วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๑๑๓ / วันที่ ๑๐ ต.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

๑) ผมอยากเป็นนักเขียนที่เก่งและมีความคิดสร้างสรรค์จะต้องทำอย่างไรเป็นลำดับขั้นตอนบ้าง?

อันดับแรกเลยนะ ลงมือเขียน เพราะไม่มีอะไรที่มันลัดหรือว่าตรงมากไปกว่านั้นอีกแล้วนะครับ ความคิดสร้างสรรค์หรือว่าความสามารถที่จะเขียนเก่งมันมาจากการเขียนตรงๆนั่นแหละไม่ได้มีปัจจัยอื่นที่มีความสำคัญมากไปกว่าการลงมือเขียน ส่วนเรื่องของความสามารถหรือว่าความคิดสร้างสรรค์ มันขึ้นอยู่กับหลายเหตุปัจจัย แต่ความคิดสร้างสรรค์ที่มันจะออกมาได้จากบุญเก่า ถ้าน้องถามถึงบุญเก่าหรือว่าลักษณะของการก่อกรรมทางการคิดทางการพูดหรือว่าทางการกระทำอย่างไร ที่จะมีส่วนส่งเสริมสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ในเชิงเขียน ก็คงจะหนีไม่พ้นการเขียนในสิ่งที่เป็นบุญในสิ่งที่เป็นกุศล อะไรที่เป็นบุญอะไรที่เป็นกุศลเราเขียนในทางนั้น ก็จะมีส่วนส่งเสริมในชาติปัจจุบันทีเดียวที่จะเห็นผลได้นะครับ

ก็ลองนึกถึงความสว่าง ถ้าหากว่าเราเขียนอยู่ในขณะที่มีความมืดทางจิตไม่มีความสว่างทางจิตอยู่เลย กำลังมีจิตใจย่ำแย่ หลังมีจิตใจหดหู่กำลังมีจิตใจที่ทึบตันมันจะมีความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ไหม แน่นอนว่าไม่ได้ ต้องเขียนในขณะจิตมีความสว่างถึงจะเกิดไอเดียสร้างสรรค์หรือว่าความคิดแปลกใหม่ขึ้นมา ทีนี้ถ้าถามว่าความสว่างหรือว่าลักษณะจิตที่มีความผ่องใสมันเกิดขึ้นจากอะไร ก็แน่นอนครับจะต้องเขียนในทางที่ดีในทางกุศลมันถึงจะเกิดความสว่างทางใจขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเขียนอะไรที่มีความมืดมีความทึบแล้วจะเกิดไอเดียหรือว่าเกิดอะไรที่มันสว่างขึ้นมาได้ ตรงนี้เป็นความจริงที่มันปรากฏอยู่เป็นธรรมชาติของจิต

แต่ว่าบางคนก็สงสัยว่า เอ๊ะนักเขียนหลายคนเขียนเรื่องใต้สะดือแท้ๆหรือว่าเขียนเรื่องอะไรที่มันล่อแหลมบาดจิตบาดใจ หรือว่าล่อลวงให้เกิดความหลงผิดใฝ่ต่ำขึ้นมา ทำไมเขายังมีความคิดสร้างสรรค์กันได้ อันนี้ก็จะบอกว่าเป็นของเก่าก็คงไม่ผิดซะทีเดียวนะครับ หลายๆคนเคยเขียนอะไรดีๆไว้ก่อนเคยพูดอะไรดีๆไว้ก่อน เคยคิดอะไรดีๆไว้ก่อน และความคิดหรือการพูดการกระทำในอดีตนั้นยังส่งผลยังให้ผลการคิดในแบบที่จะช่วยให้คนอื่นมีความสุขมีความสบายหรือว่าพ้นทุกข์ หรือการพูดให้ไอเดียในทางที่แปลกใหม่ทางแต่เป็นคุณประโยชน์กับคนอื่น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นส่วนที่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ความคิดมีความแหลมคม

