็คือ โทสะ เกิดขึ้นแล้วหลังจากมีภาพและเสียงเข้ามากระทบ หรือแม้กระทั่งมีใจคิดถึงเรื่องงาน ถึงเรื่องที่เรารู้สึกเกิดความเบื่อหน่าย คิดขึ้นมาปุ๊บ อ่อนแรง อ่อนเปลี้ย ไม่อยากจะทำ ไม่อยากจะใช้ชีวิตแบบนี้อีกแล้ว อยากหางานใหม่ อยากโน่นนี่นั่นนะครับ

ตัวที่เป็นสตินี่ คือตัวที่เราเห็นว่ากระทบปุ๊บ แล้วเกิดความฟุ้งขึ้นมาปั๊บ เกิดความรู้สึกร้อนๆเกิดความรู้สึกอึดอัด เกิดความรู้สึกปั่นป่วนนี่แหละ ตัวที่เห็นว่ามีความปั่นป่วนเกิดขึ้นทันทีที่ถูกกระทบ ตัวนี้แหละสติ แต่สติที่จะเป็นสัมมาสติจริงๆนี้ ไม่ใช่สติสักแต่ว่ารู้ว่ามันเกิดขึ้น แต่เป็นสติที่มีความเข้าใจ ประกอบอยู่ด้วยความเข้าใจ ว่าที่มันเกิดความขัดเคือง เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นนี้ มันมาจากการกระทบชั่วคราว เมื่อการกระทบหายไป ความฟุ้งซ่านแบบนี้มันก็จะพลอยเสื่อมสลายหายสูญไปด้วย นี่คือข้อแตกต่าง ระหว่างคนธรรมดากับคนที่เจริญสติ

คนที่เจริญสติจะรู้เห็นอยู่อย่างนี้ พอเห็นว่าความขัดเคือง อยู่แป๊บหนึ่ง แล้วมันหายไป มันก็จะรู้สึกว่า จิตสบายมาแทนที่ มีความปลอดโปร่ง เข้ามาแทนที่ ไม่ใช่ว่าจะต้องฟุ้งซ่านอยู่ตลอดไป ที่ยังฟุ้งซ่านอยู่ไม่เลิก ก็เพราะว่าไม่มีสติดู มีแต่อาการเบื่อแล้วก็อยากผลักไสออก ที่ท่านเรียกว่า วิภวตัณหา ไม่อยากมี ไม่อยากเอา เกลียด

ตัวความเกลียด พอเกิดขึ้นแล้วไปถูกความเกลียดร้อยรัดไว้ ผูกมัดไว้ มันก็จมจ่อมอยู่ตรงนั้น ไม่ไปไหน มันก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้ว่า ความรู้สึกไม่ชอบใจ ความรู้สึกเกลียด ความรู้สึกเบื่อหน่าย มันแสดงความไม่เที่ยงได้ คนธรรมดานี้ จะจมจ่อมอยู่อย่างนั้น มันจะเหมือนจะไม่สามารถป่ายปีนขึ้นมาจากหนองน้ำแห่งความเบื่อได้ นี่คือความแตกต่าง

จำไว้นะ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะวางใจไม่ให้เกิดความฟุ้งซ่านในสิ่งที่เราไม่ชอบ มันต้องฟุ้งซ่านเสมอ แต่ข้อแตกต่างของนักเจริญสติกับคนไม่เจริญสติก็คือ คนที่เจริญสติจะรู้ความไม่เที่ยงของความฟุ้งซ่านนั้นนะครับ



๓) ก่อนที่เราจะมาวนเวียนในวัฏสงสาร ก่อนที่จะเริ่มมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกของโลก อยากทราบว่า ปฐมบทของจิตก่อนที่จะปรุงแต่งให้เรามีรูปร่างขึ้นมา เราอยู่ที่ไหน? สมมติว่าเราพยายามที่จะทำจิตให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏแล้วในชาตินี้ ณ เวลาหนึ่ง เราก็ต้องถูกผลักมาอยู่ในสังสารวัฏอีกหรือไม่?