แต่การที่ทำบุญมาทั้งชาติเคยคิดเคยทำเคยพูดมาทั้งชาติ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาคิดแบบเดิมพูดแบบเดิมหรือว่าทำแบบเดิมซ้ำแต่ก่อนเก่า คือเอาความแหลมคมเอาความสว่างเรืองรองในอดีต มาเป็นทุนมาเป็นปัจจัยในการมาเขียนอะไรที่มันไม่ค่อยจะสร้างสรรค์ได้ แต่พูดถึงสาเหตุของความคิดสร้างสรรค์หรือว่าความสามารถในเชิงสร้างสรรค์ ต้องมาจากความสว่างไม่ใช่ความมืดอันนี้คือพูดง่ายๆถ้าไม่มีทุนเก่าอยู่อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะฉลาดไม่มีทางที่จะมีไอเดีย

แต่อย่างไรก็ตามพิสูจน์ในเรื่องของความสามารถในเชิงสร้างสรรค์ในปัจจุบันชาตินี่แหละ คิดเพื่อคนอื่นมากๆพูดเพื่อคนอื่นมากๆ ในลักษณะที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ ออกไปในทางที่เราจะรู้สึกได้ว่านี่เป็นการฉีกกรอบแบบเดิมๆที่ไม่ดีด้วยไอเดียหรือว่าแนวทางแปลกใหม่ ทำไปเรื่อยๆเป็นปีๆไม่ใช่ทำประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็จะต้องมีความต่อเนื่องด้วยแล้ว ในที่สุดเราจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาเอง หลังจากที่ไอเดียหรือว่าแนวคิดสร้างสรรค์ มันเป็นประโยชน์จริงเป็นคุณจริงเกิดผลจริงกับคนอื่นๆ พอมันเกิดความมั่นใจพอมันเกิดความรู้สึกว่า ทักษะความสามารถในการออกไอเดียของเรามันค่อยๆผลิดอกออกผลกับคนอื่น สิ่งที่มันจะมาผลิดอกออกผลตามในตนเองก็คือเราจะรู้สึกถึงความแหลมคมรู้สึกถึงความชัดเจน รู้สึกถึงความมีสติที่จะทำอะไรแบบสร้างสรรค์ เราจะรู้สึกถึงความ พูดง่ายๆสรุปง่ายๆเลยคือว่า พิสูจน์เรื่องของกรรมที่ผลิดอกออกผลในเรื่องของกรรมว่าเราต้องการจะออกไอเดีย เราสามารถที่จะมีความคิดสร้างสรรค์และแหลมคมขึ้นได้จริงๆ ส่วนที่ว่าจะลำดับขั้นตอนชัดเจนอย่างไรมันเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ว่าโดยย่อๆ ข้อหนึ่งลงมือเขียน ข้อสองทำประโยชน์กับคนอื่นในทางที่ ฉีกกรอบความไม่ดีด้วยไอเดียที่มันดีก็แล้วกัน



๒) เพื่อนสนิทกำลังตั้งครรภ์แล้วเพิ่งทราบว่าสามีเป็นมะเร็งในไตน่าจะเป็นมาพักใหญ่แล้วไม่รู้กระจายไปไหนอีกหรือเปล่า อยากรบกวนขอธรรมะและคำพูดดีๆเพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนเพื่อเผชิญสถานการณ์ได้อย่างเข้มแข็งด้วย

การเป็นมะเร็งในไตนี่ผมก็ไม่ทราบว่าปัจจุบันนี้ มีวิธีรักษามีหนทางที่จะบำบัดปัดเป่าหรืออะไรอย่างไรแค่ไหน ก็ทราบว่าเป็นมะเร็งนี่ถ้าหากว่าเป็นมาพักใหญ่ก็กระจายไปทั่วแล้วกระจายลามไปมากแล้ว ไม่มีคุณหมอที่ไหนมาสามารถให้คำรับรองนะครับว่าจะอยู่อีกได้นานเพียงใด เพราะบางคนลามเร็วมากนะครับ รู้แค่เดือนเดียวหลายคนก็ไปเลยด้วยความเศร้าโศกเสียใจของผู้อยู่ข้างหลัง ถ้าหากว่ามองดีที่สุดนะครับคือว่าเราไม่ได้สูญเสียอย่างเดียว เราไม่ได้สูญเสียใครบางคนไปอย่างเดียวเราได้ใครบางคนมาเป็นเพื่อนใหม่ด้วย ถ้าหากว่าเรามองในแง่ดีจริงๆอย่างน้อยที่สุดเรามีกำลังใจที่จะยืนหยัดในชีวิตต่อไป

การที่เราสูญเสียใครบางคนไปไม่ได้หมายความว่าเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นมันไม่แน่เสมอไปนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เคยทำบุญไว้ก่อนเคยทำบุญมามากจะมีความรู้สึกว่าอีกเดี๋ยวก็ได้หายเหนื่อยแล้วนะครับในโลกนี้ แล้วก็ไปได้สบายใจสดชื่นสบายใจกับชีวิตใหม่ที่ได้สมน้ำสมเนื้อกับบุญเก่าที่ทำมา ถ้าหากว่ามองจากในอดีตสมัยพระพุทธกาลก็มีนะครับคนทำบุญมาเยอะเลย แต่ว่าไม่มีจังหวะไม่มีโอกาสให้ผลของบุญที่จะตอบสนองได้สมน้ำสมเนื้อในปัจจุบันชาติ ก็ไปเสวยผลในที่ที่มีความเหมาะสมมากกว่า อันนี้ก็ในแง่ของการที่สามารถที่จะได้ยินดีกับคู่รักของเรา คนที่เรารักที่สุดนี่ล่ะก็อาจจะจัดเป็นเรื่องน่ายินดีน่าจะเบิกบานด้วยซ้ำสำหรับเขาที่จะได้สบาย

แต่ถ้าหากว่าจะมองในแง่ของการรับภาระหนักนั้นแน่นอนครับ คือไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นสุขต่อไปได้หรือว่าจะมองว่าลูกออกมาอาจจะขาดพ่ออะไรแบบนี้ ถ้าไปย้ำคิดแบบนั้นแน่นอนว่าจะต้องเกิดความหม่นหมองเป็นธรรมดา ก็เอาอย่างนี้แล้วกันนะครับ ถ้าหากว่าเราจะให้เกิดความสบายใจทั้งฝ่ายเราและก็ฝ่ายสามีก็อาจจะบอกว่าลูกนี้ไม่ใช่คนที่จะเป็นภาระ เป็นคนที่จะมาเป็นเพื่อนเราแทนเขา ก็ความรู้สึกที่มันสว่างความรู้สึกที่มันสบายหากว่าเขาจะได้แน่ๆนะครับจากภพภูมิใหม่ เขาสามารถย้อนกลับมาเผื่อแผ่ให้กับคนที่อยู่ข้างหลังได้ แต่ถ้าเขายังมีความรู้สึกมันมีความทุกข์มันมีความเศร้ามันมีความห่วงกังวลแก่ลูกมากเกินไปนะครับ จนเกิดความเศร้าหมองนี้ ก็จะไม่แน่นะไม่มีอะไรเป็นประกันนะว่าเขาจะขึ้นสูงตามบุญเก่าได้หรือเปล่า

แต่ถ้าหากว่าทำใจไว้มีความสดชื่น มีความยอมรับตามจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกลิขิตไว้อย่างนี้ เป็นเรื่องของลูกเราที่จะต้องอยู่กับแม่คนเดียวเป็นเส้นทางของเขาแบบของเขา แล้วเราสามารถที่จะทำใจไม่อาลัยอาวรณ์ไม่ยึดติดอยู่กับการมีชีวิตในโลกนี้ได้ ก็เป็นไปได้สูงทีเดียวที่จะได้ไปดีแล้วก็สามารถตั้งเข็มไว้ว่าจะย้อนกลับมานะครับว่า คือย้อนกลับมาด้วยใจย้อนกลับมาด้วยความเมตตา เผื่อแผ่เมตตาให้กับลูกเมียนะครับหรือว่ามีสายตาจากท้องฟ้า พูดง่ายๆว่าดวงตาสวรรค์ที่จะปกปักรักษาลูกกับเมียที่อยู่บนโลกนี้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันคือเราหวังว่าจะไปดีกว่านี้และจะเป็นพ่อที่มีความเมตตาในระดับของเทวดาของจริง ที่จะดูแลลูกกับเมียที่ยังอยู่บนโลก อย่าไปคิดว่าเราจากไปแบบจากแล้วจากเลยนะครับ มันเป็นไปได้ถ้าหากว่าเรามีความสดชื่นความเป็นกุศลที่จะจากไปที่ไปเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ ที่มีฤทธิ์มีอำนาจที่จะดูแลลูกเมียได้ดีกว่านี้