คำถามนี้เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจหลายต่อหลายคนเลย เพราะเราอยู่ในโลกที่มันจะต้องมีจุดเริ่มต้น มันจะต้องมีจุดสิ้นสุดให้เห็นด้วยตา แต่ในความเป็นจริงนี้ ในระดับของสังสารวัฏนี้ ในระดับของอนันตจักรวาลนี้ มันเป็นอะไรที่ลึกลับกว่านั้น เอาง่ายๆคิดง่ายๆนะครับ ไม่มีใครหรอกที่สามารถจะเห็นจักรวาลได้ด้วยตาเปล่า อย่างที่เราเห็นกันด้วยกล้องโทรทรรศน์ จะด้วย กล้องแรงสูงขนาดฮับเบิล (Hubble) อะไรก็แล้วแต่ มันเป็นการเห็นแค่มุมมองหนึ่ง

ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์บอกว่า มวลจักรวาลหายไป ๙๖ เปอร์เซ็นต์ ๙๖ เปอร์เซ็นต์นั้น เรียกไปพลางๆว่าเป็นดาร์กแมตเทอร์ (Dark matter) เป็นมวลสารที่เป็นสสารมืด ไม่สามารถที่จะทราบได้ด้วยตา ว่ามันมีอยู่ รู้แต่ว่าถ้าคำนวณด้วยหลักของฟิสิกส์ระดับจักรวาลแล้ว สามารถรู้ได้ว่ามันมี ในจักรวาลที่เราเห็นว่ามืดๆมีแต่กาแล็กซี มีแต่ดวงดาว มีอะไรซ้อนอยู่ในนั้นเยอะแยะไปหมด

ถ้ามองว่าจุดเริ่มต้นของจักรวาลอยู่ตรงไหน แค่นี้ก็เถียงกันไม่รู้จบแล้ว ทฤษฎีที่คนยอมรับกันมากที่สุดก็บิกแบง (Big Bang) แต่ก็พยายามหาข้อค้าน จักรวาลก็มีอยู่อย่างนี้มานานแล้ว ก็จะมีอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆนั่นแหละ มีการขยายตัวหรือว่ามีการยุบตัว ก็เถียงกันไป แต่เรื่องของสังสารวัฏมันซับซ้อนยิ่งกว่าจักรวาลที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเสียอีก

อย่างปัจจุบันที่เริ่มเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกกำลังมองกัน ก่อนที่จะมีกาลเวลากับอากาศ เหมือนอย่างกับปัจจุบันนี้ มีแต่แรงดึงดูด มีแต่แรงโน้มถ่วง พูดง่ายๆว่า ที่เราจะเคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งไม่ได้ เพราะว่าไม่มีอวกาศ เพราะว่าไม่มีอากาศ มีแต่แรงโน้มถ่วง มีแต่แรงดึงดูด ซึ่งคนทั่วไปแค่นั้นก็จินตนาการไม่ออกแล้ว หน้าตามันเป็นอย่างไร ก่อนเกิดจักรวาลมีแต่แรงโน้มถ่วง นักวิทยาศาสตร์ ‘สตีเฟน ฮอว์คิง’ (Stephen Hawking) นี่ เขาเป็นพวกที่ไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ก็บอกว่าจักรวาลเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีอะไรมาก็ได้ นอกจากแรงโน้มถ่วง หรือว่าแรงดึงดูดที่เป็นขั้นปฐม

พูดง่ายๆว่า นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความบังเอิญ บังเอิญมี บังเอิญเป็น นี่เก่งที่สุดในโลกนะ คิดได้มากที่สุดแล้ว แต่ถ้าหากว่าเราไม่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเรื่องของรูปธรรมอะไรเลย แล้วเราคิดเอาว่าสังสารวัฏมันเริ่มต้นขึ้นที่ไหน ภพชาติเริ่มต้นขึ้นที่ไหน จะเถียงกันไม่รู้จบเลย เพราะว่าในที่สุดเราก็ยังต้องบอกว่าถ้าหากเชื่อว่ามีอดีตชาติ ก็แปลว่าจะต้องมีชาติเริ่มต้น มันไม่มีทางหรอกว่าอยู่ๆนี่จะมีอะไรเกิดขึ้นวนเวียนไปวนเวียนมาอยู่แบบนี้โดยไม่มีจุดเริ่มต้น ความฟุ้งซ่านจะพาเราไปติดที่จุดนั้น