๓) แนะนำผู้ชายคนหนึ่งให้เพื่อนรู้จัก เห็นว่าพ่อแม่ผู้ชายเป็นคนดีจากสิ่งที่เราเห็นและสัมผัสได้บ้าง แต่พอเพื่อนได้รู้จักเพียงแค่สามวันก็ชอบหลังจากนั้นก็เกิดปัญหาจากการทำตัวลึกลับของผู้ชาย โกหกถูกจับได้แต่ก็มีข้ออ้างจนเพื่อนเชื่อ เขารู้สึกผิดมากที่ได้ทำให้เพื่อนทุกข์เพราะหลังๆเจอผู้ชายเขาพูดคุยกับเราแบบไม่มองตา หนูเห็นว่าเพื่อนแค่คุยกันก็ขอให้เพื่อนเลิกเพราะยอมรับว่าตนเองผิด ขอโทษเพื่อนแต่ว่าเพื่อนไม่เลิก เราพูดอะไรไปก็ว่าเราทำให้เขาเครียด เราคบกับเพื่อนมาสิบห้าปีแต่ว่าผู้ชายคนนี้เข้ามาแค่สองเดือน หนูผิดไหมคะถ้าหนูถอนตัวจากเรื่องนี้เพราะเขาไม่ต้องการให้เราห้าม เราสนับสนุนให้คบเขาจะชอบเราควรจะทำอย่างไร

นับว่าเป็นบทเรียนซะในเรื่องคู่ในเรื่องของไปแนะนำไปสื่อรักอะไรให้ใคร จะต้องแนะนำต้องบอกตัวเอง คือมีความชัดเจนมากพอว่าเรารู้จักทั้งคู่แล้วจริงๆ เรื่องของการแนะนำเรื่องของคู่ครองหรือว่าในเรื่องของการให้คำแนะนำนะครับว่าควรหรือไม่ควรอะไรทำนองนี้ว่ามันเป็นเรื่องค่อนข้างจากที่ผมก็เคยเจอะเจอมาบางนะครับว่า พอให้คำแนะนำอะไรไปแล้วนี่นะครับว่ามันเซนซิทีฟมากๆเลย คนที่ได้รับคำแนะนำไปนะครับหรือว่าบางทีเขาไม่ได้เอาคำแนะนำของเราที่เราตั้งใจจะสื่อไปใส่ใจไปเก็บไว้ในความทรงจำ หรือว่าอาจจะเอาเฉพาะที่เขาอยากจะจำหรือว่าอยากจะเชื่อว่าเราหมายความอย่างนั้นไปเก็บไว้ไปจดจำไว้ มันค่อนข้างจะเซนซิทีฟมากๆ ฉะนั้นเวลาออกตัวอย่าออกตัวแรงในฐานะแม่สื่อแม่ชักหรือว่าในฐานะกามเทพจำแลง คือเก็บไว้เป็นบทเรียน คือเราจะอยู่ฝ่ายซับพอร์ตมากกว่า ซับพอร์ตในเรื่องของให้คำแนะนำหลังจากที่เขาตัดสินใจเองไปแล้ว อย่าไปเป็นตัวตั้งตัวตีอย่าไปหวังดีเกินเหตุเพราะว่าหากเขาเกิดตกลงปลงใจกันขึ้นมานี้ เราไม่สามารถที่จะไปรับผิดชอบชีวิตที่เหลือของเขาได้ แล้วเขาจะจดจำนะครับว่าเราเป็นประตูเป็นสะพานเชื่อม

ก็คนเรามนุษย์นี่นะมันจะไม่มีเหตุไม่มีผลอะไรทั้งสิ้นแหละ เวลาที่เกิดความสมหวังหรือผิดหวังอะไรมากๆนี่ ถ้าหากว่าเขาจำไปแล้วว่าเราเป็นต้นเหตุหรือว่าเป็นสะพานเชื่อมก็จะเอาความสมหวังหรือผิดหวังมาผูกติดไว้กับตัวตนของเรา หรือว่าความรู้สึกเกี่ยวกับเราจะมัวหมองหรือว่าจะผ่องใสเพิ่มขึ้นมานะครับ มาจากความจำของคนที่เขาได้คู่หรือว่าได้มีชีวิตที่เขาแบบที่ต้องการหรือไม่ต้องการนั่นแหละ ถ้าหากเราจำไว้เป็นบทเรียนแล้วอย่างน้อยที่สุดมันก็เกิดความสบายใจว่า นี่เราได้เรียนรู้แล้วเพราะในฐานะของมนุษย์ไม่มีใครได้เรียนรู้บทเรียนแรก นอกเสียจากจะเกิดประสบการณ์ตรง นอกเสียจากว่ามันจะมีบทเรียนที่สามารถที่จะเผื่อแผ่ให้กันถึงกันได้ อันนี้อย่างผมพูดไปว่าระวังให้ดีนะครับก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้เกิดประสบการณ์ปลูกฝังไว้ในใจ คนที่ฟังนะครับก็จะไม่เข้าใจ คนที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ตรงนั้นจะไม่เข้าใจว่าการไปยุ่งเรื่องคนอื่นเขามากๆนี่มันมีผลไม่ดีรออยู่ได้อย่างไร ความเป็นไปได้ที่จะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นนี้มันมีได้มากแค่ไหน

คือพอรู้แล้วว่าโอเคนี่เป็นบทเรียนครั้งแรก ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะได้รับบทเรียนก่อนที่จะเกิดประสบการณ์จริงก็จะได้สบายที่จะโอเคว่าจะไม่มีครั้งต่อไปที่จะไปเป็นตัวตั้งตัวตีแบบนี้ มันสบายใจขึ้นมานิดหนึ่งแหละว่านี่เป็นสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นฮิวแมนเออเรอร์ (Human Error) ตามธรรมดา ตามชาติของมนุษย์ที่ไม่รู้ไม่เห็นว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เรารู้เราเห็นแค่ว่าเราหวังดีแล้วก็มีอะไรที่เป็นปัจจัยดีๆเป็นปัจจัยที่บวก

ส่วนการทำใจข้อที่สองก็คือ นี่เป็นสิ่งที่เราเตือนเพื่อนแล้วบอกตัวเองว่าเราเตือนเพื่อนแล้วมันไม่ใช่ความสามารถของเราที่จะไปบังคับจิตใจเพื่อนให้ถอนออกจากความชอบหรือความชัง ความชอบกับความชังไม่ใช่สิ่งที่เป็นข้อมูลซึ่งสามารถจะไปกะเกณฑ์ให้ใคร ไม่สามารถไปกะเกณฑ์ปลูกสร้างความชอบความชังไว้ในใจใครได้ เกิดกับตัวเขาเองว่าเขาชอบสิ่งๆหนึ่งแล้วเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบว่าเขาเป็นอย่างไรกับสิ่งๆนั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือว่าข้าวของ ถ้าหากว่าเราเอาแจกันมาให้เขาแล้วเขาเกิดรักเกิดชอบแจกันนั้น ตอนหลังเราไปพบข้อมูลจากองค์กรหรือสักอย่างที่มาเตือนแล้วบอกว่าแจกันนี้ไม่ดีแล้ว มันสร้างมาจากวัสดุที่เป็นพิษต่อร่างกาย เราไปเตือนเพื่อนๆไม่สามารถจะไปถอนความชอบใจจากแจกันนั้นได้เราถือว่าไม่ได้มีความผิดในเรื่องของการเจตนาเจตนาคือกรรม กรรมคือเจตนา เรามีความหวังดีเป็นที่ตั้งแต่ว่าในที่สุดแล้วการเลือกชีวิตมันเป็นของคนที่เป็นเจ้าของกรรม ไม่ใช่ของเราเพื่อนไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ใช่ตัวเพื่อน เพื่อนเป็นอนัตตาภายนอกเราไม่สามารถไปควบคุมจิตใจเขาได้นะครับ