เวลาที่มีคนทูลถามคำถามนี้กับพระพุทธเจ้า ท่านเลยตรัสว่า อย่าไปคิด ชาติแรกในแบบนั้นมันไม่มีหรอก คิดให้ตายอย่างไร คิดให้หัวแตกอย่างไร ก็ไม่มีทางได้คำตอบ เพราะแม้แต่ พระสัพพัญญุตญาณ คือ ญาณที่หยั่งรู้ทุกสิ่ง ซึ่งมีได้ เป็นอภิสิทธิ์เฉพาะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ท่านยังบอกเลยว่าส่องไปแค่ไหนๆก็ไม่เห็นจุดเริ่มต้นของสังสารวัฏ มีแต่ว่า ส่องไปเข้าวงจรปฏิจจสมุปบาท เดิมนั่นแหละ คือมีความหลงผิด มีความไม่รู้ แล้วก็มีพฤติกรรมการสั่งสมบุญ การสั่งสมบาป ในแต่ละชาติ พอสิ้นชาติ สิ้นภพ กองบุญ กองบาปที่สั่งสมมานั้นก็วัดรวมกัน วัดน้ำหนักกัน งัดข้อกัน ใครจะชิงตัวไปสุขคติ ใครจะชิงตัวไปทุกข์คติได้ วนเวียนอยู่อย่างนี้

ถ้าหากว่า มีชาติแรกขึ้นมาแล้ว แปลว่า วงจรปฏิจจสมุปบาทนี้ไม่ใช่ของจริง จุดเริ่มต้นไม่ต้องมีการสั่งสมบุญ ไม่ต้องมีการสั่งสมบาปก็ได้ อยู่ๆเกิดขึ้นเลย จิตเกิดขึ้นเลย แต่นี่จิตอันเป็นปฐมจิตของแต่ละชาติ เกิดขึ้นมาจากการบันดาลของกรรมในอดีต คือถ้าหากว่าเราสั่งสมกองบุญไว้มาก มีน้ำหนักมากกว่ากองบาปในชาติที่แล้ว กองบุญนั้นก็จะเนรมิตจิตขึ้นมา จิตใหม่ซึ่งเป็นจิตของมนุษย์ มีสำนึกแบบมนุษย์ มีความสามารถคิดอ่านแบบมนุษย์ ประกอบพร้อมทั้งร่างกายแบบมนุษย์ ที่สามารถจะมารับรู้อะไรๆมีประสบการณ์ตรงแบบมนุษย์ได้ ก่อกรรมแบบมนุษย์ได้ อย่างที่พวกเรากำลังเป็นอยู่

แต่ถ้าอยู่ๆมีชาติแรก ไม่ได้มีบุญ ไม่ได้มีบาปเป็นตัวนำมาเลย จะตัดสินอย่างไร จะให้เป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก เป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือเป็นพรหม มันตัดสินกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าเลยตรัสตอบว่า จุดเริ่มต้นของภพชาติ ก็คือ ความไม่รู้ หรือที่เรียกว่า อวิชชา เพราะว่ามีอวิชชา มันถึงมีการสั่งสมกองบุญ กองบาปกันได้ และเมื่อมีการสั่งสมกองบุญ กองบาปแล้ว สิ้นภพสิ้นชาติแต่ละครั้งก็จะมีการตัดสินกัน พิพากษากันว่า ใครจะได้ไปดี ใครจะได้ไปร้าย

เรื่องมันวนเวียนอยู่แบบนี้ เป็นวงกลม เหมือนกับที่เราไม่สามารถเห็นได้ว่า จุดเริ่มต้นของวงกลมมันเริ่มจากตรงไหน ถ้ามองเป็น จะมองเป็นวิทยาศาสตร์ จะมองเป็นปรัชญา หรือว่าจะมองเป็นด้วยวิธีคิดฟุ้งซ่านก็ตามนะครับ ในที่สุดเราจะมาติดอยู่ตรงความไม่รู้จริงนั่นแหละ

พระพุทธเจ้าที่ท่านรู้จริง จะแจ้งแทงตลอดแล้วนี่ ท่านตรัสว่าเบื้องต้นอันเป็นเค้าเงื่อนของสังสารวัฏไม่มี ไม่มีให้เห็น ไม่ปรากฏให้เห็น ด้วยพระสัพพัญญุตญาณนะ ที่รู้ดีที่สุดแล้วนี่ ไม่มีใครสามารถบำเพ็ญบารมีให้รู้ได้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้วนี่ พระพุทธเจ้าท่านยังตรัสว่าไม่มีให้รู้ คือไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้นะ แต่ไม่มีให้รู้ เหมือนกับเงื่อนปลายของสังสารวัฏนี่ สัตว์ทั้งหลายก็เวียนว่ายตายเกิดกันไปเรื่อยๆนั่นแหละไม่มีที่สิ้นสุดหรอก หรือเหมือนกับที่สิ้นสุดของสังฆทานนี่ มีอยู่สองอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่ปรากฏให้รู้ ก็คือ เงื่อนต้นกับเงื่อนปลายของสังสารวัฏ เบื้องต้นกับเบื้องปลายของสังสารวัฏ แล้วก็ผลของสังฆทานนะครับ มันไม่มีที่สิ้นสุดมันไปเรื่อยๆเลย