แล้วอีกอันหนึ่งข้อสามก็คือ ขอให้เราบอกตัวเองไว้ก่อนว่าผลจริงๆยังไม่ได้ออกมาว่าผิดหรือถูก ความสมหวังหรือความผิดหวังในชีวิตรักในชีวิตครองเรือนหรือในชีวิตคู่ของเพื่อนนี่มันไม่ได้ออกหัวออกก้อย เพราะฉะนั้นก็อย่าไปคิดมาก ขอให้รอดูกันไปก่อนรอด้วยใจคิดว่านี่เราจะรับผิดชอบในแง่ที่เราเป็นสะพานเชื่อมถ้าหากว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาค่อยแก้เอา ถ้ามันจะมีความทุกข์ในการรับรู้ว่าเพื่อนไปอยู่กับคนไม่ดีตรงนั้นเราค่อยแก้ปัญหาด้วยการตั้งใจว่าเราจะปลอบโยนหรือว่าไปให้คำแนะนำที่ดีๆ แต่ไม่ใช่ว่าไปตัดสินไปคิดว่าไอ้ตรงนี้นี่เราทำผิดไปแล้วเต็มๆแล้วไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

คือการจะเป็นทุกข์เรื่องล่วงหน้าหรือว่าการจะเป็นทุกข์เรื่องอนาคตล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปเป็นทุกข์ให้คนอื่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องในแบบของพุทธ การเป็นทุกข์ล่วงหน้ามันเกิดจากการคิดไปล่วงหน้า มีความทุกข์เป็นส่วนเกินในชีวิตที่ว่าจะรอเวลาให้มาถึงจริงนี้เราทุกข์ล่วงหน้าไปซะ ถูกต้องถ้ามันจะมีความทุกข์อยู่ข้างหน้าจริงค่อยไปแก้ทุกข์ ค่อยไปทำให้ต้นเหตุของความทุกข์นี่มันหายไปแต่ไม่ใช่ตอนนี้นะครับเอาล่ะฝากไว้ ๓ ข้อ



๔) มีผู้ชายมาชอบเพื่อนหนูก็หลอกเพื่อนหนูว่าไม่มีแฟน เพื่อนหนูก็ชอบเขาแล้วผู้ชายเขาก็ชอบเพื่อนหนูด้วย ตอนหลังก็จับได้ว่าเขามีแฟนแล้วผู้ชายเขาก็ขอโทษแล้วเพื่อนหนูกับผู้ชายคนนั้นก็แอบคบกัน ทุกครั้งที่เขามาขอคำปรึกษาก็รู้สึกว่าเพื่อนเราก็ทำผิดนะที่ไปชอบ ทั้งๆที่เขาก็มีแฟนอยู่แล้ว แต่บางครั้งเราก็โอนเอียงไปกับเพื่อนเราว่าไม่ผิดหรอกเขาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ตัวเรารู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เพื่อนมาขอคำปรึกษา

ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ชายมีความมั่นคงแค่ไหนเพราะว่าผู้ชายสมัยนี้คือยุคเรานี้นะจะมีความซ้ำซ้อนเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ เกี่ยวกับเรื่องศีลข้อสามนี้ค่อนข้างจะมากทีเดียว เพราะว่าใช้คำว่าแฟนมันคลุมเครือมากๆนะ บางทีเราบอกว่าเพิ่งคบกัน แต่จริงๆมีอะไรกันไปแล้ว หรือบอกว่าเป็นแฟนกันแต่จริงๆอยู่กันมาห้าปีสิบปีไปแล้วอย่างเปิดเผยทุกคนรับรู้แล้วว่านี่อยู่ด้วยกันมา ใช้คำว่าเป็นแฟนไม่ใช่สามีไม่ใช่ภรรยาโดยแท้แล้วพฤติกรรมนี้เป็นสามีภรรยากันเรียบร้อย สมัยก่อนนี้ไม่มีใครเขาใช้คำว่าแฟนกัน เขาใช้คำว่าผัวคำว่าเมียกันไปชัดๆเลย คือยุคเก่ายุคก่อนนี้นะครับไม่มีการคบลองใจกันไปนานๆ พอชอบใจกันก็สู่ขอกันไปเลยบางยุคนี่นะครับไม่มีการขอกันเองหรือว่าคบหาชอบพอกันเองแต่ว่าจะต้องมีพ่อแม่จับคลุมถุงชนอะไรแบบนั้น มันมีความชัดเจนคือแน่นอนว่ามันไม่ดีตรงที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนใจได้ เหมือนกับอยู่ด้วยกันแล้วนะครับ แต่มันก็มีข้อดีตรงที่ว่ามันชัดเจนว่า ใครมีสิทธิ์ ใครไม่มีสิทธิ์ ในยุคของเรานี้ที่มีความอิสระเป็นตัวของตัวเองมากๆ มันกลายเป็นสร้างปัญหามันกลายเป็นเหมือนกับไปสร้างอะไรขึ้นมาเพียงแค่การใช้คำว่าแฟน หรือว่าคนคบหาลองใจอยู่ แต่โดยพฤตินัยมันก็คือผัวเมียกันเรียบร้อยแล้วนั่นเอง

ถ้าหากว่าเราคำนึงถึงความชัดเจน ถามให้ชัดๆว่าเขามีอะไร เขามีความเป็นอยู่เปิดเผยกับแฟนรึเปล่า ถ้าพูดง่ายๆว่าเป็นสามีภรรยากันโดยพฤตินัยแล้วอยู่กันแบบเปิดเผย เพื่อนเขาทั้งสองฝ่ายทั้งฝ่ายเขาฝ่ายแฟนสามารถรับรู้ได้ว่าอยู่กินมาด้วยกัน หรือว่ามีความเปิดเผยว่าเป็นคนที่มีความลึกซึ้งต่อกันอย่างนี้ ก็ไม่ควรจะไปยุ่งเด็ดขาด เราควรให้คำแนะนำไปเลยว่าคนที่เขามีใครต่อใครโดยรอบข้างรับรู้ว่าอยู่ด้วยกันนี้ ถือว่ามีเจ้าของแล้ว ถ้าเอาตามกติกาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าหญิงมีเจ้าของโดยนับเริ่มตั้งแต่มีมาลัยคล้องคอตามประเพณี ธรรมเนียมท้องถิ่นไหนที่ถือใช้พวงมาลัย สมัยไหนใช้แหวนหรือว่าจะใช้เครื่องไม้เครื่องมืออะไรก็แล้วแต่ บอกว่าจองตัวแล้วนี้ อันนั้นขืนใครไปยุ่งด้วยถือว่าเป็นความผิดในศีลข้อสามแล้ว ถ้าหากว่าอันนี้เขาไม่มีเครื่องหมั้นหมายแต่ว่าก็เป็นที่รับรู้สำหรับเพื่อนๆหรือญาติสนิทมิตรสหายกับเขานี่ ก็ถือว่ามีเจ้าของแล้วเช่นกัน

ในยุคที่หญิงชายมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน เป็นเจ้าของของกันและกันอย่างยุคเรานี้ก็ถือว่าฝ่ายชายฝ่ายหญิงเป็นสมบัติของกันและกัน มันไม่สามารถที่จะไปแบ่งปันได้โดยพฤตินัยนะครับอันนี้ก็คงให้คำแนะนำกับเพื่อนไว้แค่นี้แต่เพื่อนจะคล้อยตามหรือไม่คล้อยตามก็เป็นสิทธิ์ของเพื่อนนะครับ



« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น