คือทำสังฆทานนี่ ถ้าทำด้วยประกอบพร้อมด้วยจิตที่เป็นกุศล ได้ทรัพย์ที่เอาทำสังฆทานได้มาโดยชอบธรรมเป็นของตัวเองโดยบริสุทธิ์ และผู้รับเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าทำแล้วก็ไม่มีที่สิ้นสุด ผลนี่ถ้าพูดง่ายๆว่า เอาที่ชัดที่สุดก็ เหนี่ยวนำให้เราอยู่บนเส้นทางได้ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ ในพุทธศาสนาอีก คือไม่ใช่พระพุทธเจ้ามีพระองค์เดียว มีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ นับได้เท่าเม็ดทรายในท้องสมุทร ท่านตรัสไว้อย่างนั้น พระพุทธเจ้ามีมากขนาดนั้น แต่ขนาดว่ามีพระพุทธเจ้ามากขนาดนั้นนี่ แต่ละพระองค์ก็เกิดห่างกันเป็นกัปเป็นกัลป์ ไม่ใช่จะมาอุบัติกันบ่อยๆนะครับ



๔) เรื่องกรรมวิบากเกี่ยวกับการทำให้เพศตรงข้ามเข้ามาหลง เข้ามาชอบ ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ควรระวังตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร?

ผมไม่แน่ใจว่าคำถามหมายถึงอย่างไรนะ ผมตอบอย่างนี้ก็แล้วกันนะครับว่า การลวงให้เขามารัก ลวงให้เขามาหลง เป็นกรรมที่จัดเข้าหมวดมุสาวาทนะครับ คือไปลวง แล้วเป็นการล่อลวงด้วยราคะ จิตนี่เป็นอกุศลสองชั้น คือมีความปักใจแน่วเข้าไปในเรื่องของราคะ ในเรื่องของความพิศวาส แล้วเป็นความพิศวาสในแบบล่อลวง ล่อให้หลง โดยที่เจตนาอาจจะไม่ได้ชอบเขาจริงอะไรแบบนั้น

หรือบางทีมีความเคยชินแบบหนึ่ง ของชายหนุ่มหญิงสาวที่มีหน้าตาดี ที่เสน่ห์แรง รู้ตัวว่าเป็นที่รักที่หลงของใครง่ายๆบางทีไปชายหูชายตา ไม่ว่าชายหรือหญิง ทำให้คนเข้าใจผิด คิดว่ามาชอบ ตัวนี้เป็นกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือการลวงล่อ

ลวง ก็คือ หลอกนั่นแหละ ใจไม่ได้จริงอยู่ แต่ไปแกล้งทำให้เหมือนกับมีใจแบบนั้นนี่ผลที่จะได้รับชัดๆเลยก็คือ ปัจจุบันจิตใจจะเป็นคนหมกมุ่น ฟุ้งซ่านเกี่ยวกับเรื่องของการล่อให้หลง ลวงให้ยึด จิตจะมีการยึดมั่นถือมั่นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่สามารถลวงใครต่อใครให้มาหลงตัวเองได้มากๆนี่นะ สิ่งที่เห็นในปัจจุบันคือใจจะหลงง่าย จะมีความเซนซิทีฟ จะอ่อนไหวมากเลย เห็นใครหน้าตาดี เห็นใครน่าชอบใจหน่อยจะหลงยึดๆยึดๆเข้าไป แล้วก็คิดฟุ้งซ่านไม่หยุด

แล้วในภายภาคหน้านี่ ยิ่งถ้าหากว่าเกิดชาติใหม่จะยิ่งเห็นชัด จะเป็นคนที่ถูกหลอกลวง โดยตลอดเลย พูดง่ายๆว่ามีรักนี่ ทำนายได้เลยว่าโดนหลอก โดนหลอกใช้บ้าง โดนหลอกให้เข้าไปพัวพัน ความยึดหลงผิดๆบ้าง หลอกให้หลง หลอกให้รัก แล้วก็ถูกทิ้งไป อะไรอย่างนั้นนี่นะ จนโดนกันเรียกว่าทั้งชาติไม่สามารถจะ ไม่รู้จะทำอย่างไรจะดิ้นหลุด กงกรรมมัดไว้แน่น


เอาล่ะครับ ก็คืนนี้ก็คงพอสมควรแก่เวลานะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น